บทที่ 27 ท้าทายฮ่องเต้น้อย
บทที่ 27
ท้าทายฮ่องเต้น้อย
หลิงอวี่จื้อทะนุถนอมใบหน้าตนเองเป็นพิเศษเนื่องจากหน้าที่การงานของตน มักจะมีสูตรพอกหน้าของตนเอง นางจึงคุ้นเคยกับสารพัดสูตรประทินผิว
มู่หรงกวนเย่ว์นึกสงสัย “ผงถั่วเขียวกับน้ำผักกาดหอมจะได้ผลน่าอัศจรรย์ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ไทเฮาลองดูแล้วจะรู้ว่าบางครั้งของง่าย ๆ ก็สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เพคะ หลังจากนางในเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว หม่อมฉันจะเข้าวังมาพอกหน้าไทเฮาให้เหล่านางในดูเป็นการสาธิตครั้งหนึ่ง พวกนางจะได้รู้วิธีทำเพคะ”
“ได้ ต้องขอบคุณคุณหนูหลิงแล้ว”
หลิงอวี่จื้อยิ้มบอก “เป็นเกียรติของหม่อมฉันที่ได้ช่วยเหลือไทเฮาเพคะ”
หลังจากนั้นมีคนมาขอเข้าเฝ้ามู่หรงกวนเย่ว์ หลิงอวี่จื้อจึงขอทูลลาออกมา มู่หรงกวนเย่ว์ให้จื่ออี นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทมาส่งหลิงอวี่จื้อออกจากวังหลวง แม้หลิงอวี่จื้อจะยินดีในใจหากแต่ยังคงสีหน้าสงบนิ่งไว้ ดูท่าแล้วนางคงโชคดีไม่น้อย ถึงได้พบกับผู้ทรงอำนาจที่สุดทั้งสองคนของราชวงศ์เว่ย์ตะวันตกเร็วถึงเพียงนี้
ในจังหวะที่นางกำลังจะเอ่ย บอลลูกหนึ่งก็ลอยมาหาก่อนกระแทกศีรษะอย่างแรง ทำให้หลิงอวี่จื้อเจ็บหน้าผาก นางลูบหน้าผากตนเองและลืมไปชั่วขณะว่าตนกำลังอยู่ในวังหลวงก่อนตะโกนลั่น “ใครเตะบอลมากัน?”
เสียงร้องคำรามนี้ชวนให้หลูเยี่ยนตกใจ รวมไปถึงจื่ออีที่เดินนำหน้าอยู่ด้วย ไม่ต้องคิดว่าใครเป็นคนเตะบอลมา และนึกไม่ถึงว่าหลิงอวี่จื้อจะปากกล้าเพียงนี้
ทันใดนั้นเด็กชายอายุราวสิบสามหรือสิบสี่ปีก็วิ่งมา เขามีดวงตาโตพร้อมคิ้วหนา สูงเกือบ 1.8 เมตรได้ แม้ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์แต่ไม่ได้บดบังความหล่อเหลา ยามนี้ท่าทางของเขาดูเหลืออด “เมื่อครู่ใครตะโกนใส่เจิ้น*กัน?”
*เจิ้น คำเรียกตนเองของฮ่องเต้
หลิงอวี่จื้อเสียใจในการกระทำของตนเองอย่างถึงที่สุด นางลืมไปได้อย่างไรว่าที่นี่คือวังหลวง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ย่อมเป็นฮ่องเต้น้อยอย่างแน่นอน ได้ยินมาว่าเขาดื้อรั้นตามประสาวัยรุ่น เป็นปกติที่จะซุกซนแต่คนเราก็ไม่ควรเหลิงจนเกินไป
ทุกคนต่างคุกเข่าคำนับเฉินโม่ชี หลิงอวี่จื้อรู้สึกว่าฮ่องเต้น้อยมายืนตรงหน้าตนเอง ใจหนึ่งนึกปวดหัว หากเป็นฮ่องเต้น้อยตัวแสบผู้นี้นางคงไม่ตายดีแน่
“เมื่อครู่เจ้าเป็นคนที่ตะโกนใส่เจิ้นใช่หรือไม่?”
ตายเป็นตาย!
หลิงอวี่จื้อเงยหน้าและส่งยิ้มเจื่อนให้เขา “หม่อมฉันไม่ได้ตะโกนใส่ฝ่าบาทเลยเพคะ หม่อมฉันขึ้นเสียงใส่ลูกบอลไม่รักดีที่ไม่เชื่อฟังฝ่าบาทต่างหากเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
เฉินโม่ชีหยิบลูกบอลขึ้นมาจากพื้นและมองหน้า หลิงอวี่จื้ออย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นบอกมาว่าเจิ้นจะทำให้ลูกบอลเชื่อฟังได้อย่างไร”
เด็กคนนี้เตะบอลไม่เก่งเสียจนอับอายจะแสดงฝีมือของตน แน่นอนว่าเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ในใจเท่านั้น
นางเคยเล่นละครย้อนยุคมา และมีฉากการแข่งขันซูจู้*หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้นางจึงได้เรียนมาช่วงหนึ่ง การเป็นนักแสดงที่ดี นางต้องเรียนทุกอย่างเพื่อรับบทบาทหลากหลาย และนางก็จริงจังตั้งใจจนเรียนได้ไม่เลว เรียกได้ว่าไม่สามารถนับสิ่งที่เคยเรียนรู้มาในฐานะนักแสดงได้
*ซูจู้ การเล่นฟุตบอลแข่งกันในยุคโบราณ
“หากฝ่าบาทไม่พอใจมัน หม่อมฉันจะสาธิตให้ฝ่าบาทเห็นถึงลูกบอลที่เชื่อฟังเองเพคะ”
“เจ้าเตะบอลเป็นหรือ?”
เขาแปลกใจ ช่วงนี้เขาหลงใหลการเล่นซูจู้ หากแต่ไม่มีอาจารย์ที่ดี ฝีมือของเขาจึงไม่ช่ำชองนัก ทำให้นึกหงุดหงิดไม่น้อย
“รู้อยู่บ้างเพคะ”
“เจ้าลุกขึ้น หากเอาชนะเจิ้นได้ เจิ้นจะไม่ถือโทษ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น...” เฉินโม่ชีกล่าวข่มขู่
เจ้าเด็กน้อย หากยังเอาชนะมือใหม่อย่างท่านไม่ได้ก็คงไร้ค่าเต็มทน ท่านต้องเลื่อมใสสุดใจจนเรียกข้าว่าอาจารย์แน่