บทที่ 9: ค่าตอบแทน (1)
บทที่ 9: ค่าตอบแทน (1)
“รองกัปตันเบิร์ก!”
ขณะที่ฉันกำลังวางดอกไม้บนหลุมศพของสมาชิกเปลวเพลิงสีชาตที่เสียชึวิต ฉันก็หันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อฉัน
บารอนผู้ช่วยของฉันกำลังเดินเข้ามาหา
เมื่อเราสบตากัน เขาก็พูด
“กัปตันอดัมกลับมาแล้ว”
“…”
ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าและค่อยๆ วางดอกไม้ดอกสุดท้ายลง
เวลาแห่งความทรงจำสิ้นสุดลงที่นี่
“มีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”
ฉันเช็ดสิ่งสกปรกออกจากมือ
“ไม่มีอะไร แค่กัปตันกำลังตามหารองกัปตันอยู่น่ะ”
พี่อดัมอได้จากไปได้สักระยะแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพื่อรับภารกิจใหม่บางอย่าง
สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับลูกค้ารายนี้ก็คือ พวกเขาเป็นขุนนาง
ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เป็นขุนนางระดับสูงแค่ไหน
ตามสัญชาตญาณของฉัน ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นแล้ว
เป็นเรื่องยากมากที่พี่อดัมจะได้พบลูกค้าด้วยตนเอง
การที่เขาไปพบด้วยตัวเองนั้น มันบ่งบอกถึงความสำคัญของบุคคลนี้โดยเฉพาะ และลูกค้าที่มีตำแหน่งสูงขนาดนั้นไม่ได้เสนอภารกิจง่ายๆ แน่นอน
เมื่อเราออกไปจากสุสาน บารอนก็มอบดาบที่ฉันฝากไว้
ฉันรัดมันไว้รอบเอวแล้วหันไปหาบารอนที่เดินอยู่ข้างๆ ฉัน
“แล้วการฝึกของผู้สมัครใหม่ล่ะ?”
“…”
ไม่มีการตอบในทันที ฉันมองบารอนด้วยสายตาเฉียบแหลมและทวนคำถามของฉันอีกครั้ง
“แล้วเรื่องการฝึกล่ะ?”
“คือว่า...มันยังไม่...”
"อะไรนะ?"
ทันใดนั้นมันก็คล้ายกับมีความร้อนพวยพุ่งขึ้นมาในหัวของฉัน
บารอนยังคงแก้ตัวต่อไปโดยไม่สบตาฉันเลย
“…รองกัปตัน คุณต้องเข้าใจ…”
“…”
“สมาชิกยังไม่ฟื้นตัวจากการฝึกอันเข้มงวดเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำ… และครอบครัวของสมาชิกก็เริ่มกังวลกันแล้ว…”
“ไม่ต้องสนใจ การฝึกฝนต้องมาก่อน”
“คุณควรคำนึงถึงขวัญกำลังใจของสมาชิกด้วยนะครับ! เราไม่ได้ฝึกพวกเขาหนักเกินไปตั้งแต่กัปตันอดัมจากไปเหรอครับ?”
“…”
“รองกัปตันครับ”
“หากมีผู้เสียชีวิตเพราะละเลยการฝึก นายจะรับผิดชอบไหม?”
“…”
"งั้ยจบเตรียมรับมือมันด้วยแล้วกัน”
ฉันปล่อยให้บารอนยืนนิ่ง และฉันก็ก้าวไปข้างหน้า
สักพักบารอนก็เดินตามฉันมาอย่างช้าๆ
สายลมสดชื่นพัดผ่านมาขณะที่ฉันค่อยๆ เดินไป ฉันมองเห็นทิวทัศน์รอบตัวฉัน
เป็นเวลาห้าปีแล้วนับตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มทหารเปลวเพลิงสีชาต
เราได้หยั่งรากลงในที่ราบอันกว้างใหญ่ของสต็อคฟิน มันเป็นสถานที่สวยงามที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มและต้นไม้สูงตระหง่านที่กระจัดกระจายไปทั่ว
เพื่อเป็นของกำนัลในการล่าสัตว์ประหลาดในบริเวณใกล้เคียง ดินแดนแห่งนี้จึงถูกท่านลอร์ดคนหนึ่งมอบให้เรา
สำหรับกลุ่มทหารรับจ้างที่มีสมาชิกหลายร้อยคน การย้ายถิ่นฐานเป็นเรื่องยากเสมอ
ทว่าการก่อตั้งตัวในสต็อคฟิน ก็ถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่เราเช่นกัน
เราสร้างที่พักพิงบนที่ราบแห่งนี้ บ้านที่เราจะได้พักผ่อน คอกม้า โกดัง สุสาน และอื่นๆ...
