ตอนที่ 25 ข้าขอโทษที่เกิดมา
ที่หน้าผาด้านหลังของสำนักชิงหยุนเต๋า.
เย่ปิงตกตะลึงอยู่.
เดิมทีเขาคิดว่าพี่ใหญ่ของเขาจะให้คัมภีร์ลับมั่วๆแก่เขา แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นวิชายอดขนาดนี้.
“วิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ”
เขาสามารถบอกได้จากชื่อของมันว่ามันเป็นยอดวิชา.
ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเรียกว่า 'เทพอสูรโบราณ' ได้อย่างไร?
นี่แหละ!
นี่แหละ!
นี่แหละ!
ลมหายใจของเย่ปิงเริ่มเร็วขึ้น
'นี่แหละสำนักลับที่มียอดวิชาอยู่จริงๆ’
'ถ้านี่ไม่ใช่ยอดสำนักลับ แล้วจะเป็นอะไรอีกล่ะ?'
การหายใจของเย่ปิงเร็วขึ้น.
ซูชางหยูกลับเข้าใจผิด.
เขาคิดโดยไม่รู้ตัวว่าเย่ปิงได้ค้นพบบางสิ่งบางอย่าง จึงกัดฟันเพื่ออธิบายทันที.
“น้องเล็ก, นี่คือสิ่งที่ข้าพบในซากโบราณ และข้าก็ไม่รู้ที่มาของมันเช่นกัน ทว่าพวกเราผู้ฝึกตนจะเอาแต่ฝึกเต๋ากระบี่ไม่ได้ เราไม่สามารถขาดการฝึกฝนทางจิตวิญญาณและการฝึกฝนทางร่างกายได้”
“เจ้าพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกฝนทางจิตวิญญาณไปแล้ว และรากฐานทางจิตวิญญาณของเจ้ายังด้อยอยู่ มันอาจเป็นเรื่องดีที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนทางกายภาพก่อน”
ซู ชางหยู พูดเรื่องไร้สาระออกมาล้วนๆ เพราะไม่มีของแบบนั้นในโลกของการฝึกฝนเป็นเซียนหรอก.
ผู้ฝึกตนทางกายส่วนใหญ่อยู่ในการฝึกฝนทางกายภาพเพราะรากฐานจิตวิญญาณของพวกเขาย่ำแย่เกินกว่าที่พวกเขาที่จะฝึกสิ่งอื่นใด.
ในช่วงฝึกตนขั้นขัดเกลาพลังปราณ การฝึกฝนทางกายอาจจะค่อนข้างโดดเด่นเพราะยังไงเสียพวกเขายังคงอยู่ในสถานะการต่อสู้ต่ำ และการฝึกฝนทางกายภาพก็จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน.
ทว่าเมื่อใครมาถึงขั้นสร้างรากฐาน ประโยชน์ของการฝึกฝนทางกายก็จะลดลง.
ยอดฝีมือโอสถทองคำจะสามารถสังหารศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ด้วยกระบี่บินได้.
ทว่ายอดฝีมือแห่งการฝึกฝนทางกายจะไม่สามารถฆ่าศัตรูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ด้วยหมัดเดียวได้ เว้นแต่ว่าคัมภีร์ลับจะเป็นของจริง.
หรือ มันจะเป็นของจริงกัน?
ซู ชางหยู เคยอ่านคัมภีร์ลับมาก่อน และเนื้อหานั้นไร้สาระและเต็มไปด้วยการโม้อย่างไร้เหตุผล ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกตนเป็นเซียนอยู่ ซูชางหยูคงถูกหลอกแล้ว.
ในความเป็นจริงแล้ว คัมภีร์ลับส่วนใหญ่มีแต่เรื่องเกินจริงทั้งนั้นยกเว้นเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับการขัดเกลาจริงๆ.
นั่นคือเหตุผลที่ซูชางหยูมอบคัมภีร์ลับให้กับเย่ปิง.
เขาแค่อยากให้เย่ปิงทำอะไรสักอย่างเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันเพื่อพยายามเข้าใจรอยกระบี่อย่างเดียว ไม่นาน เย่ปิงคงจะเบื่อมันแน่ๆ.
อีกอย่าง ในช่วงนี้ ซูชางหยูยังต้องศึกษาคัมภีร์กระบี่ด้วย ดังนั้น ให้หนังสือนั้นท่วงเวลาเย่ปิงไปก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร.
เย่ปิงจะได้อะไรจากมันไหมน่ะเหรอ?
ซู ชางหยูไม่อยากด่วนสรุป.
การเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีจากรอยกระบี่ของเขานั้นพอจะเข้าใจได้
แต่ถ้า เย่ ปิงสามารถเข้าใจอะไรก็ตามจากคัมภีร์ไร้สาระนั่นได้ เขาก็สาบานว่าจะกลืนกระบี่บินทั้งหมดใน ชิงโจว.
