บทที่ 7: ความคิดแบบเด็กๆ (2)
บทที่ 7: ความคิดแบบเด็กๆ (2)
ไม่กี่วันต่อมา ฉันพบว่าตัวเองอยู่กับพี่อดัมและกลุ่มทหารรับจ้าง
ฉันเรียกเขาว่าพี่เพราะเขาอายุมากกว่าฉันสองปี
เราอดทนรอแถวอันยาวเหยียดจนกว่าจะถึงรอบสัมภาษณ์ที่ทางเข้า
“…มนุษย์?”
ไม่นานก็ถึงตาเราแล้ว
สมาชิกทหารรับจ้างที่ดูแลทางเข้าออกมาและโบกมือให้พี่อดัม
ใบหน้าของพวกเขาดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเราเป็นมนุษย์
ทว่าพี่อดัมกลับตอบด้วยเสียงที่ดังก้อง
"ใช่ ถูกต้อง"
“…เอาล่ะ ช่างเถอะมันไม่สำคัญหรอก นายผ่าน”
ฉันก็พบหน้ากับผู้สัมภาษณ์โดยไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ฉันคิดว่าต่อจากนี้อาจจะมีการทดสอบสมรรถภาพทางกายหรือการตรวจสุขภาพ แต่เขาไม่มีความกระตือรือร้นอธิบายให้เราฟังเลย
"ออกไปได้แล้ว ข้างหลังมีพื้นที่ให้นั่งเล่น รออยู่ที่นั่นสักพักแล้วเดี๋ยวเมื่อถึงเวลา เราจะบอกให้รู้ถึงกฎระเบียบและการฝึกอบรมของกลุ่มทหารรับจ้างเอง”
"ไปกันเถอะ"
ฉันเลิกสนใจมนุษย์กิ้งก่าที่เป็นผู้ตรวจสอบและเดินตามหลังพี่อดัมไป
แต่ดูเหมือนว่าพี่อดัมจะรู้ถึงสาเหตุที่เราสามารถเข้ามาอย่างง่ายดายอยู่
“เขาไม่สนใจหรอกว่าเราจะเป็นใครหรือตัวอะไร”
“…”
“เพราะนี่คือสถานที่ที่ตัดสินด้วยปริมาณมากกว่าคุณภาพ เราต้องเสียสละหลายสิบชีวิตเพื่อฆ่าสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง”
เมื่อเข้าใจคำอธิบายแล้ว ฉันก็พยักหน้า
แม้แต่กับคนอย่างฉันที่ไม่รู้อะไรเลย ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่ากลุ่มทหารรับจ้างไม่ค่อยมีความห่วงใยต่อความเป็นอยู่ของสมาชิกเลย
“อาหารมีให้วันละสองครั้ง! ตารางการฝึกจะแตกต่างออกไปในแต่ละวัน!”
มันแตกต่างอย่างมากจากชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาสัญญาไว้
ชีวิตในฐานะทหารรับจ้างไม่ได้แตกต่างจากชีวิตในสลัมมากนัก
คนตำแหน่งระดับสูงของกลุ่มทหารรับจ้างอาจมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ ส่วนคนอย่างฉันและพี่อดัมคงได้แค่พอที่จะประทังชีวิตของเราไว้เท่านั้น
คืนที่เหน็บหนาว อาหารน้อยชิ้น ค่าจ้างอันน้อยนิด และการฝึกที่ดูไม่เต็มใจทำของเหล่าผู้ฝึกสอน...
ทว่าทหารรับจ้างระดับล่างยังคงยึดมั่นในความหวังที่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้เป็นคนที่มีตำแหน่งระดับสูง
ทหารรับจ้างอาวุโสที่เข้าร่วมก่อนหน้านี้มักจะเยาะเย้ยพวกคนที่เพิ่งเข้ามา โอ้อวดเรื่องรางวัลที่แท้จริงที่รอพวกเขาอยู่หลังภารกิจ พวกเขาขายฝันว่าเราจะสามารถดื่มและอยู่กับพวกผู้หญิงได้อย่างจุใจ
บางคนอาจรู้สึกขอบคุณที่จะได้รับโอกาสดังกล่าว แต่ฉันรู้สึกว่าแม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิต มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มเสียเลย
แน่นอน ฉันไม่สนใจ เพราะฉันเข้าร่วมด้วยความปรารถนาที่จะฆ่าพวกสัตว์ประหลาดเท่านั้น และเหตุผลซับซ้อนอีกอย่างหนึ่ง...
