ระบบจัดส่งข้ามกาลเวลา ตอนที่ 18 เศษซากของนิกายเซียนโบราณ
ระบบจัดส่งข้ามกาลเวลา ตอนที่ 18 เศษซากของนิกายเซียนโบราณ
"ผู้ใดรึ?"
หลี่ฉางไห่ก็เริ่มสนใจและถามเช่นกัน
“หลี่มู่”
หม่ากุยและหลี่มู่ไม่เคยติดต่อกัน ครั้งหนึ่งเขาล้อเลียนหลี่มู่ในที่สาธารณะด้วยซ้ำ
ในความเห็นของเขา ฐานพลังบำเพ็ญเพียรของหลี่มู่ในขอบเขตห้วงสมุทรวิญญาณทว่ากลับกลายเป็นปรมาจารย์ขุนเขาไม่เหมาะสมนัก วัน ๆ มีแต่กินนอน ไม่สั่งสอนลูกศิษย์
นี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของสำนักตงเหยียน
"ข้าเห็นด้วย"
“ปีนี้หลี่มู่สบายเกินไปจริง ๆ เจ้าสามารถพาเขาออกไปชมโลกได้”
ในสายตาของหลี่ฉางไห่ หลี่มู่ยังคงเป็นเพียงรุ่นเยาว์ตั้งแต่ต้นจนจบ
เพราะตำแหน่งของเขาในฐานะปรมาจารย์ขุนเขานั้นมอบให้เขาเพียงเพราะหน้าตาของปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนเท่านั้น เขาไม่มีอิทธิพลต่อสำนักตงเหยียน โดยปกติแล้วหากเขาต้องการนอนทั้งวันก็ไม่มีใครห้าม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ จู่ ๆ อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ปรากฏตัวขึ้นในสำนัก ในแง่ของความสามารถ
ทว่าหลี่มู่กลับกลายเป็นอาจารย์ของนาง บางครั้งเขาก็กังวลว่าหลี่มู่อาจทำให้ศิษย์หลงทาง และจำกัดการพัฒนาของจงชิงเอ๋อร์
เขายังเข้าหาเป็นการส่วนตัว ตราบใดที่นางเต็มใจที่จะออกจากขุนเขาที่เก้าเขาสามารถปล่อยให้ผู้นำสอนนางด้วยตนเอง แต่เขาถูกปฏิเสธ
แม้ว่าจงชิงเอ๋อร์จะเป็นศิษย์ของสำนักตงเหยียน แต่หลี่ฉางไห่ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าจงชิงเอ๋อร์ไม่ได้เป็นของสำนักตงเหยียน แต่เป็นของขุนเขาที่เก้า พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นดูเหมือนว่านางจะเคารพเพียงหลี่มู่เท่านั้น
สำหรับอัจฉริยะเช่นจงชิงเอ๋อร์ หลี่ฉางไห่หวังว่านางจะมีความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสำนักมากขึ้น
นอกจากนี้ เนื่องจากฝีมือที่โดดเด่นของจงชิงเอ๋อร์ ตามข้อมูลที่เขาพบ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือจึงสังเกตเห็นนางแล้ว
หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือต้องการปล้นชิงผู้คน สำนักตงเหยียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งมอบให้อย่างเชื่อฟัง
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นกิ่งมะกอกที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือมอบให้ คงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าปฏิเสธ
ดังนั้น สิ่งที่หลี่ฉางไห่ต้องทำตอนนี้คือทำให้จงชิงเอ๋อร์มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสำนักตงเหยียนมากขึ้นให้มากที่สุด
ในความเป็นจริง หลังจากหลายปีของการพัฒนาในสำนักตงเหยียน เรื่องราวเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กาลครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน สำนักตงเหยียนมีศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าได้ก่อตั้งสำนักในแคว้นจงเทียนอันห่างไกล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสำนักไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนักในเวลานั้น หลังจากที่เขาโผทะยาน เขาก็ไม่เคยเหลียวมองสำนักอีกเลย
ต้องรู้ว่าในดินแดนจงเทียนอันห่างไกลนั้น ผู้ที่สามารถสร้างสำนักได้ สามารถสั่นคลอนทั่วทั้งแคว้นต้าฮวงได้เพียงแค่กระทืบเท้า
..
วันนี้.
หลี่มู่ก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความลับนี้เช่นกัน
ในความเป็นจริง เขาเริ่มมีความสนใจเล็กน้อย เขารู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องบำเพ็ญเพียรในขุนเขาที่เก้าทุกวัน และเขาก็พร้อมที่จะลองวิชาที่เขาฝึกฝน และทดสอบประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา เพราะเขาขาดประสบการณ์การต่อสู้จริงเกินไป
.....
ที่ด้านบนของขุนเขาหลัก
หม่ากุยยืนอยู่ตรงหัวโดยมีผู้อาวุโสหลายคนยืนอยู่ข้างหลัง คราวนี้ พวกเขาวางแผนที่จะพาลูกศิษย์ไปฝึกฝนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่หยุดไว้อย่างรุนแรง เพราะข้อมูลที่เขาได้รับคือรุ่นเยาว์จะไม่เข้าร่วมในการสำรวจครั้งนี้ และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสจากแปดสำนักหลัก
เนื่องจากนี่คือสมบัติลับที่เพิ่งปรากฏ และระดับของอันตรายในนั้นไม่ทราบแน่ชัด แน่นอนว่ามันต้องมีผู้ทรงบุกเข้าไปในนั้นก่อน
นี่เป็นการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรด้วยเช่นกัน เช่นนั้นใครจะปล่อยให้ศิษย์แข่งขันกับผู้อาวุโส
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่แข็งแกร่งจะเริ่มเปิดพื้นที่ก่อน จากนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายร้ายแรงในเขตแดนลับก่อนที่จะปล่อยให้ผู้เยาว์เข้าไปสำรวจ และรับประสบการณ์
วินาทีถัดมา
หลี่มู่ก็มาด้วยเช่นกัน
หลังจากพบกับหลี่มู่แล้ว หม่ากุยก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีเขาต้องการนำคนไปเยือนขุนเขาที่เก้า แต่เขาไม่คิดว่าหลี่มู่จะมาหาก่อน
สิ่งแรกที่เขาทำคือสอบถามเกี่ยวกับฐานพลังบำเพ็ญของหลี่มู่ และพบว่าหลี่มู่ยังอยู่เพียงขอบเขตห้วงสมุทรวิญญาณเท่านั้น
“เป็นปรมาจารย์ขุนเขาหลี่นี่เอง ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายปีแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ในขุนเขาที่เก้าไปตลอดชีวิตเสียอีก” หม่ากุยพูดอย่างเย็นชา
....
เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยถากถางของหม่ากุย หลี่มู่จึงตอบว่า "ปรมาจารย์ขุนเขาหม่า ข้าไม่ได้เจอท่านมานานแล้ว ข้านึกว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก"
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของหลี่มู่ หม่ากุยก็สับสน
เมื่อใดกันที่หลี่มู่ทำตัวดื้อรั้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางฝูงชน มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะโกรธดังนั้นเขาจึงต้องอดทน
“ครั้งนี้สมบัติลับปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก แน่อนว่าต้องมีโอกาสมากมาย ข้าหวังว่าปรมาจารย์หลี่จะสามารถคว้าโอกาส และบุกทะลวงไปสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้โดยเร็วที่สุด”
หม่ากุยเริ่มพูดถึงฐานพลังบำเพ็ญเพียรของหลี่มู่อีกครั้ง
หลี่มู่ซ่อนฐานพลังบำเพ็ญเพียรของเขา เขาไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาอย่างง่ายดาย นี่คือนิสัยของหลี่มู่
“ขอบคุณปรมาจารย์ขุนเขาหม่าที่เป็นห่วง” หลี่มู่ยิ้ม
“ข้าหวังว่าปรมาจารย์ขุนเขาหม่าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อนกำเนิดฟ้าเร็ววัน เช่นนั้นจะได้พบกับพี่สะใภ้ในเร็วคืน”
“เจ้า!” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เส้นเลือดก็ปูดออกมาจากหน้าผากของหม่ากุยทันที
หม่ากุยก็มีประสบการณ์ที่น่าอับอายเช่นกัน เมื่อร้อยปีก่อน คู่บ่มเพาะเต๋าของเขาหนีไปพร้อมกับชายมากอำนาจในขอบเขตตำหนักม่วง ด้วยเหตุนี้ หม่ากุยจึงรู้สึกหงุดหงิดการเรื่องนี้อย่างมาก
“เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปกันเถอะ”
ในเวลานี้ เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังขึ้น และหม่ากุยเลิกสนใจหลี่มู่
"ไปกันเถอะ!"
หม่ากุยโบกมือและกลายเป็นริ้วแสงหายไปจากสถานที่นั้น
...
ณ ตอนนี้.
สำนักกู่หยาน
เกี่ยวกับสมบัติลับที่ปรากฏบนภูเขา สำนักกู่หยานก็จัดประชุมผู้อาวุโสด้วยเช่นกัน
“ผู้อาวุโสจาง ท่านหมายถึง...สมบัติลับนี้จริง ๆ แล้วเคยเป็นที่ตั้งของนิกายเซียนหรือ?”
ผู้อาวุโสที่ดูง่อนแง่นเอ่ยถาม
“หากการสำรวจของข้าถูกต้อง ความลับนี้สามารถสืบย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน มีความเป็นไปได้มากว่ามันเป็นเศษซากของนิกายเซียนโบราณ”
เสียงแหบห้าวยังคงดังก้องอยู่ในห้องโถง ตามมาด้วยเสียงหอบ
“นิกายเซียนโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน!”
“เราจะไม่ขาดทุนหรอกหรือ?”
ในเวลานี้ผู้อาวุโสบางคนก็เริ่มแสดงความคิดเห็นเช่นกัน
"ไม่เลย"
“เนื่องจากมันเป็นนิกายเซียนโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ระดับของอันตรายจึงอยู่นอกเหนือการควบคุมของสำนักกู่หยานของเรา”
“ยิ่งกว่านั้น คนมิผิด แต่ผิดที่ครอบครองหยก สำนักกู่หยานไม่มีความสามารถในการผูกขาดสมบัติลับนี้”