ตอนที่แล้วตอนที่ 24 วิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 26 เทพอสูรลับ ชำระล้างสวรรค์และโลกา

ตอนที่ 25 ข้าขอโทษที่เกิดมา


ที่หน้าผาด้านหลังของสำนักชิงหยุนเต๋า.

เย่ปิงตกตะลึงอยู่.

เดิมทีเขาคิดว่าพี่ใหญ่ของเขาจะให้คัมภีร์ลับมั่วๆแก่เขา แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นวิชายอดขนาดนี้.

“วิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ”

เขาสามารถบอกได้จากชื่อของมันว่ามันเป็นยอดวิชา.

ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเรียกว่า 'เทพอสูรโบราณ' ได้อย่างไร?

นี่แหละ!

นี่แหละ!

นี่แหละ!

ลมหายใจของเย่ปิงเริ่มเร็วขึ้น

'นี่แหละสำนักลับที่มียอดวิชาอยู่จริงๆ’

'ถ้านี่ไม่ใช่ยอดสำนักลับ แล้วจะเป็นอะไรอีกล่ะ?'

การหายใจของเย่ปิงเร็วขึ้น.

ซูชางหยูกลับเข้าใจผิด.

เขาคิดโดยไม่รู้ตัวว่าเย่ปิงได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง จึงกัดฟันเพื่ออธิบายทันที.

“น้องเล็ก, นี่คือสิ่งที่ข้าพบในซากโบราณ และข้าก็ไม่รู้ที่มาของมันเช่นกัน ทว่าพวกเราผู้ฝึกตนจะเอาแต่ฝึกเต๋ากระบี่ไม่ได้ เราไม่สามารถขาดการฝึกฝนทางจิตวิญญาณและการฝึกฝนทางร่างกายได้”

“เจ้าพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกฝนทางจิตวิญญาณไปแล้ว และรากฐานทางจิตวิญญาณของเจ้ายังด้อยอยู่ มันอาจเป็นเรื่องดีที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนทางกายภาพก่อน”

ซู ชางหยู พูดเรื่องไร้สาระออกมาล้วนๆ เพราะไม่มีของแบบนั้นในโลกของการฝึกฝนเป็นเซียนหรอก.

ผู้ฝึกตนทางกายส่วนใหญ่อยู่ในการฝึกฝนทางกายภาพเพราะรากฐานจิตวิญญาณของพวกเขาย่ำแย่เกินกว่าที่พวกเขาที่จะฝึกสิ่งอื่นใด.

ในช่วงฝึกตนขั้นขัดเกลาพลังปราณ การฝึกฝนทางกายอาจจะค่อนข้างโดดเด่นเพราะยังไงเสียพวกเขายังคงอยู่ในสถานะการต่อสู้ต่ำ และการฝึกฝนทางกายภาพก็จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน.

ทว่าเมื่อใครมาถึงขั้นสร้างรากฐาน ประโยชน์ของการฝึกฝนทางกายก็จะลดลง.

ยอดฝีมือโอสถทองคำจะสามารถสังหารศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ด้วยกระบี่บินได้.

ทว่ายอดฝีมือแห่งการฝึกฝนทางกายจะไม่สามารถฆ่าศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ด้วยหมัดเดียวได้ เว้นแต่ว่าคัมภีร์ลับจะเป็นของจริง.

หรือ มันจะเป็นของจริงกัน?

ซู ชางหยู เคยอ่านคัมภีร์ลับมาก่อน และเนื้อหานั้นไร้สาระและเต็มไปด้วยการโม้อย่างไร้เหตุผล ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกตนเป็นเซียนอยู่ ซูชางหยูคงถูกหลอกแล้ว.

ในความเป็นจริงแล้ว คัมภีร์ลับส่วนใหญ่มีแต่เรื่องเกินจริงทั้งนั้นยกเว้นเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับการขัดเกลาจริงๆ.

นั่นคือเหตุผลที่ซูชางหยูมอบคัมภีร์ลับให้กับเย่ปิง.

เขาแค่อยากให้เย่ปิงทำอะไรสักอย่างเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อพยายามเข้าใจรอยกระบี่อย่างเดียว ไม่นาน เย่ปิงคงจะเบื่อมันแน่ๆ.

อีกอย่าง ในช่วงนี้ ซูชางหยูยังต้องศึกษาคัมภีร์กระบี่ด้วย ดังนั้น ให้หนังสือนั้นท่วงเวลาเย่ปิงไปก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร.

เย่ปิงจะได้อะไรจากมันไหมน่ะเหรอ?

ซู ชางหยูไม่อยากด่วนสรุป.

การเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีจากรอยกระบี่ของเขานั้นพอจะเข้าใจได้

แต่ถ้า เย่ ปิงสามารถเข้าใจอะไรก็ตามจากคัมภีร์ไร้สาระนั่นได้ เขาก็สาบานว่าจะกลืนกระบี่บินทั้งหมดใน ชิงโจว.

"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ. ขอบพระคุณขอรับ ศิษย์พี่”

เย่ปิงเข้าใจสิ่งที่ซูชางหยูพูดค่อนข้างดี.

ผู้ฝึกตนที่มีความสามารถไม่ดีโดยทั่วไปจะต้องผ่านการปรับแต่งร่างกายเพื่อปรับปรุงสภาพร่างกายของพวกเขาก่อน.

เพื่อที่ พวกเขาจะสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณและร่างกายไปพร้อมๆกันได้.

โดยทั่วไปแล้ว วิชากระบี่จะใช้กับศัตรู แต่ถ้าใครใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อปราบปรามคู่ต่อสู้ในช่วงคับขันได้ พวกเขาก็จะโต้ตอบไม่ถูกจนสิ้นท่าไป.

อาจพูดได้ว่า “โทษทีน้อง พี่กล้ามโตกว่า” อะไรแบบนั้น.

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่ปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น.

“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจน้องชาย. เอาล่ะ หากมีปัญหาอะไรก็บอกข้าตรงๆล่ะ. ค่อยๆอ่านคัมภีร์นั่นเสีย ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ ก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ เข้าใจไหม?”

“ถึงเจ้าจะอยากฝึก เจ้าก็ควรควบแน่นพลังกระบี่ที่สมบูรณ์ของวิชาสี่กระบี่อัสนีให้ได้เสียก่อน”

ซูชางหยูจากไปหลังจากให้คำแนะนำแก่เขา.

“ดูแลตัวเองด้วยขอรับ ศิษย์พี่”

เย่ปิงส่งซูชางหยูออกไป.

ไม่นานหลังจากที่ซูชางหยูจากไป เย่ปิงก็แสดงความตื่นเต้นออกมาและกอด “วิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ” ไว้ในอ้อมแขนของเขา.

จากนั้นเขาก็นั่งทำความเข้าใจรอยกระบี่ต่อไป.

ความเร็วในการเข้าใจของเย่ปิงเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นของเขา.

ตอนนี้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ.

วิชาสี่กระบี่อัสนีฟังดูธรรมดา.

ทว่าวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพปีศาจโบราณนั้นแตกต่างออกไป

มันฟังดูดุร้าย เยือกเย็น และยิ่งใหญ่.

วิชาสี่กระบี่อัสนีคืออะไรเมื่อเทียบกับมัน?

โจมตีด้วยฟ้าร้อง? แค่มือของเขาไม่พอเหรอ?

ทว่าเย่ปิงก็ตระหนักดี.

เขาคิดว่าวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อเรียนรู้มัน มิฉะนั้น เขาจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่หากเขาล้มเหลวในการเรียนรู้วิชาการฝึกตนทางกายและวิชากระบี่.

ชั่วพริบตาสองวันผ่านไป.

ในช่วงดึก ซูชางหยูมองไปที่คัมภีร์กระบี่ในมือของเขา และตกอยู่ในสภาวะแห่งความเงียบงัน.

คัมภีร์กระบี่นี้เป็นสิ่งที่นักพรตไต้ หัวได้ใช้เลือดและเนื้อซื้อมา.

มันมีเต๋าอยู่และบุคคลแรกที่ได้อ่านคัมภีร์กระบี่จะได้รับการรู้แจ้งและเชี่ยวชาญวิชากระบี่อย่างรวดเร็ว.

ทว่าซู ชางหยู อ่านมันมาสองวันแล้ว.

แต่เขายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของกระบวนท่ากระบี่เลย.

นั่นทำให้ซูชางหยูตกอยู่ในความเงียบ

ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเช่นกัน.

นักพรตไต้ หัวต้องการให้เขาเรียนรู้มันภายในสามถึงสี่วันแล้วส่งต่อให้ เย่ ปิง.

ทว่าเขาเรียนรู้ได้ไม่ดีนักและรู้สึกหัวเสียอย่างมาก.

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ซูชางหยูรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย.

แม้ว่าความสามารถของเขาจะอยู่ในขั้นปานกลาง แต่ปัญหาก็คือคัมภีร์กระบี่นั้นถูกลงอาคมด้วยเต๋าธรรมเอาไว้.

'ทำไมข้าถึงเชี่ยวชาญมันไม่ได้?'

'ไหนบอกว่าใครก็ตามที่มีมือจะสามารถเรียนรู้มันได้ไม่ใช่หรือ?'

'ข้าถึงกับใช้เท้าด้วย แต่ทำไมข้าถึงเรียนรู้มันไม่ได้ล่ะ'

'ข้าไม่เหมาะกับการฝึกกระบี่จริงๆเหรอ?'

ซู ชางหยู รู้สึกแย่มาก.

ถ้าไม่ใช่เพราะเอาตัวเองไปเทียบกับเย่ปิง เขาคงไม่รู้สึกอ่อนด้อยกว่าขนาดนี้.

ทว่าหลังจากเปรียบเทียบตัวเองกับเย่ปิงแล้ว ซูชางหยูก็เริ่มรู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น.

ความทุกข์ทรมานของซู ชางหยูไม่ได้มาจากเรื่องพรสวรรค์.

เขาไม่เคยรู้สึกว่าเขามีความสามารถมากเลย.

เหตุผลหลักสำหรับความทุกข์ของเขาคือคัมภีร์กระบี่.

หาก นักพรตไต้ หัวรู้ว่าเขาไม่เข้าใจคัมภีร์กระบี่นี้ เขาอาจจะโดนฆ่าก็ได้.

มันมีราคาตั้ง 500 ศิลาวิญญาณ.

หลังจากลดแล้ว ก็มีราคา 450 ศิลาวิญญาณ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สำหนักชิงหยุนเต๋าใช้เวลาหลายปีกว่าจะหามาได้.

แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี.

พูดตามตรง แม้แต่ตัวซู ชางหยูเองก็ทนไม่ได้กับตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงนักพรตไต้ หัวเลย.

“ข้าจะทำอย่างไร!? ข้าจะทำอย่างไร!? ข้ารู้สึกแย่มาก”

ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำซู ชางหยู และเขาถามตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าเขาควรทำอย่างไร.

หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุด ซู ชางหยู ก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้

"ใช่แล้ว. ข้าอาจล้มเหลวในการเรียนรู้วิชากระบี่ แต่ในคัมภีร์กระบี่ยังมีคำอธิบายอยู่. ข้าไม่จำเป็นต้องส่งมันให้น้องเล็กเลย ข้าแค่ต้องเข้าใจแก่นของมันแล้วสอนมันให้เขาก็พอ.”

“ถ้าน้องเล็กสามารถเรียนรู้มันได้ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ ถ้าเขาทำไม่ได้ข้าก็ไม่สามารถโดนตำหนิได้เช่นกัน ใครบอกล่ะว่าคนมีพรสวรรค์ต้องมีความรอบด้าน?”

จู่ๆ ซูชางหยูก็คิดวิธีแก้ปัญหาขึ้นมา.

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับวิชากระบี่ชวนเหอมากนัก แต่เขาก็สามารถโกหกได้ หากเย่ปิงไม่เข้าใจสิ่งใด เขาก็สามารถอธิบายได้ตามความคิดของเขาเอง.

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูชางหยูก็ยิ้มได้ในที่สุด.

เขาเปิดคัมภีร์กระบี่ทันที อ่านอย่างจริงจังหนึ่งครั้ง จากนั้นผลักเปิดประตูเพื่อไปหาเย่ปิง.

15 นาทีต่อมา

ในสำนักชิงหยุนเต๋า

มันสงบสุขมาก.

ซูชางหยูเดินไปที่หน้าผาเพียงลำพังอย่างเงียบๆ.

ทว่าในขณะนั้น สายฟ้าก็ดังขึ้น.

มันทำให้ต้นไม้สั่นสะเทือน.

ซู ชางหยู ตกตะลึง

เขามองไปทางหน้าผาด้านหลังและเงียบไปขณะที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แข็งทื่อ

เขาสัมผัสได้.

เสียงฟ้าร้องเมื่อสักครู่นี้เป็นผลมาจากเสียงของพลังกระบี่ที่สมบูรณ์.

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันเอง.

เย่ปิงเข้าใจทักษะกระบี่อัสนีฤดูใบไม้ร่วงและกระบี่อัสนีฤดูหนาวแล้ว.

นั่นทำให้ซูชางหยูหมดคำพูด.

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ซู ชางหยู มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก.

เขากลายเป็นคนเศร้าโศกและหมดความหวัง.

เขาไม่ได้ไปที่หน้าผา

แต่เขากลับเดินอย่างเงียบ ๆ ไปยังสถานที่รกร้างด้วยตัวเขาเอง.

ซู ชางหยูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อเร็วๆ นี้.

ทุกครั้งที่กลางคืนมาถึง เขาก็จะเศร้าโศกและหม่นหมอง.

อาการของเขาดูเหมือนจะแย่ลงด้วย.

แสงจันทร์ที่กระจัดกระจายทะลุผ่านเมฆ

เขาหลีกหนีจากฝูงชนและรีบวิ่งไป.

'ข้าขอโทษที่เกิดมาเป็นมนุษย์'

ไม่รู้เพราะอะไร คำคำนั้นถึงผุดขึ้นมาในหัวของซู ชางหยู.

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด