บทที่ 15: หมาป่าเดียวดาย (3)
บทที่ 15: หมาป่าเดียวดาย (3)
ในช่วงกลางคืน มีเพียงเสียงจั๊กจั่นดังก้องอยู่ในอากาศ
เนอร์จ้องมองดวงจันทร์อย่างเงียบๆ ผ่านหน้าต่าง
ดวงจันทร์เป็นเพียงหนทางเดียวที่เนอร์จะเชื่อมโยงเธอกับชายในคำทำนายของคุณยายมาโดยตลอด และมันก็เป็นสิ่งปลอบประโลมใจของเธอด้วย
เพราะเธอจ้องมองดวงจันทร์อยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย มันจึงทำให้ยามใดที่เนอร์มองมัน เธอจะรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ
ยิ่งกว่านั้น แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่การมองดูดวงจันทร์อันเงียบสงบและส่องประกายก็ทำให้เธอหลงใหลในความงามของมัน และละทิ้งความทุกข์ทั้งหมดไปจนหมดสิ้นได้
ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม
มันถือเป็นการพักผ่อนในช่วงสั้นๆ เธอจะได้ลืมเรื่องการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้น ลืมเรื่องที่จะไม่ได้อยู่ร่วมกับคู่ครองในคำทำนายของเธอ และเพื่อปลอบประโลมจิตใจในความเงียบสงัดในยามค่ำคืน
บางทีเธออาจจะเสียน้ำตามากเกินไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดังนั้นตอนนี้น้ำตาจึงไม่ไหลรินออกมาอีกแล้ว
เธอค่อยๆ กระพริบตาและเพ่งความสนใจไปที่ดวงจันทร์เท่านั้น
ก๊อก ก๊อก
ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะเบาๆ ก็ปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
ต่างจากเสียงเคาะประตูของพี่ชายของเธอในตอนกลางวัน คราวนี้ประตูไม่ได้เปิดออกเองทันที
การกระทำเช่นนี้มีน้อยคนมาก
เนอร์จึงสามารถบอกได้ทันทีว่าคนๆ นั้นคือใคร
"…เข้ามาได้เลยค่ะ"
เนอร์พูดโดยไม่ละสายตาจากดวงจันทร์
ไม่นานประตูก็เปิดออก
ฝีเท้าที่สงบและมั่นคงเข้ามาในห้อง
"…มีอะไรหรือเปล่าคะ?"
เนอร์ไม่หันกลับมามอง และถามออกไปทันที
“…สงบสติอารมณ์ลงได้แล้วหรือยัง?”
กิ้บสัน พ่อของเนอร์ถามขึ้น
“…”
เธอไม่ได้ตอบอะไร
ช่วงเวลาแห่งความเงียบผ่านไป
กิ้บสันเดินช้าๆ และนั่งลงข้างๆ เนอร์บนเตียง
สำหรับเนอร์ พฤติกรรมนี้ของพ่อเป็นสิ่งที่เธอค่อนข้างไม่คุ้นเคยเลย
ความสัมพันธ์ของเธอและพ่อไม่ใช่แบบนี้
“…”
เนอร์ไม่สามารถพูดได้เลยว่าเธอสงบใจลงแล้ว
หากเธอละสายตาจากดวงจันทร์ เธออาจจะน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
เธอรอคอยมาทั้งชีวิตเพื่อตามหาคู่รักที่โชคชะตาของเธอกำหนดไว้ แต่ตอนนี้ความฝันนั้นกลับพังทลายลง
“เนอร์ หันมานี่สิ”
เนอร์กระพริบตาและหันศีรษะมาทางพ่อขณะหายใจเข้าลึก ๆ
เธอสามารถเห็นใบหน้าของพ่อเธอได้ทุกส่วน ซึ่งมันมีแต่ความเย็นชาเท่านั้น
พ่อของเธอมักมองเธอด้วยสีหน้าแบบนั้นเสมอ
มันเป็นสายตาที่แตกต่างไปเมื่อเทียบกับเมื่อพ่อมองไปยังพี่สาวหรือพี่ชายของเนอร์
ร่องรอยของความไม่พอใจต่อเนอร์ผู้ที่พรากชีวิตของภรรยาเขานั้นยังคงอยู่เสมอ
เนอร์เองก็พอรู้ได้
เพราะตอนนี้เธอเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น มีบางครั้งเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเมื่อได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
สักวันหนึ่งเนอร์เองก็อยากจะสัมผัสความรักเช่นนี้
เขาไม่สามารถเก็บงำความขุ่นเคืองต่อลูกที่เกิดจากสายเลือดของตนได้ แสดงว่าเขาจะต้องรักแม่ของเธอลึกซึ้งขนาดไหนกันนะ?