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ. ขอบพระคุณขอรับ ศิษย์พี่”
เย่ปิงเข้าใจสิ่งที่ซูชางหยูพูดค่อนข้างดี.
ผู้ฝึกตนที่มีความสามารถไม่ดีโดยทั่วไปจะต้องผ่านการปรับแต่งร่างกายเพื่อปรับปรุงสภาพร่างกายของพวกเขาก่อน.
เพื่อที่ พวกเขาจะสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณและร่างกายไปพร้อมๆกันได้.
โดยทั่วไปแล้ว วิชากระบี่จะใช้กับศัตรู แต่ถ้าใครใช้ร่างกายของพวกเขาเพื่อปราบปรามคู่ต่อสู้ในช่วงคับขันได้ พวกเขาก็จะโต้ตอบไม่ถูกจนสิ้นท่าไป.
อาจพูดได้ว่า “โทษทีน้อง พี่กล้ามโตกว่า” อะไรแบบนั้น.
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่ปิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น.
“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจน้องชาย. เอาล่ะ หากมีปัญหาอะไรก็บอกข้าตรงๆล่ะ. ค่อยๆอ่านคัมภีร์นั่นเสีย ถ้าไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ ก็อย่าฝืนตัวเองล่ะ เข้าใจไหม?”
“ถึงเจ้าจะอยากฝึก เจ้าก็ควรควบแน่นพลังกระบี่ที่สมบูรณ์ของวิชาสี่กระบี่อัสนีให้ได้เสียก่อน”
ซูชางหยูจากไปหลังจากให้คำแนะนำแก่เขา.
“ดูแลตัวเองด้วยขอรับ ศิษย์พี่”
เย่ปิงส่งซูชางหยูออกไป.
ไม่นานหลังจากที่ซูชางหยูจากไป เย่ปิงก็แสดงความตื่นเต้นออกมาและกอด “วิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ” ไว้ในอ้อมแขนของเขา.
จากนั้นเขาก็นั่งทำความเข้าใจรอยกระบี่ต่อไป.
ความเร็วในการเข้าใจของเย่ปิงเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นของเขา.
ตอนนี้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณ.
วิชาสี่กระบี่อัสนีฟังดูธรรมดา.
ทว่าวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพปีศาจโบราณนั้นแตกต่างออกไป
มันฟังดูดุร้าย เยือกเย็น และยิ่งใหญ่.
วิชาสี่กระบี่อัสนีคืออะไรเมื่อเทียบกับมัน?
โจมตีด้วยฟ้าร้อง? แค่มือของเขาไม่พอเหรอ?
ทว่าเย่ปิงก็ตระหนักดี.
เขาคิดว่าวิชาการชำระล้างร่างกายของเทพอสูรโบราณนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อเรียนรู้มัน มิฉะนั้น เขาจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่หากเขาล้มเหลวในการเรียนรู้วิชาการฝึกตนทางกายและวิชากระบี่.
ชั่วพริบตาสองวันผ่านไป.
ในช่วงดึก ซูชางหยูมองไปที่คัมภีร์กระบี่ในมือของเขา และตกอยู่ในสภาวะแห่งความเงียบงัน.
คัมภีร์กระบี่นี้เป็นสิ่งที่นักพรตไต้ หัวได้ใช้เลือดและเนื้อซื้อมา.
มันมีเต๋าอยู่และบุคคลแรกที่ได้อ่านคัมภีร์กระบี่จะได้รับการรู้แจ้งและเชี่ยวชาญวิชากระบี่อย่างรวดเร็ว.
ทว่าซู ชางหยู อ่านมันมาสองวันแล้ว.
แต่เขายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของกระบวนท่ากระบี่เลย.
นั่นทำให้ซูชางหยูตกอยู่ในความเงียบ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเช่นกัน.
นักพรตไต้ หัวต้องการให้เขาเรียนรู้มันภายในสามถึงสี่วันแล้วส่งต่อให้ เย่ ปิง.
ทว่าเขาเรียนรู้ได้ไม่ดีนักและรู้สึกหัวเสียอย่างมาก.
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ซูชางหยูรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย.
แม้ว่าความสามารถของเขาจะอยู่ในขั้นปานกลาง แต่ปัญหาก็คือคัมภีร์กระบี่นั้นถูกลงอาคมด้วยเต๋าธรรมเอาไว้.
'ทำไมข้าถึงเชี่ยวชาญมันไม่ได้?'
'ไหนบอกว่าใครก็ตามที่มีมือจะสามารถเรียนรู้มันได้ไม่ใช่หรือ?'
'ข้าถึงกับใช้เท้าด้วย แต่ทำไมข้าถึงเรียนรู้มันไม่ได้ล่ะ'
'ข้าไม่เหมาะกับการฝึกกระบี่จริงๆเหรอ?'
