CD บทที่ 445 บันทึกลงหน้าประวัติศาสตร์
เช้าวันต่อมา
จ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงเปลี่ยนชุดเครื่องแบบใหม่และมุ่งหน้าไปที่ห้องจัดงานศพเพื่อเข้าร่วมงานศพของฝูเจียนซิงและคนอื่น ๆ ในเหตุการณ์สันเขานายพล
สถานีโม่หยางประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ นักสืบห้าคนได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือฝูเจียนซิง ทั้งหมดต่างเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่
สถานีตำรวจฉินชานทำแบบเดียวกับที่พวกเขาทำในงานศพของหัวหน้าทีมคูปิง พวกเขาจัดงานให้อย่างสมเกียรติ แต่ถึงอย่างนั้น การเสียชีวิตของพวกเขาทำให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องต่างร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า
ในระหว่างพิธีศพ สมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตต่างโศกเศร้าและคร่ำครวญด้วยความเสียใจ
ในระหว่างพิธีไว้อาลัย จ้าวหยู่รู้สึกหดหู่ใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขณะที่เขานึกถึงความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับหัวหน้าทีมคูปิง การรำลึกถึงอดีตที่คล้ายกัน ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นร้องไห้ออกมาเช่นกัน
เมื่อพิธีไว้อาลัยสิ้นสุดลง จ้าวหยู่, เหมี่ยวอิงและเพื่อนร่วมงานจากแผนกสืบสวนสถานีหรงหยางได้ไปที่สุสานเพื่อวางดอกไม้เพื่อเป็นเกียรติแก่หัวหน้าทีมคูปิง
แม้ว่าฆาตกรที่สังหารหัวหน้าทีมคูปิงจะถูกจำคุกแล้ว แต่ตัวการคนสำคัญอย่างหยู่ฟู่เซิงยังลอยนวล ว่ากันว่าหยู่ฟู่เซิงได้หลบหนีไปซ่อนตัวในต่างประเทศ แม้ว่าทางกองกำลังตำรวจจะทุ่มเทสรรพกำลังเพิ่มเติม แต่พวกเขาไม่สามารถจับกุมเขาได้
แต่จ้าวหยู่เชื่อว่าเวลาของหยู่ฟู่เซิงใกล้จะหมดลงแล้ว และเขาจะถูกตำรวจจับกุมในที่สุด จากนั้นตัวเขาก็จะถูกนำตัวมาขึ้นศาล
ขณะที่จ้าวหยู่และทีมยืนอยู่หน้าหลุมศพของหัวหน้าทีมคูปิง จู่ ๆ หัวหน้าสำนักโจวอันดงก็ปรากฏตัวขึ้นมา เขาถือช่อดอกไม้อยู่ เห็นได้ชัดว่าเขานำดอกไม้เหล่านั้นมาให้คูปิงด้วย
เมื่อหัวหน้าเก่าเห็นลูกน้องเก่า บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความยินดี พวกเขาเริ่มพูดคุยกับทุกคนที่อยู่นอกสุสาน
ในขณะนั้น หัวหน้าสำนักโจวได้รับประโยชน์จากความโชคร้ายก่อนหน้านี้ เนื่องจากเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงประสบการณ์อันเลวร้ายในตอนนั้น มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เขาเหงื่อตก
เนื่องจากสถานการณ์เหล่านี้ ทำให้หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งใหม่ เขาจะดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง และทำอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยังไม่มีเวลากลับไปเยี่ยมลูกน้องในอดีตของเขาเลย
ทุกคนกำลังพูดคุยกัน และจู่ ๆ หัวหน้าสำนักโจวก็เรียกจ้าวหยู่ไปด้านหนึ่ง และพูดกับจ้าวหยู่ด้วยท่าทีที่ต่างออกไป โดยบอกกับจ้าวหยู่ว่า
“จ้าวหยู่ การที่ฉันสามารถรอดจากข้อกล่าวหาทั้งหมดได้ ทั้งหมดฉันต้องขอบคุณคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณที่จับกุมคนร้ายเหล่านั้น และพบหลักฐานที่พวกเขาใส่ร้ายฉัน ฉัน โจวอันดง คงจะไม่สามารถลบล้างมลทินออกจากชื่อของฉันได้ เรื่องนี้จะไม่มีวันลืมเด็ดขาด!”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า…” จ้าวหยู่พูดอย่างถ่อมตัว แต่ก็ยังไม่วายพูดจาติดตลกว่า “หัวหน้าสำนักโจว แค่คำขอบคุณ มันไม่มีประโยชน์กับผมหรอก จากสิ่งที่ฉันเห็น… ถ้าคุณอยากจะขอบคุณฉันจริง ๆ ล่ะก็ คุณเอาของที่จับต้องได้มาดีกว่านะครับ ฮิฮิฮิ…”
จากนั้น จ้าวหยู่ก็ยื่นมือออก ทำท่าทางนับเงิน โจวอันดงเคยชินกับการเป็นผู้นำ ตามปกติ ลูกน้องของเขาทุกคนจะเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่เขาคิด เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลของจ้าวหยู่ซึ่งเขาไม่ได้ยินมานาน เขาก็รู้สึกเป็นมิตรและคุ้นเคยกับเขาอย่างยิ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย!” หัวหน้าสำนักโจวกล่าวอย่างมีอารมณ์ “พูดตามตรง การที่คุณอวดเบ่งอย่างไร้ยางอาย มันทำให้ฉันเกลียดมันจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ!”
“เอ๊ะ! แล้วตอนนี้ล่ะครับ?” จ้าวหยู่ถามอย่างสนุกสนาน
“ตอนนี้ฉันเกลียดมันยิ่งกว่าเดิมซะอีก! ฮ่าฮ่าฮ่า!” หัวหน้าสำนักโจวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
จ้าวหยู่แซวว่า
“แหม่ ดูเหมือนว่ามุกตลกของคุณจะพัฒนาขึ้นนะเนี่ย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หัวหน้าสำนักโจวสั่นสะท้านด้วยเสียงหัวเราะ และเหล่านักสืบในบริเวณนั้นตกตะลึง เพราะที่นี่เป็นสุสาน มันคงไม่เหมาะสมที่จะมีใครคำรามด้วยเสียงหัวเราะอย่างนี้
ตามที่คาดไว้ หลังจากที่พวกเขาหัวเราะเสร็จแล้ว จู่ ๆ หัวหน้าสำนักโจวก็สังเกตเห็นบรรยากาศโดยรอบและยิ้มเบา ๆ ทันที แต่จากนั้นเขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า
“จ้าวหยู่ ฉันไม่ใช่คนที่เนรคุณกับผู้มีพระคุณ ดังนั้น หลังจากนี้ไป ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาแบบไหนในอนาคต ให้มาหาฉันได้เลย ฉันจะพยายามช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่ แม้ว่าคุณจะต้องสร้างปัญหาใหญ่โตเพียงใด แต่ฉันก็พร้อมที่จะอยู่ข้างคุณ!”
"ตกลง! พี่ชาย!"
จ้าวหยู่และโจวอันดงจับมือกัน จ้าวหยู่รับรู้ถึงความจริงใจที่สื่อผ่านน้ำเสียงของโจวอันดง เขาจะต้องทำตามที่พูดอย่างแน่นอน
‘ฮิฮิฮิ’ จ้าวหยู่หัวเราะในใจ ‘ดีมาก นอกจาก เหลียวจินซานแล้ว ตอนนี้ฉันยังมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งและทรงพลังเพิ่มขึ้นอีกคน!’
“จ้าวหยู่” หัวหน้าสำนักโจวแนะนำอย่างจริงจังอีกครั้ง “ในสำนักงานเทศบาล ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจธรรมดา พวกเขาก็ต่างชื่นชมคุณ! ดังนั้นขอให้คุณทำงานหนักอย่างนี้ต่อไป! หากคุณมีความตั้งใจที่จะขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ขอให้บอกฉันได้เลย ฉันจะหาทางช่วยคุณเอง!”
"ขอบคุณ! ขอบคุณ! ผมคงต้องพึ่งคุณแล้ว ฮิฮิฮิ…”
พวกเขาทั้งสองยังคงพูดคุยกันต่อไป จากนั้นในที่สุดก็เข้าร่วมฝูงชนอีกครั้ง หัวหน้าสำนักโจวเชิญทุกคนมารับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทุกคนตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี
ประมาณเที่ยงวัน นอกจากนักสืบจากแผนกสืบสวน ผู้การหลัน เลขานุการซ่งเฉา และเพื่อนร่วมงานเก่าคนอื่น ๆ จากส่วนอื่น ๆ ก็ถูกเรียกตัวโดยหัวหน้าสำนักโจว แม้แต่ผู้กองจินซึ่งเกษียณจากภาคสนามก็มาด้วยเช่นกัน
ขณะที่เพื่อนเก่ามารวมตัวกัน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความสุข ถึงงานเลี้ยงจะเสียงดังมากแต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังทานอาหารกลางวัน ตามการนัดหมายก่อนหน้านี้ จ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงขับรถไปที่สำนักโบราณวัตถุฉินชาน จุดประสงค์ในการมาเยี่ยมชมวันนั้นคือได้รับคำเชิญให้ไปชมสมบัติ พวกเขายังจำเป็นต้องกรอกเอกสารที่เกี่ยวข้อง และต้องการไปเยี่ยมนักโบราณคดีชราทั้งสองคนอีกด้วย
เมื่อคนที่สำนักงานได้ยินว่าจ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงกำลังมา ศาสตราจารย์เทียนตงมินที่ถูกตรงไปที่ประตูเพื่อต้อนรับพร้อมกับรถเข็นของเขา
ในสายตาของชายชราสองคน จ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงเป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขา หากไม่ใช่เพราะทั้งสองคนได้ช่วยเหลือพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญ พวกเขาคงตาย และไปหาตงเป่ยโจวแล้ว
เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับคดี นักโบราณคดีทั้งสองจึงถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาว่าทั้งสองคนอยู่ภายใต้คำสั่ง และไม่มีทางเลือกในการกระทำของพวกเขา