เนอร์ผู้ไม่เคยสัมผัสอารมณ์นั้นมาก่อน เธอเลยมีความอยากรู้อยากเห็นมาโดยตลอด
แม้ว่าเธอจะโหยหาคู่รักที่โชคชะตาของเธอในขณะที่จ้องมองดวงจันทร์ แต่เธอก็ไม่เคยได้รับความรักจากคนที่เธอไม่เคยพบมาก่อน
“อีกสองวัน พิธีแต่งงานจะเกิดขึ้น”
กิ้บสันพูดช้าๆ
“…”
“…จากนี้ไปลูกจะต้องเตรียมตัว พรุ่งนี้อาจจะต้องไปทานอาหารร่วมกับฝ่ายนั้น ลูกไม่สามารถร้องไห้เหมือนวันนี้ได้อีกแล้ว”
ขณะที่เธอตระหนักว่าความเป็นจริงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามา หัวใจของเนอร์ก็เต้นรัวอีกครั้ง
เป็นผลให้คำพูดที่ห้ามไว้ได้พรั่งพรูออกมาตามธรรมชาติของคนที่กำลังเสียใจ
"…ทำไมต้องเป็นหนู?"
“…”
“พ่อ ทำไมต้องเป็นหนูด้วย?”
มีพี่สาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วทำไมต้องเป็นเธอด้วย?
จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเนอร์ไม่ทราบเหตุผล
แต่เธออยากได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของพ่อ
เธอต้องการให้เขาพูดข้อแก้ตัวออกมาที่มันฟังขึ้นมากที่สุด
“…มันเป็นการเสียสละเพื่อดินแดนของเรา เนอร์”
กิ้บสัน แบล็ควูดหันกลับมาแล้วพูดตอบเธอ
เนอร์ไม่แปลกใจกับความจริงข้อนั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเธอ
ความแข็งแกร่งและพลังงานของเธอแทบหมดลงไปทันที
เธออยากจะยอมแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทันใดนั้นเนอร์ก็สงสัยว่าทำไมเธอต้องไม่มีความสุขขนาดนี้แค่คนเดียว
มันรู้สึกเหมือนเธอถูกคำสาปแช่งนับไม่ถ้วนตั้งแต่แรกเกิด
เธอไม่ได้รับความรักจากแม่ ไม่ได้รับความรักของพ่อ หรือไม่ได้รับความรักของพี่น้องของเธอเลยสักคน
ความเมตตาและความรักเดียวที่เธอเคยได้รับคือจากคุณยายที่จากไป ความมีน้ำใจของคนรับใช้ และการดูแลตามมารยาทของขุนนางคนอื่นๆ ที่เธอพบในงานสังสรรค์
เธอรู้สึกเหงาอยู่เสมอ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเยอะแยะมากมาย
บางครั้งเธอก็สงสัยว่าคุณยายของเธอโกหกเธอหรือเปล่า
บางทีอาจจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคู่ชีวิตที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้วก็ได้
มันอาจเป็นความเมตตาของคุณยายที่มีต่อเธอ ผู้ที่ไม่มีอะไรนอกจากความโชคร้าย
เพราะอย่างนั้นคุณยายของเธอจึงให้ความหวังอันเปรียบดั่งความฝัน