พี่อดัมบอกฉันเสมอว่า “อดทนอีกหน่อยเบิร์ก อย่างที่ฉันบอกไว้สักวันหนึ่ง ฉันจะก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างของตัวเอง และกลุ่มทหารรับจ้างของฉันจะแตกต่างไปจากนี้มาก”
“…”
ฉันไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด
ตอนนั้นฉันไม่มีที่ว่างในหัวให้คิดอะไรเลย
เวลาสองสามสัปดาห์ผ่านไป
โลกทั้งโลกกังวลเกี่ยวกับจำนวนสัตว์ประหลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หมู่บ้านที่ถูกทำลายและหลายชีวิตที่กำลังจะตายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
มีการจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างจำนวนมาก และทุกคนก็มีงานมากเกินพอ
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อในเรื่องราวเกี่ยวกับราชาปีศาจ
แม้ว่าฉันจะพยายามไม่คิดถึงมัน แต่ความกังวลเรื่องชีอันก็เป็นความคิดเดียวที่ยังคงอยู่ในตัวฉัน
เธอเป็นผู้หญิงที่ยามนี้ตัวฉันไม่สามารถไล่ตามหรือเฝ้ารอเธอได้อีกต่อไป
และเมื่อจิตใจของฉันเริ่มสับสนมากขึ้น ฉันก็หันไปฝึกดาบไม้ร่วมกับพี่อดัมตัวต่อตัว
หลังจากผ่านช่วงเวลาอันเคร่งเครียดไปได้ ฉันก็สามารถปลดปล่อยความคิดเกี่ยวกับชีอันได้ชั่วขณะ
บางครั้งการฝึกฝนก็กลายเป็นวิธีการรักษาที่ทรงพลังมากกว่าสิ่งอื่นใด
ความเจ็บปวดในใจฉันบรรเทาลงเล็กน้อย และไหล่ของฉันก็เบาลง
ฉันอยากให้ร่างกายของฉันเหนื่อยล้ามากกว่าจิตใจและหัวใจ
พี่อดัมเคยบอกฉันว่าหากฉันต้องตาย ฉันควรจะตายในฐานะทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียง แต่เขาจะไม่ปล่อยให้ฉันตายแน่
ถ้าฉันทำผิดระหว่างฝึกซ้อม เขาจะตะโกนและโกรธมาก
“เฮ้ ไอ้โง่นี้! แกจะตายเอาได้นะถ้าทำแบบนั้น!!”
“…”
"อีกครั้ง!"
เขาแสดงความกระตือรือร้นมากกว่าผู้ฝึกสอนของพวกกลุ่มทหารรับจ้าง
พี่อดัมไม่เคยพักผ่อนเลย
เขาฝึกดาบกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อรู้ว่าการตำหนิของเขามาจากความเป็นห่วง ฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่เลย
ฉันค่อยๆ ตระหนักว่าผู้คนนั้นสามารถมีน้ำใจให้กันและกันได้
ฉันเริ่มติดการฝึกเหมือนเขา
ในขณะที่ฉันใช้เวลาแบบนั้น พี่อดัมและฉันก็สร้างมิตรภาพกันและกัน แม้ว่าเราจะไม่ต้องการก็ตาม
ถึงจะไม่มีการแลกเปลี่ยนฉันมิตรเป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็ยังมีความรู้สึกไว้วางใจที่สะสมระหว่างเรา
แม้ว่าจะไม่มีคำพูดใดๆ แต่ก็ยังมีความรู้สึกมั่นใจเมื่อเราอยู่ด้วยกัน
ชีวิตที่สับสนอลหม่านของเราในกลุ่มทหารรับจ้างมีส่วนทำให้เกิดสิ่งนั้น
เนื่องจากความสามารถทางกายภาพของเราด้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น เราจึงมักมีปัญหากับใครหลายคนเสมอ
หรือบางทีพอพวกเขาเห็นเราฝึกด้วยกัน จึงรู้สึกรำคาญกระมัง
เพราะเราเป็นมนุษย์ มันเลยดูเหมือนว่าพวกเราเป็นเป้าหมายที่พวกเขาสามารถคุกคามได้ง่าย
“นายบอกว่านายชื่อเบิร์กเหรอ? หน้าแกมันแส่-”
ผัวะ
เราสองคนคอยดูแลกันและกัน
ถ้ามีใครยั่วโมโหฉัน พี่อดัมก็จะก้าวเข้ามาและเริ่มต่อสู้ด้วย
ถ้ามีคนยั่วยุพี่อดัม ฉันจะก้าวเข้าไปและเริ่มต่อสู้ด้วยเช่นกัน
ทั้งพี่อดัมและฉันมาจากสลัม ดังนั้นมันอาจเป็นนิสัยที่ฝังแน่นในร่างกายของเรา
เราต้องดูแลกันให้มากที่สุด
การเพิกเฉยต่อฝ่ายเราเอง มีแต่จะทิ้งเราไว้ตามลำพังในภายหลัง
บางครั้ง ฉันก็แค่อยากระบายความโกรธที่สะสมมา
หากกลุ่มทหารรับจ้างเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้ การกระทำดังกล่าวอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มทหารรับจ้างที่เราเข้าร่วมนั้นวุ่นวายไม่เหมือนใคร ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างสมาชิกจึงถือเป็นวิธีการจัดอันดับหรือแม้แต่รูปแบบหนึ่งของความบันเทิง
พี่อดัมกับฉันจะสู้กับคนที่เข้ามาขวางทางเราเท่านั้น
เราไม่อยากเสียกำลังไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น...เพราะโดยสัญชาตญาณ เรารู้ดีว่าการไม่ลงรอยกันในกลุ่มทหารรับจ้างเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกับพวกเขาได้
อีกทั้งเรายังไม่สามารถอยู่เฉยได้ เราจึงมีแต่ต้องต่อสู้
เนื่องจากมีมนุษย์ไม่มากนักในกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่นี้ เราจึงได้แต่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ในขณะที่เราใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป พี่อดัมและฉันก็กำลังเตรียมตัวสำหรับภารกิจแรกของเรา
เราได้รับการฝึกที่ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกว่าการฝึกได้ไหม ฉันถือดาบและโล่อยู่ในมือ
เราสวมหมวกหนังบนศีรษะและสวมชุดเกราะหนังที่ฉีกขาดกับเปื้อนเลือดบนร่างกายของเรา
บางทีชุดเกราะเหล่านี้อาจถูกเก็บมาจากศพของใครบางคน
การสวมใส่มันทำให้รู้สึกเหมือนความตายสึกใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นมันทำให้ฉันมีความสุขอย่างประหลาด
เพราะมันมาแทนที่ความเจ็บปวดที่ต้องถูกทิ้งชีอันไว้ข้างหลัง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม...
ฉันสงสัยอยู่เสมอว่าเธอจะพูดยังไงถ้าเธอเห็นฉันตอนนี้
ฉันจำวันที่ฉันเห็นสัตว์ประหลาดเป็นครั้งแรกได้
พวกมันดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะประหลาดอยู่ตามร่างกาย
กวางสามตา หมาป่าสองหัว สัตว์ประหลาดมีปีก...
…และตรงกลางนั้น มีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ที่ไม่ปรากฏชื่ออยู่
กลุ่มทหารรับจ้างที่เราเข้าร่วมนั้นค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นเราจึงมักจะเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงอยู่เสมอ
ซึ่งหลังจากนั้น คนระดับสูงในกลุ่มทหารรับจ้างจะกล่าวสุนทรพจน์เพื่อสร้างกำลังใจให้กับพวกเราก่อนต่อสู้
“จากนี้ไป พวกแกจะต้องพิสูจน์คุณค่าของแก! เฉพาะผู้ที่รอดชีวิตและสูงขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองได้! ไม่ต้องกังวล พวกแกได้รับการฝึกฝนมาเพียงพอแล้ว!”
ร่างที่อยู่ข้างหลังเรายกดาบขึ้นสูงและพูด
“อย่าลืมสิ่งที่พวกแกถูกสอนมา! มีผู้นำในกลุ่มสัตว์ประหลาดอยู่เสมอ! หากแกจัดการมันก่อน ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องง่ายแล้ว!”
ฉันกับพี่อดัมไม่ได้สนใจคำพูดแบบนั้นจากคนระดับสูงในกลุ่มเลย
เราคุยกันเอง
“เบิร์ก อย่าลืมว่าเราสองคนต้องอยู่ด้วยกัน”
"ผมเข้าใจแล้ว"
“ลืมการฝึกที่เราเรียนรู้ในกลุ่มทหารรับจ้างไปซะ จำไว้เฉพาะการฝึกฝนที่เราทำร่วมกัน”
"ผมรู้แล้ว"
“เชื่อใจฉันเท่านั้น ถ้ามันอันตราย ฉันจะช่วยนายเอง”
แม้จะพูดอย่างมั่นใจ แต่มือของพี่อดัมกลับสั่นเทา
“อย่ากลัวไปสิ”
“เฮ้พวก ฉันแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย ไม่ใช่เพราะฉันกลัว”
จากนั้นผู้บังคับบัญชาของกลุ่มทหารรับจ้างก็ตะโกน
“เทพเจ้าแห่งสงครามไดอัน กำลังเฝ้าดูพวกเราอยู่! สู้มันซะ!!”
พี่อดัมพิสูจน์คำพูดของเขา แม้แต่ในภารกิจแรกของเรา เขาก็แสดงทักษะอันมหาศาลและประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง
เขาโดดเด่นกว่าหัวหน้าหน่วยจู่โจมของกลุ่มทหารรับจ้าง
พี่อดัมเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการตามล่าหัวหน้าฝูงสัตว์ประหลาด
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเขามีพรสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร
เขาส่องแสงเจิดจ้าในการต่อสู้ แสดงให้เห็นพรสวรรค์อันโดดเด่น
แน่นอนว่ารางวัลหลังภารกิจมีมากมาย
เงินที่ไม่เคยได้แตะต้องก็มาอยู่ในมือเรา
แต่พี่อดัมเป็นผู้ชายที่รู้วิธีรักษาคำพูด
ก็อย่างที่เขาบอก เขากำลังเตรียมจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้าง ดังนั้นเขาจึงเก็บรางวัลไว้และงดเว้นจากการใช้มันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารอร่อยๆ หรือผู้หญิง
เขาแบกรับภาระแห่งความตาย ความกดดันทางจิตใจจากการทะเลาะวิวาทระหว่างทหารรับจ้างอยู่เสมอ
แม้ว่าฉันจะไม่สนใจเป็นพิเศษ แต่วันหนึ่งฉันก็ถามเขา
“ทำแบบนี้มันไม่ลำบากไปหน่อยเหรอ?”
ฉันถามเพราะเห็นเขาไม่คิดจะใช้เงินไปเพลิดเพลินกับความบันเทิงใดๆ เลย
“ฉันกำลังอดทนอยู่ตอนนี้ ทั้งหมดเพื่อใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในอนาคต”
เขายังคงไม่สั่นคลอน ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความเชื่ออันแรงกล้าของเขา เพื่อมุ่งหน้าสู่ความฝันของเขา
ในทางกลับกัน ฉันซื้อและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากินตลอด อย่างน้อยก็เพื่อลืมชีอันที่อยู่ในใจฉันทุกคืน
ฉันเก็บเงินได้ค่อนข้างมาก เพราะฉันไม่ได้ไปกินของอร่อยๆหรือเที่ยวผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่ฉันคิดว่าพี่ชายของฉันคนนี้น่าทึ่งมาก
ถ้าฉันมีชีอันอยู่ข้างๆ ฉันคงได้อยู่ร่วมกับเธออย่างสบายใจด้วยเงินที่หามาได้ ฉันคงจะไม่ลังเลที่จะใช้จ่ายเงินพวกนี้เลยสักแดงเดียว
แต่ฉันคิดไม่ออกว่าจะแสวงหาความสุขอื่นเช่นไร เพราะชีอันไม่ได้อยู่เคียงข้างฉันแล้ว…
หกเดือนผ่านไป
เราเริ่มคุ้นเคยกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด
ฉันสลัดความกดดันที่ฉันมีระหว่างภารกิจแรกออกไป และตอนนี้ฉันก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาก แม้อยู่ท่ามกลางการต่อสู้
“เบิร์ก อยากเดิมพันไหม?”
“เดิมพันแบบไหน?”
“ใครสามารถทำคะแนนสังหารได้มากกว่ากัน”
“ตั้งสมาธิก่อนเถอะ”
“งั้นเดิมพันวันนี้อยู่ที่เครื่องดื่ม”
“…เฮ้อ”
“ทำไมนายถึงถอนหายใจอีกครั้ง?”
“…แม้ว่าผมจะชนะ พี่ก็ไม่เห็นจ่ายเงินสักหน่อย”
“วันนี้ฉันจะจ่ายให้เอง!”
เราใช้วิธีพูดคุยหยอกล้อกันแบบสบายๆ เพื่อรับมือกับความกดดันในสนามรบ
เราค่อยๆ คุ้นเคยกับความตายของสหายของเราเป็นครั้งคราว
ไม่สิ แทนที่จะเรียกว่าทำให้คุ้นเคย...เราเพียงกำลังเรียนรู้วิธีรับมือกับมันต่างหาก
การทำความสะอาดศพ การจัดงานศพ และแบ่งปันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูก ช่วยบรรเทาความหวาดกลัวไปได้
ในฐานะทหารรับจ้าง ชีวิตของเราก็ไร้ค่าเหมือนกับแมลงวัน
สหายที่เราสนทนาด้วยทุกวันก็หายไปเรื่อยๆ
บ่อยครั้งมันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่จะมีชีวิตอยู่หรือตายไป
แน่นอนว่าฉันกับพี่อดัมยังคงมีโอกาสรอดมากกว่าคนอื่นๆ
เรารักษาระยะห่างจากการเที่ยวผู้หญิง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมุ่งเน้นไปที่การฝึกซ้อม
ถึงกระนั้น ความกดดันในการรู้ว่าเราอาจตายได้ถ้าโชคไม่เข้าข้างเราก็ยังอยู่กับเราเสมอ
แต่เราสามารถเอาชนะมันได้
เมื่อได้อยู่กับพี่อดัม ฉันจึงค่อยๆ ได้เสียงหัวเราะกลับคืนมา
“…พี่ ผมคิดว่าพี่จบสิ้นแล้วล่ะ”
“ได้ไง ฉันฆ่าไปห้าตัวแล้วนะ?”
“…หึหึหึ ผมล่าตัวหัวหน้าได้แล้ว”
“เฮ้อ ดูท่าฉันจะเสียเวลามากวาดล้างพวกลูกกระจ๊อกโดยใช่เหตุสินะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของเขา ฉันก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา
บางครั้งเขาดูโง่เขลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็จะยิ้มให้กับทุกสิ่งอยู่เสมอ
พี่อดัมนั้นเป็นคนที่เอาใจใส่มาก
วันหนึ่งเขาถามฉันว่าทำไมฉันถึงเป็นแบบนั้นในสลัม
แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าอันไร้คำตอบของฉัน เขาก็เปลี่ยนเรื่องและบอกขอโทษที่ถามออกไป
หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยถามเรื่องนี้อีกเลย
แต่ฉันรู้ดีว่าเขายังอยากรู้เสมอ
อย่างไรก็ตาม เขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของเขากับฉันมากกว่าความอยากรู้อยากเห็นของเขาเอง
ยิ่งฉันอยู่กับเขามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่น่าทึ่งมากเท่านั้น
จนถึงจุดหนึ่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉันจะเชื่อใจเขา
ฉันค่อยๆ รู้สึกสบายใจที่จะตามเขาไป
สองปีผ่านไปในกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มแรก
ฉันอายุ 19 ปีและเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ความเจ็บปวดที่ชีอันทิ้งไว้ยังคงค้างอยู่ในตัวฉัน แต่มันก็ไม่ท่วมท้นฉันเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ฉันไม่ดื่มแอลกอฮอล์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ฉันยังคงคิดถึงเธอ… แต่ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ฉันก็เข้าใจการแยกทางของเราสองคนแล้ว
หลังจากยอมรับชะตากรรมที่เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
เช่นเดียวกับที่ฉันได้กล่าวคำอำลากับผู้คนจำนวนมากในกลุ่มทหารรับจ้าง ฉันก็พยายามที่จะคิดจะทิ้งเธอไว้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ การจากลาที่ฉันเคยพานพบ
ทว่าการพลัดพรากจากเมื่อครั้งยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น พอมันมาถึงตอนนี้ มันก็รู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
พอฉันมาคิดเรื่องนี้แล้ว เธอเองก็เสียสละตนเองไปเพื่อคนนับล้าน
แล้วทำไมฉันถึงพูดแต่คำที่ทำร้ายเธอกัน?
หากย้อนเวลากลับไปได้ ฉันคงจะ...อวยพรให้เธอ
อวยพรให้…
…แต่ตัวฉันจะยังสามารถอวยพรให้เธอได้อย่างจริงใจได้งั้นเหรอ?
…ในบางครั้ง ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับกลุ่มนักรบที่ชีอันเข้าร่วม
ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ถูกเรียกว่าชีอันอีกต่อไป แต่เป็นนักบุญหญิง
เธอช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน ปกป้องผู้คนมากมาย และดูเหมือนจะชำระล้างดินแดนที่แปดเปื้อนไปด้วยเวทย์มนตร์
เหมือนว่าชีอันเด็กน้อยขี้แยขี้แยที่ฉันรู้จักหายไปแล้ว
ยิ่งนักบุญหญิงมีชื่อเสียงมากเท่าใด ระยะห่างระหว่างเราก็ยิ่งไกลออกไปเท่านั้น
ฉันพยายามจะไม่คิดถึงมันอีกต่อไป
ฉันตัดสินใจจะถือว่าเวลาที่อยู่กับเธอเป็นเพียงพรจากฟ้า
ฉันถือว่าช่วงเวลาที่เรามีร่วมกันเป็นเพียงความฝันอันแสนหวาน
เธอคือคนที่ทำให้ฉันคิดว่าการเกิดมาในโลกนี้มีความหมาย
บางทีเธออาจคิดเช่นเดียวกันฉันและตัดสินใจว่าจะไม่กลับมาแล้ว
แต่พูดตามตรง…ฉันยังคงสงสัยอยู่
'ชีอันคิดถึงฉันเหมือนกันหรือเปล่า?'
เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมีค่าสำหรับเธอไหม? หรือว่ามันจะเป็นเพียงความทรงจำโง่ๆ ที่เธอสามารถลืมและก้าวข้ามมันต่อไปได้?
ตัวตนของฉันยังมีค่าต่อเธอมากแค่ไหน?
เธอจะว่ายังไงถ้าเธอเห็นฉันดำเนินชีวิตต่อไปในฐานะทหารรับจ้าง?
…ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ชีวิตทหารรับจ้างที่เธอไม่พอใจ บัดนี้กลายเป็นสิ่งที่ฉันคุ้นเคยแล้ว