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่ได้ดำเนินคดีต่อไป ในส่วนของสำนักโบราณวัตถุนั้นทราบดีว่าทั้งสองท่านมีอายุค่อนข้างมากแล้ว และมีส่วนช่วยอย่างมากในการขุดค้นเทวรูปทองคำ พวกเขาจึงได้รับการยกเว้นจากการลงโทษจากความผิดที่ปิดบังข้อมูลอีกด้วย
จากนั้น เทียนตงมินกับหัวไท่หมิงได้นำจ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงมาที่โกดังรักษาอุณหภูมิในสำนักโบราณวัตถุทาง เพื่อเยี่ยมชมการจัดแสดงเทวรูปคำทั้งสิบสองพระองค์ ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญในประเทศและต่างประเทศกำลังดูแลสมบัตินี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
ณ ตอนนี้ ทุกคนกำลังมองไปที่เทวรูปทองคำทั้งสิบสอง ซึ่งมีการออกแบบที่แตกต่างกันปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา หลังจากการดูแลรักษา เทวรูปทองคำสิบสองพระองค์ก็เปล่งประกายด้วยลำแสงสีทอง ดูหรูหราและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
เครื่องประดับที่พบในกล่องไม้ ซึ่งรวมถึงหินโมรา มุกโบราณ และหยกจำนวนมหาศาล พวกมันรูปจัดเรียงอย่างวิจิตรตระการตา ด้วยจำนวนอันมากมายเสียจนไม่อาจละสายตาได้
เมื่อมองดูสมบัติที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด เขาเอาแต่คิดกับตัวเองว่าไม่ว่าพวกมันจะมีราคาเท่าไหร่ เขาคิดว่ามันน่าจะห้าล้านขึ้นไป
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่เขาเป็นคนค้นพบเทวรูปทองคำ ผลประโยชน์ที่จ้าวหยู่จะได้รับ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเงินเท่านั้น
ในฐานะผู้ค้นพบสมบัติ จ้าวหยู่ได้ลงนามในเอกสารและรายงานที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ก่อนที่เขาจะไปถ่ายรูปกับเทวรูปทองคำชิ้นต่าง ๆ ภายใต้การจัดเตรียมที่ได้รับอนุมัติหรือผ่านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
หลังจากลงนามในเอกสารและถ่ายรูปเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนี้ จ้าวหยู่เป็นผู้ค้นพบสมบัติเพียงคนเดียวตามกฎหมาย สิ่งนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก! กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชื่อของเขาเพียงชื่อเดียวเท่านั้นที่จะจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้ค้นพบเทวรูปทองคำ
อาจกล่าวได้ว่า จ้าวหยู่ได้รับชื่อเสียงและเงินทอง เนื่องจากจ้าวหยู่กับเหมี่ยวอิงยังคงเพลิดเพลินกับช่วงฮันนีมูน พวกเขาก็จำเป็นต้องเฉลิมฉลองโดยธรรมชาติ ในคืนนั้น ทั้งสองเลือกร้านอาหารหรูที่เงียบสงบกว่าเพื่อเพลิดเพลินกับมื้ออาหารแสนอร่อย
แต่หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เหมี่ยวอิงมีนัดที่คลินิกเสริมความงามเพื่อรับบริการดูแลรูปร่าง ดังนั้นเธอคงจะกลับบ้านดึก เนื่องจากคลินิกเสริมความงามอยู่ใกล้กับบ้านของเธอ เธอจึงตัดสินใจกลับไปที่บ้านของเธอเอง แทนที่จะพักที่บ้านของจ้าวหยู่
จ้าวหยู่มีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ท้วงติงใด ๆ หลังจากแยกกับเหมี่ยวยิงที่ร้านอาหาร เขาก็ขับรถเป็นเวลาสิบนาทีรีบไปยังสถานที่ที่เรียกว่าโรงแรมแฟดแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล
จ้าวหยู่ใช้เวลานานในการคำนวณบนแผนที่เมื่อคืนก่อน และในที่สุดก็พบสถานที่ที่ตัวเลขที่บทกวีคำทำนายกล่าวถึง ซึ่งก็คือโรงแรมแห่งนี้
ขณะนี้ใกล้จะสามทุ่มแล้ว เขาสงสัยว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรรอเขาอยู่?