ทว่าความหวังนั้นได้เลือนหายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
เนอร์จับแขนของพ่ออย่างระมัดระวัง
รู้สึกเหมือนกับว่าเธอเพิ่งได้สัมผัสพ่อของเธอแบบนี้หลังจากผ่านไปนานมากแล้ว
น้ำตาที่คิดว่าแห้งไปแล้วก็ไหลออกมาจากดวงตาของเนอร์อีกครั้ง
"…พ่อ…"
“…”
“หนู…ไม่อยากทำ…ฮึก…ได้โปรด…”
“…”
“หนูไม่เคยต้องการสิ่งใดเลย…ได้โปรดเถอะนะค…”
ท่าทางของกิ้บสันค่อยๆ เปลี่ยนไป
แต่เขาไม่เปลี่ยนคำพูดของเขา
"…พ่อขอโทษ"
เขาทำได้เพียงกล่าวคำขอโทษออกมา
ในท้ายที่สุด เนอร์ก็ได้แต่ข่มอารมณ์ของเธอเอาไว้
น้ำตาของเธอค่อยๆ หยุดไหล เธอปล่อยแขนของพ่อด้วยใบหน้าว่างเปล่า
จากนั้นเธอก็หันศีรษะไปทางหน้าต่างและมองดูดวงจันทร์
"ได้โปรดออกไปก่อนได้ไหมคะ?"
เนอร์ร้องขอ แต่กิ้บสันยังคงนิ่งเฉยอยู่เป็นเวลานาน
เนอร์ปลอบใจตัวเองด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พ่อมีให้เธอ
เธอพยายามปลอบใจตัวเอง
มีคนต้องเสียสละ แต่เธอผู้โชคร้ายที่สุดกลับเป็นเพียงผู้เดียวจะต้องรับเคราะห์กรรมทั้งหมด
"…เนอร์"
ทันใดนั้น กิ้บสันก็คว้าแขนของเนอร์
เนอร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย
กิ้บสันถอนหายใจยาว
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กระซิบเงียบๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“…ถ้าลูกเคยรู้สึกว่าพ่อของลูกคนนี้ไม่รักลูก…มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“…”
“มันแค่…มันรู้สึกเจ็บมากกว่า ดังนั้นพ่อจึงแสดงมันออกมาไม่ได้”
“…”
“ลูกเป็นลูกสาวที่เกิดจากซิลลิน…แล้วพ่อจะเกลียดลูกลงได้ยังไง…”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เนอร์ก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนของพ่อ
ถ้ามันผ่านไปสองสามวัน แล้วพ่อมาพูดคำสารภาพแบบนี้ เธอคงจะฟังแล้วรู้สึกซึ้งใจ
แต่ตอนนี้มันดูเหมือนไม่มีอะไรมากไปกว่าข้อแก้ตัว
“…จากนี้ไป สิ่งที่พ่อจะพูดออกไปถือว่าเป็นความลับ”
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศได้เปลี่ยนไปกะทันหันด้วยคำพูดของกิ้บสัน
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผ่านจากมือของเขา ซึ่งจับแขนของเธอไว้
“มันคือการสละเกียรติ… แต่เพื่อประโยชน์ของลูกหลานในดินแดนของเราและอนาคต…”
"…พ่อ?"
เนอร์ที่กำลังมองดูดวงจันทร์ก็หันไปมองที่กิ้บสัน
เขากระซิบ
“…ลูกทนได้ไหม…กับการทรยศ?”
"……………ห่ะ?"
