บทที่ 29 เจ้าต้องการเข้าวังหลวงหรือไม่
บทที่ 29
เจ้าต้องการเข้าวังหลวงหรือไม่
“ผู้แทนพระองค์ ท่านรู้จักสาวน้อยผู้นี้ด้วยหรือ?”
ทุกครั้งที่ได้ยินฮ่องเต้น้อยเรียกตนเองว่าสาวน้อย หลิงอวี่จื้อมักอยากขำออกมา หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นฮ่องเต้ หลิงอวี่จื้อคงสั่งสอนเจ้าเด็กคนนี้ให้รู้สำนึกไปนานแล้ว
“ฝ่าบาท นางคือคุณหนูใหญ่หลิง หลิงอวี่จื้อพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเยี่ยนแนะนำให้เฉินโม่ชีรู้จักเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ปฏิเสธหลิงอวี่จื้อ ทำให้เขายิ่งมั่นใจในความคิดเมื่อครู่ก่อนของตน เด็กสาวคนนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวัง นางสยบเฉินโม่ชีได้ภายในลูกเตะเดียว ยามปกติฮ่องเต้น้อยแสนซน ไม่แยแสผู้ใด นี่เป็นครั้งแรกที่มองคนอื่นด้วยแววตาชื่นชมเช่นนี้
เฉินโม่ชีพลันนึกได้ “ที่แท้เจ้าก็คือคุณหนูใหญ่ผู้โง่เขลาแห่งจวนอัครเสนาบดี เจิ้นเห็นว่าเจ้ามีความรู้ และอีกไม่นานเจิ้นก็อยากจะแข่งขันกับผู้อื่น ในเมื่อเจ้าเล่นซูจู้เป็น ช่วงนี้เจิ้นมีสิ่งที่ต้องทำ เมื่อสะสางเสร็จสิ้นแล้วให้เจ้าเข้าวังมาสอนข้าเล่นซูจู้”
“เอ่อ...” หลิงอวี่จื้อคิดว่าตนเองหูฝาดไป นางโชคดีแค่ไหนที่ได้มาเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ ขนมตกลงมาจากฟ้า*หรืออย่างไรกัน?
*ขนมตกลงมาจากฟ้า หมายถึง ได้สิ่งที่อยากได้โดยไม่ต้องออกแรง
เพียงไม่นานนางก็ได้พบกับผู้ทรงอำนาจทั้งสามคน ผู้ยิ่งใหญ่ในราชวงศ์เว่ย์ตะวันตกต่างมีสัมพันธ์กับนาง เพียงแค่คิดถึงมันก็เห็นวันเวลาในภายภาคหน้าอันสดใส
“ไม่ต้องการหรือ?”
“หม่อมฉันยินดีมากเพคะ เป็นเกียรติของหม่อมฉัน หม่อมฉันซาบซึ้งใจมากเพคะ”
“เจิ้นขอตัวกลับก่อน สาวน้อย เจ้าต้องสอนข้าอย่างสุดความสามารถ หากเจิ้นแข่งแพ้ขึ้นมาเจ้ารักษาศีรษะตนเองเอาไว้ไม่ได้แน่”
เจ้าเด็กแสนรู้จักวิธีข่มขู่ผู้คน หลิงอวี่จื้อบ่นในใจ ถ้อยคำเหล่านี้สามารถคิดได้เพียงในใจเท่านั้น
“เพคะ ๆ หม่อมฉันจะทำให้สุดความสามารถเพคะ”
กระทั่งเฉินโม่ชีก้าวจากไปอย่างผ่าเผย และเห็นว่าเขาพ้นไปแล้ว หลิงอวี่จื้อก็นึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมากทีเดียว แม้นางจะตั้งใจสอนเขาแต่หากเขาไม่ตั้งใจเรียน ถึงเวลานั้นก็อาจโทษว่าเป็นความผิดนางได้ เช่นนั้นมันก็เป็นเพียงเรื่องไร้ค่า
อย่างที่เขาว่ากัน อยู่ใกล้กษัตริย์ไม่ต่างขึ้นหลังเสือ แม้จะเชื่องแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเสือ หากต้องการรักษาชีวิตไว้ก็ไม่มีทางจะปฏิเสธได้
เมื่อคิดเช่นนี้อารมณ์ดีก็จางหายไปทันที
เซียวเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไปมาก บ้างยินดีบ้างวิตก ทำให้อดจะเอ่ยช้าลงไม่ได้ “เปิ่นหวางกำลังออกจากวัง ข้าจะแวะไปส่งคุณหนูหลิงด้วยแล้วกัน”
เดิมทีนางต้องการปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงแมลงจิ่วเซียงที่ยังไม่ได้มาก็ยังอยากจะตีสนิทกับเซียวเยี่ยน นางจึงส่งยิ้มให้เขา “เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนผู้แทนพระองค์แล้ว”
มีเซียวเยี่ยนอยู่จื่ออีจึงกลับไปได้ นางได้เห็นปฏิกิริยาระหว่างหลิงอวี่จื้อและเฉินโม่ชี และต้องทูลเรื่องเหล่านี้ให้ ไทเฮามู่หรงทราบ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักฉางเล่อ
หลิงอวี่จื้อตามเซียวเยี่ยนก้าวขึ้นรถม้า เขานั่งลงตรงข้ามนาง เมื่อนึกได้ถึงอาการบาดเจ็บที่หน้าอกของนางจึงถามขึ้น “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผู้แทนพระองค์ไม่ต้องเอ่ยถึง ข้าได้ลืมมันและเกือบหายดีแล้ว เพียงเจ็บเล็กน้อยหลังวิ่งมาเท่านั้น”
“ฮ่องเต้ดูท่าจะชอบเจ้ามาก” เซียวเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบเรื่อยราวกับเป็นเรื่องปกติ
หากแต่ประโยคนี้ทำให้หลิงอวี่จื้อตกใจก่อนฝืนยิ้ม “ผู้แทนพระองค์พูดเหลวไหลอะไรกัน ฮ่องเต้จะชอบข้าได้อย่างไร”
“เจ้าสนใจเข้าวังหลวงหรือไม่”
“เอ่อ...” หลิงอวี่จื้ออ้าปากค้างด้วยความอึ้ง “เขายังไม่โตเต็มวัยดี ข้าจะเข้าวังได้อย่างไร”
เซียวเยี่ยนรู้ว่านางต้องการหลบเลี่ยง จึงจงใจถามออกไป “ฮ่องเต้จะไม่อภิเษกจนกว่าจะอายุ 18 คุณหนูหลิงต้องการปรนนิบัติฮ่องเต้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”