เมื่อเวลาผ่านไป ฐานที่มั่นของเราก็กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว บางครั้งเราจะซื้อสินค้าจากหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อเติมเต็มคลังอาหารที่ขาดแคลน
เมื่อมีการก่อตั้งหมู่บ้าน ทหารรับจ้างจำนวนมากจึงได้ตั้งรกรากและตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่
บางคนพาคู่รักมาที่สต็อกฟินและมีลูกด้วยกัน
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้เพราะอดัม กองกำลังทหารรับจ้างของเราจึงแข็งแกร่ง มั่นคงและมีระเบียบวินัย
แต่ครอบครัวกลายเป็นแหล่งของความวุ่นวาย บางครั้งสมาชิกก็จะละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของตนในฐานะทหารรับจ้างและทำตามความพึงพอใจ
แต่เนื่องจากพี่อดัมให้ความสำคัญกับอะไรแบบนี้ ฉันจึงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาอย่างเปิดเผยได้
ฉันจึงเดินไปที่บ้านของพี่อดัมด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
ยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนในอากาศ
ฉันเห็นใบหน้าของทหารรับจ้างที่ไปข้างนอกพร้อมกับพี่อดัม
ทุกครั้งที่พวกเขาสังเกตเห็นการปรากฏตัวของฉัน พวกเขาจะก้มศีรษะและทักทายฉัน
“รองกัปตัน”
“รองกัปตัน เรามาถึงกันสักพักแล้วครับ”
ฉันพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับคำทักทายของพวกเขา
พวกเขารวมตัวกันคล้ายครอบครัวมาพบหน้ากันอย่างสนุกสนาน ภรรยาและลูกๆ ของสมาชิกที่กลับมาต่างยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความยินดีเมื่อพวกเขากลับมา ได้พบคนที่พวกเขารักอีกครั้ง...
ไม่นานฉันก็เห็นพี่อดัม เขายิ้มกว้างและกางแขนออก
“เบิร์ก!”
“พี่”
เราจับมือกันเบาๆ
“ทุกอย่างราบรื่นไหม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา”
"ดีแล้ว งั้นเราเข้าไปข้างใน มีเรื่องให้พูดคุยมากมาย ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ”
วางมือของเขาบนไหล่ของฉันและเริ่มพาฉันไปที่บ้านของเขา ฉันใช้แรงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเขา
“แต่เรายังมีการฝึกที่ต้องทำอยู่”
“…”
พี่อดัมจ้องมองมาที่ฉัน จากนั้นก็มองอย่างสงสัยไปที่บารอนที่ยืนอยู่ข้างหลังฉัน
การแลกเปลี่ยนสายตาอย่างเงียบๆ เกิดขึ้นระหว่างพี่อดัมและบารอน
จากนั้นเขาก็ยิ้มและตบหลังฉัน
“…วันนี้เรามาลืมมันไปก่อนเถอะ เราทุกคนกลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน ดังนั้นมาสนุกและดื่มด้วยกันกันดีกว่า”
“…”
“เอาน่า บารอนก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? เราจะแกล้งทำเป็นว่าเบิร์กไม่เคยออกคำสั่งฝึกต่อ และนายเองก็ไปพักผ่อนได้เช่นกัน เรามาฉลองกันเถอะ”
แทนที่จะตอบอะไร บารอนกลับก้มศีรษะลงเงียบๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับคำพูดของพี่อดัมอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉันเข้าไปในบ้านของพี่อดัมพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อพิจารณาถึงสถานะของพี่อดัมแล้ว มันเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านสามัญชนแล้ว มันค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
จนกระทั่งพี่อดัมปิดประตู ฉันก็ระงับความหงุดหงิดเอาไว้ก่อน
ไม่ว่าฉันจะอยู่กับพี่อดัมมานานแค่ไหนในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ในที่ที่มีสายตาจับตามอง ฉันก็คอยแสดงความเคารพต่อเขาอยู่เสมอ
ประตูปิดลง และความเงียบชั่วขณะก็ปกคลุมทั่วทั้งห้อง
ไม่นานฉันก็สงบสติอารมณ์ได้และถามเขาออกมา
“…มีงานยากๆ เข้ามาในเวลานี้งั้นเหรอ?”