ทันใดนั้น เนอร์ก็สงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
“…ลูกต้องนำข้อมูลที่สามารถทำลายเปลวเพลิงสีชาตมาให้พ่อ ในฐานะภรรยาของรองกัปตัน สักวันหนึ่ง ลูกคงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างของพวกนั้นได้”
แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร เธอก็รู้ได้ว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่
“…เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องดับความคับข้องใจอย่างเร่งด่วน สงครามกับราชาปีศาจกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า หากเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เราก็จะค่อยๆ ฟื้นความเข้มแข็งในอดีตกลับมาได้ ไม่ใช่แค่พวกเราเท่านั้น แต่ขุนนางอีกหลายคนก็จะเหมือนกัน”
“…พ่อ…”
“เพราะงั้นแล้ว อิทธิพลของหน่วยกลุ่มทหารรับจ้างจะลดลงตามไปด้วย เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้ว เปลวเพลิงสีชาตจึงคิดจะพาลูกไป พวกเขาก็กำลังหาทางเอาตัวรอดและแบกเราไว้บนหลังของพวกเขา”
“…”
“อดทนจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด รอจนกว่าตระกูลแบล็ควูดจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากนั้น หากลูกพบจุดอ่อนของเปลวเพลิงสีชาตก็ส่งข้อมูลมาให้พ่อ…ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะด้วยการทำลายเปลวเพลิงสีชาตด้วยกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มอื่น หรือโดยการผนึกกำลังกับตระกูลอื่นเพื่อทำลายล้างพวกมัน…ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง พ่อก็จะทำลายพวกมันและช่วยเหลือลูก”
มันเป็นข้อเสนอที่จริงใจจากพ่อของเธอ
เป็นครั้งแรกที่เนอร์รู้สึกราวกับว่าเสียงของเขาส่งเข้ามาถึงใจเธอ
อารมณ์ที่เธอเก็บกดไว้พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
แม้จะดูน่าสมเพชแค่ไหน แต่เธอก็ขอพ่ออีกครั้ง
“…ไม่มี…ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการแต่งงานจริงๆ เหรอคะ…?”
“…”
กิ้บสันไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมาเลย
การแต่งงานตอนนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้
เนอร์ถามถึงทางออกที่ดีที่สุดถัดไปทั้งน้ำตา
“…ฮึก…แต่พ่อจะช่วยหนูทีหลังจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
เสียงของเนอร์ค่อยๆ เบาลงไป แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องจับเชือกที่พ่อยื่นให้ไว้ มันไม่มีทางอื่นแล้ว
กิ้บสันค่อยๆ ดึงศีรษะของเนอร์เข้ามาใกล้หน้าอกของเขา
สำหรับเนอร์ มันคือความอบอุ่นจากพ่อของเธอที่เธอสัมผัสได้เป็นครั้งแรก
“…พ่อขอโทษจากจริงใจที่ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ พ่อ…ก็ไม่ต้องการที่จะขายลูกให้คนพวกนั้นเช่นกัน”
ขณะที่รู้สึกสะอื้นใจ เนอร์ก็ได้นึกถึงปัญหาที่ยังไม่ได้ไขข้อสงสัย
แม้ว่าจะมีความหวังกับเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ก็มีสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“…แล้วความบริสุทธิ์ของหนูล่ะ?”
“……”
“…ฮึก… พ่อ… แล้วศักดิ์ศรีของหนูล่ะ?”
แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะผ่านไปได้และเธอก็รอดพ้นจากเปลวเพลิงสีชาตได้ ทว่าความไร้เดียงสาของเธอก็ไม่สามารถกลับคืนมาได้
เธอไม่สามารถคาดหวังสิ่งนี้จากมนุษย์ที่ป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยตัณหาได้
ในช่วงสิ้นสุดสงครามและในขณะที่แบล็ควูดฟื้นคืนความแข็งแกร่ง เธอก็มั่นใจมากว่าเธอคงจะถูกล่วงเกินมากเท่าที่เขาพอใจ
คู่รักในโชคชะตาของเธอที่เธอจะได้พบสักวันหนึ่ง จะยอมรับตัวเธอผู้ไม่บริสุทธิ์ได้งั้นเหรอ?