ซู ชางหยู รู้สึกแย่มาก.
ถ้าไม่ใช่เพราะเอาตัวเองไปเทียบกับเย่ปิง เขาคงไม่รู้สึกอ่อนด้อยกว่าขนาดนี้.
ทว่าหลังจากเปรียบเทียบตัวเองกับเย่ปิงแล้ว ซูชางหยูก็เริ่มรู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น.
ความทุกข์ทรมานของซู ชางหยูไม่ได้มาจากเรื่องพรสวรรค์.
เขาไม่เคยรู้สึกว่าเขามีความสามารถมากเลย.
เหตุผลหลักสำหรับความทุกข์ของเขาคือคัมภีร์กระบี่.
หาก นักพรตไต้ หัวรู้ว่าเขาไม่เข้าใจคัมภีร์กระบี่นี้ เขาอาจจะโดนฆ่าก็ได้.
มันมีราคาตั้ง 500 ศิลาวิญญาณ.
หลังจากลดแล้ว ก็มีราคา 450 ศิลาวิญญาณ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สำหนักชิงหยุนเต๋าใช้เวลาหลายปีกว่าจะหามาได้.
แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี.
พูดตามตรง แม้แต่ตัวซู ชางหยูเองก็ทนไม่ได้กับตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงนักพรตไต้ หัวเลย.
“ข้าจะทำอย่างไร!? ข้าจะทำอย่างไร!? ข้ารู้สึกแย่มาก”
ความตื่นตระหนกเข้าครอบงำซู ชางหยู และเขาถามตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าเขาควรทำอย่างไร.
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุด ซู ชางหยู ก็คิดวิธีแก้ปัญหาได้
"ใช่แล้ว. ข้าอาจล้มเหลวในการเรียนรู้วิชากระบี่ แต่ในคัมภีร์กระบี่ยังมีคำอธิบายอยู่. ข้าไม่จำเป็นต้องส่งมันให้น้องเล็กเลย ข้าแค่ต้องเข้าใจแก่นของมันแล้วสอนมันให้เขาก็พอ.”
“ถ้าน้องเล็กสามารถเรียนรู้มันได้ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์ ถ้าเขาทำไม่ได้ข้าก็ไม่สามารถโดนตำหนิได้เช่นกัน ใครบอกล่ะว่าคนมีพรสวรรค์ต้องมีความรอบด้าน?”
จู่ๆ ซูชางหยูก็คิดวิธีแก้ปัญหาขึ้นมา.
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับวิชากระบี่ชวนเหอมากนัก แต่เขาก็สามารถโกหกได้ หากเย่ปิงไม่เข้าใจสิ่งใด เขาก็สามารถอธิบายได้ตามความคิดของเขาเอง.
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูชางหยูก็ยิ้มได้ในที่สุด.
เขาเปิดคัมภีร์กระบี่ทันที อ่านอย่างจริงจังหนึ่งครั้ง จากนั้นผลักเปิดประตูเพื่อไปหาเย่ปิง.
15 นาทีต่อมา
ในสำนักชิงหยุนเต๋า
มันสงบสุขมาก.
ซูชางหยูเดินไปที่หน้าผาเพียงลำพังอย่างเงียบๆ.
ทว่าในขณะนั้น สายฟ้าก็ดังขึ้น.
มันทำให้ต้นไม้สั่นสะเทือน.
ซู ชางหยู ตกตะลึง
เขามองไปทางหน้าผาด้านหลังและเงียบไปขณะที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แข็งทื่อ
เขาสัมผัสได้.
เสียงฟ้าร้องเมื่อสักครู่นี้เป็นผลมาจากเสียงของพลังกระบี่ที่สมบูรณ์.
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันเอง.
เย่ปิงเข้าใจทักษะกระบี่อัสนีฤดูใบไม้ร่วงและกระบี่อัสนีฤดูหนาวแล้ว.
นั่นทำให้ซูชางหยูหมดคำพูด.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ซู ชางหยู มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก.
เขากลายเป็นคนเศร้าโศกและหมดความหวัง.
เขาไม่ได้ไปที่หน้าผา
แต่เขากลับเดินอย่างเงียบ ๆ ไปยังสถานที่รกร้างด้วยตัวเขาเอง.
ซู ชางหยูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อเร็วๆ นี้.
ทุกครั้งที่กลางคืนมาถึง เขาก็จะเศร้าโศกและหม่นหมอง.
อาการของเขาดูเหมือนจะแย่ลงด้วย.
แสงจันทร์ที่กระจัดกระจายทะลุผ่านเมฆ
เขาหลีกหนีจากฝูงชนและรีบวิ่งไป.
'ข้าขอโทษที่เกิดมาเป็นมนุษย์'
ไม่รู้เพราะอะไร คำคำนั้นถึงผุดขึ้นมาในหัวของซู ชางหยู.