ฉันนั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ และรอคำตอบของเขา
เขายักไหล่แล้วตอบว่า “ถูกต้อง ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้โดยที่ทุกคนจะรอดไปได้”
“แต่ทำไมถึงยกเลิกการฝึกล่ะ?”
“…ก็มันต้องผ่อนคลายไง”
“พี่เป็นผู้นำหรือผมเป็นผู้นำกันแน่หา?”
“…”
ความเงียบปรากฏขึ้น ต่างจากบรรยากาศภายนอกที่มีชีวิตชีวาขึ้น ภายในบ้านแห่งนี้นั้นเงียบสงบและเย็นยะเยือกยิ่ง
แทนที่จะตอบ พี่อดัมหยิบขวดใบหนึ่งที่วางอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านหนึ่งของกำแพงขึ้นมา
ปั้ก!
เขาเปิดก๊อกไม้แล้วเติมแอลกอฮอล์สองแก้ว
เขายื่นอันหนึ่งให้ฉันแล้วฝืนยิ้มอ่อนๆ
“ทำไมถึงอารมณ์เสียขนาดนี้? ไม่ดีใจที่ได้เจอฉันเหรอ?”
“…”
“เป็นเพราะคนที่เสียชีวิตในภารกิจครั้งก่อนหรือเปล่า? มันไม่ใช่ความผิดของนายนะรู้ไหม?”
“…”
ฉันสงบอารมณ์และชนแก้ว
คอของฉันที่แห้งผากกลับชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์
“ปล่อยวางหน่อยเถอะเบิร์ก”
“…”
“ท้ายที่สุดแล้ว เราก็มาเริ่มต้นสิ่งนี้เพื่อใช้ชีวิตอย่างอิสระ นายจะเข้มงวดกับตัวเองไปทำไมในเมื่อเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว? เมื่อไหร่จะปล่อยให้ตัวเองสนุกสักที”
ฉันหลับตาแล้วนวดหน้าผากเบาๆ
เมื่อพิจารณาถึงปฏิกิริยาของเขา ฉันก็สงสัยว่าฉันจริงจังเกินไปหรือไม่
“…”
“ฉันรู้ นายกังวลเรื่องคนที่ถูกฆ่าตาย แต่มาผ่อนคลายกันหน่อยดีกว่าไหม? การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญนะ”
ขณะที่เขาเทแอลกอฮอล์ต่อไปโดยไม่พูดอะไร เขาก็ยิ้มอย่างซุกซน
“รู้ไหมว่าทำไมนายถึงอ่อนไหวขนาดนี้?”
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ฉันก็คาดเดาได้เลยว่าเขากำลังจะพูดอะไร
“จะพูดแบบนั้นอีกแล้วเหรอ?”
“นั่นเป็นเพราะนายไม่มีแฟนไงล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“…เหอะ”
พี่อดัมมองมาที่ฉัน เขารู้สึกขบขันกับความโกรธของฉันจนออกนอกหน้า
แต่นั้นเป็นคำพูดแสนน่าเบื่อที่ฉันได้ยินมาหลายร้อยครั้งแล้ว
แต่แม้กระทั่งฉันที่รู้สึกหงุดหงิดกับมันก็ยังหัวเราะเบาๆ ให้กับเสียงหัวเราะของเขา
พี่อดัมดึงเก้าอี้ออกมาและวางตรงหน้าฉัน
“นั่นมันนอกประเด็นแล้ว เดี๋ยวก่อนสิ…!”
เขานั่งลงใกล้ฉันจนเข่าของเราแทบจะแตะกัน
“มันมีอะไรกันแน่?”
ขณะที่ฉันถาม เขาก็ชนแก้วและนั่งในท่าที่ผ่อนคลาย
“นายเคยคิดที่จะออกจากการเป็นหัวหน้าทีมล่าหัวหน้าฝูงไหม?”
พี่อดัมถาม
หัวหน้าทีมล่าหัวหน้าฝูงหมายถึงหน่วยที่นำสังหารหัวหน้าฝูงสัตว์ประหลาดหรือที่เรียกว่า "หัวหน้าหน่วย"
ฝูงสัตว์ประหลาดมักจะอยู่รอบผู้นำของพวกมัน และเมื่อหัวหน้าถูกกำจัด สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดน้อยเหล่านั้นก็จะสลายตัวตามผู้นำของพวกมันไป
ดังนั้นแค่ล่าเฉพาะหัวหน้าเท่านั้น ฝูงสัตว์ประหลาดก็จะแยกย้ายกันไป
แน่นอนว่านี่เป็นงานที่อันตรายที่สุดและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
ความสำเร็จของทหารรับจ้างนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถที่แสดงออกมาว่าสามารถจัดการหัวหน้าสัตว์ประหลาดได้รวดเร็วเพียงใด
นับตั้งแต่ก่อตั้งกลุ่มทหารเปลวเพลิงสีชาต ฉันมักจะรับหน้าที่เป็นผู้นำการโจมตีอยู่เสมอ
"…ไม่"
ฉันก็ตอบเหมือนเดิมอีกครั้ง
มีเหตุผลหลายประการสำหรับเรื่องนี้
เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดคือความตื่นเต้นที่ฉันรู้สึกเมื่อตามล่าหัวหน้าฝูงสัตว์ประหลาด
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความตื่นเต้นนั้นซับซ้อนและหยั่งรากลึกในตัวฉันเช่นกัน
อีกเหตุผลหนึ่งคือความรู้สึกรับผิดชอบที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันควรจะเป็นผู้นำ
ฉันไม่อยากเสียใจในภายหลังที่ได้เห็นผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
พี่อดัมถอนหายใจ ดูเหมือนเขาจะยอมแพ้ในการถามฉัน
เราสนทนากันไปเรื่อยอยู่พักหนึ่ง
"โอ้ จริงสิ"
ในระหว่างการสนทนา เขาก็ยกแก้วขึ้นเพื่อดึงความสนใจของฉันไปที่แก้วนั้น
“เบิร์ก นี่เป็นเครื่องดื่มราคาแพง”
ทันใดนั้นเขาก็โพล่งสิ่งที่ไร้สาระออกมา
ฉันใช้เวลาไม่นานในการเข้าใจความตั้งใจของเขา เมื่อใดก็ตามที่เขามีคำขอที่ยากลำบากให้ฉัน เขาจะเลี้ยงเครื่องดื่มราคาแพงเช่นนี้ให้ฉันด้วย
“เวรเอ๊ย...”
ฉันคิดว่าเขาส่งเครื่องดื่มมาให้ฉันเพื่อคลายความรำคาญ แต่ก็อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างใต้
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโทษเครื่องดื่มที่ไหลลงคอไปแล้ว
'ไม่น่าแปลกใจเลยที่รสชาติมันถึงดีมากขนาดนี้'
“เป็นยังไงบ้าง?”
พี่อดัมหัวเราะและเริ่มพูดช้าๆ
“เรามาพูดถึงงานล่าสุดนี้กันดีกว่า พูดตามตรงมันค่อนข้างท้าทายเลย”
ฉันก็เปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยไปตามเขา
“ใครคือลูกค้า?”
“นายรู้จักตระกูลแบล็ควูดไหม?”
ตระกูลแบล็ควูดเป็นชื่อที่ฉันคุ้นเคย
มันเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงที่แม้แต่ทหารรับจ้างต่ำต้อยอย่างฉันก็ยังรู้จัก
“พวกเขาเป็นตระกูลขุนนางของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าใช่ไหม?”
พี่อดัมพยักหน้า
“ขุนทางผู้ทรงเกียรติ”
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันได้พบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าหรือมนุษย์หมาป่าค่อนข้างบ่อยในช่วงเวลาที่ฉันอยู่ในกองกำลังทหารรับจ้างกลุ่มเก่า
แต่อันที่จริง ฉันมีประสบการณ์ส่วนตัวมากมายในการต่อสู้กับพวกเขาในสลัมมากกว่า
โดยทั่วไปแล้ว เผ่ามนุษย์หมาป่านั้นมักถือเกียรติและมีวิธีการต่อสู้ของตนเอง
พวกเขามียุทธวิธีทางการทหารที่ลึกซึ้ง การรักษาขั้นสูง และเวทย์มนตร์ชามานิกที่ช่วยการฟื้นตัวจากบาดแผล
ฉันยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก
“พวกมนุษย์หมาป่าขอความช่วยเหลือเนี่ยนะ?”
มนุษย์หมาป่าที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง และแทบจะไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น พวกเขามองว่าสถานการณ์ที่เป็นอันตรายเป็นโอกาสที่ดีในการได้รับเกียรติและพลิกสถานการณ์นำชื่อเสียงกลับมา
ฉันรู้จักมนุษย์หมาป่าหลายคนที่เสียชีวิตในขณะที่พยายามจะสะสมความสำเร็จ ดังนั้นฉันจึงมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าพวกเขาขอความช่วยเหลือ หมายความว่า...
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหมดหวังแล้ว”
ฉันกระดกเหล้าหมดแก้วอีกครั้ง
ตัวแก้วเผยให้เห็นก้นของมันอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากฉันดื่มเครื่องดื่มราคาแพงอยู่แล้ว ฉันจึงตัดสินใจดื่มให้คุ้มค่าที่สุดและลุกขึ้นจากที่นั่ง
ขณะมองแก้วเปล่า ฉันได้ประมวลคำพูดของพี่อดัมในใจ
มีคำถามเพิ่มขึ้นในใจของฉัน
“เหมือนกับคำร้องของพวกขุนนางช่วงนี้งั้นเหรอ?”
พี่อดัมยังคงอธิบายต่อ
“มันก็มีบางสิ่งที่เราทำได้ดี และมีบางสิ่งที่ทุกคนทำได้ไม่ดี มันเป็นเวลาเกือบ 7 ปีแล้วที่เหล่าสัตว์ประหลาดออกอาละวาด พวกตระกูลแบล็ควูดสามารถเอาชนะมันได้ จนฉันเองก็สงสัยว่าพวกเขาจะยังดันทุรังและนำไปได้ไกลขนาดไหน?”
“ยืนยันขนาดของฝูงปีศาจแล้วหรือยัง?”
"คราวนี้น่าจะมากเลยทีเดียว ฉันวางแผนที่จะใช้สมาชิกเปลวเพลิงสีชาตทั้งหมด”
“สถานการณ์ของแบล็ควูดเป็นยังไงบ้าง?”
“มีทหารไม่เพียงพอที่จะสู้รบ และอาหารก็หมดลง ฉันไม่คิดว่าเราจะขอการสนับสนุนได้มากนัก ไม่มีเงินให้แน่นอน”
“…?”
ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา นอกจากอันตรายแล้วยังมีบางสิ่งที่ต้องได้รับการยืนยันก่อน
“เดี๋ยวก่อน พวกเขาไม่มีอาหารหรือเงินเลยเหรอ?”
"ใช่"
“แล้วค่าตอบแทนของเราล่ะ?”
หากพวกเขาไม่มีอะไรจะให้เรา เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะสู้
เราไม่ได้ทำงานเพื่อการกุศล
เราอยู่ในธุรกิจเสี่ยงชีวิตและรับค่าชดเชยเป็นการตอบแทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้ขนาดใหญ่ เช่นการนำสมาชิกเปลวเพลิงสีชาตทั้งหมดเข้าร่วม ดังนั้นมันจำเป็นต้องมีค่าตอบแทนจำนวนมาก
พี่อดัมไม่ได้สบตากับฉัน
เขาหมุนแก้วในมือแล้วพูดเบาๆ
“ฉันตัดสินใจรับมันแล้ว”
"แลกกับอะไร?"
“…”
“กับอะไร?”
เมื่อจิบเครื่องดื่มอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พูดคำตอบออกมา
“เนอร์ แบล็ควูด”
"…คืออะไร?"
พี่อดัมมองมาที่ฉันแล้วพูดว่า
“ฉันตัดสินใจรับลูกสาวคนเล็กของตระกูลแบล็ควูดมา”