เนอร์ไม่มั่นใจเลย
“…ล่อลวงเขาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งสิ เขาไม่สามารถขืนใจลูกได้หรอก เพราะหากเขาทำผิดพลาด มันก็จะเหมือนกับการต่อต้านพันธมิตรของแบล็ควูดทั้งหมด กล่าวคือ…เขาเองก็จะต้องเคารพความคิดของลูก”
“พ่อรู้ได้ยังไงล่ะ? เขาเป็น…มนุษย์นะ”
กิ้บสันไม่ตอบ
สำหรับเนอร์ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบ
ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมจิตใจ
เนิร์เช็ดน้ำตาแล้วถามข้อมูลที่ชัดเจน
“…ฮึก… นานแค่ไหน… หนูต้องรอนานแค่ไหน?”
“หนึ่งปี…หรือสองปี…ประมาณนี้”
“เมื่อถึงเวลา…พ่อจะบอกหนูและมาช่วยหนูใช่ไหม?”
แม้จะอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์นี้ เนอร์ก็ยังสงสัยคำพูดของกิ้บสัน อาจเป็นเรื่องโกหก ที่ทำให้เธอเชื่อฟังแล้วทิ้งเธอไป
"แน่นอน พ่อสัญญาด้วยเกียรติกับแม่ของลูก”
ทว่าตอนนี้มีแค่คำสัญญาของพ่อเธอเท่านั้น
“…ฮึก…ฮึก…”
เนอร์หลั่งน้ำตากับพ่อของเธอที่สัญญาว่าจะช่วยเหลือเธอ
กิ้บสันยังคงปลอบเนอร์และอธิบายต่อไป
“แต่เหนือสิ่งอื่นใด…พ่อหวังว่าลูกจะพบความสุขที่นั่น หากเป็นเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครต้องได้รับบาดเจ็บ…”
เนอร์ส่ายหัว
“คู่ชีวิตของหนู…คู่ชีวิตของหนูไม่ใช่ทหารรับจ้าง”
แม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอรู้ แต่รองกัปตันแห่งเปลวเพลิงสีชาตก็ไม่ใช่คู่ในพรหมลิขิตของเธอแน่นอน
เขาไม่ใช่ขุนนางด้วยซ้ำ
กิ้บสันดูเหมือนจะสะเทือนใจกับคำตอบของเนอร์
“…ถ้าอย่างนั้นเราค่อยมาคิดกันอีกทีเถอะ”
ร่างกายของเนอร์ผ่อนคลายลงมาก
ในท้ายที่สุด เธอก็ต้องจำใยยอมรับการแต่งงาน
นรกนี้คงจะต้องจบลงสักวันหนึ่ง ในครั้งนี้เธอตัดสินใจที่จะอดทนกับมันอีกครั้ง
คุณยายของเธอบอกว่าคู่ชีวิตในโชคชะตาของเธอจะทะนุถนอมเธอ
แม้ว่าเธอจะพบเขาโดยปราศจากความบริสุทธิ์ของเธอ แต่เธอก็เชื่อว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความเอาใจใส่อย่างแน่นอน…เธอต้องเชื่อในสิ่งนั้น
เป็นอีกครั้งที่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อในคำทำนายของคุณยายและรวบรวมความกล้าในใจของเธอ
เป็นอีกครั้งที่เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อในคำทำนายและอดทน
ยังไงเสีย ตัวเธอก็คุ้นเคยกับการรอคอยอยู่แล้ว
****
“เบิร์ก เราไปเป็นขุนนางด้วยกันเลยไหม?”
เป็นเวลาดึกแล้ว
ฉันกำลังจ้องมองดวงจันทร์จากห้องพัก
ขณะที่สมาชิกในกลุ่มของเราดื่มเหล้าที่พวกเขานำมา ฉันก็เข้าร่วมพูดคุยกับพี่อดัมอย่างกะทันหัน
“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
เขากางแขนออกแล้วชี้ไปรอบๆ
“ชีวิตแบบนี้ดีจะตายไป”
คฤหาสน์ที่ทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยของเรานั้นเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่
พี่อดัมยังคงมองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วถามอีกครั้ง
“…แล้วมันยังไงงั้นเหรอ?”
ที่เขาพูดเช่นนี้คงไม่ใช่เพียงเพราะเราได้พักอาศัยอยู่ในเรือนรับแขกที่หรูหรา
ฉันรู้จักพี่อดัมมาเป็นเวลานาน ย่อมรู้ดี
พี่อดัมถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เลียริมฝีปากและกระซิบ
"…ก็ไม่ไง พอฉันลองมองไปรอบๆ ดินแดนของตระกูลแบล็ควูด…ทุกคนดูมีความสุขดี”
“พวกเขาอาจจะดูมีความสุข แต่พวกเขาเรียกหาเราก่อนที่พวกเขาจะตายนะ”
“ทหารที่เสียชีวิต ไม่ใช่ครอบครัวของพวกเขา”
“…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่พวกเราจะกลายเป็นขุนนางล่ะ?”
“ฉันแค่สงสัยว่าเราจะมีชีวิตที่มั่นคงได้หรือเปล่าถ้าเรามีอิสระ”
“…”
“กลุ่มเปลวเพลิงสีชาตนั้นยอดเยี่ยมมาก…แต่เราเป็นเพียงแค่ทหารรับจ้าง สุดท้ายมันก็ย่อมต้องมีคนตายเป็นจำนวนมาก”
“…”
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มทหารรับจ้างอื่นๆ อัตราการบาดเจ็บล้มตายของเรานั้นต่ำมาก…แต่ด้วยความที่เราใกล้ชิดและสนิทสนนกันเกินไป การตายของแต่ละคนจึงส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง
ฉันเห็นด้วยกับถ้อยคำของพี่อดัม
ฉันยังคงฟังคำพูดของพี่อดัมอย่างตั้งใจต่อไป
“คงจะดีถ้าเรามีดินแดนที่เราสามารถปกครองได้”
ฉันหลุดขำออกมา
ภายในเสียงหัวเราะของฉัน มันก็ยังแฝงความเคารพต่อเขาอีกด้วย ดูเหมือนไม่ว่ายังไง เขาก็จะคิดถึงแต่สมาชิกเท่านั้นเสมอสินะ
“แต่เพราะฉันไม่ใช่ขุนนาง ฉันจึงไม่มีที่ดิน ฉันไม่สามารถทำการเกษตรได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เรายังคงเป็นทหารรับจ้างแบบนี้”
“ดูเหมือนพี่อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยการทำการเกษตรงั้นสินะ?”
“ถ้าฉันทำได้ นั่นคงจะเป็นทางเลือกดีที่สุดเลยล่ะเบิร์ก แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เราคงจะต้องค้นหาเส้นทางใหม่อยู่ดี”
ฉันรู้สึกได้ถึงความจริงใจในคำพูดของเขา
ฉันไม่ได้พูดหยอกล้อใดๆ ออกไปเหมือนเคย
แต่ฉันกลับพูดด้วยคำตอบที่ดีที่สุดที่ฉันคิดได้โดยใช้หัวที่แสนดื้อรั้น
“…บางทีพี่ควรแต่งงานกับขุนนางแทนผมนะพี่ นั่นอาจทำให้เรามีความหวังมากกว่านี้”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า แม้ว่าฉันจะเป็นขุนนาง แต่ฉันก็คงไม่ได้ที่ดินอยู่ดี”
“แล้วต้องทำไงล่ะพี่?”
พี่อดัมยักไหล่ของเขา
“ไม่รู้สิเบิร์ก ไปเกิดใหม่อีกครั้งมั้ง”
ขณะที่เรากำลังพูดคุยกันอย่างจริงใจถึงความกังวลของเราในอนาคตด้วยกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดอันไร้สาระของเขา ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา