บทที่ 3: วัยเด็ก (3)
บทที่ 3: วัยเด็ก (3)
ฉันได้ยินข่าวจากฟลินท์
ก่อนที่จะพบกับชีอันวันนี้ ขณะที่ฉันกำลังปิดฉากการต่อสู้บนท้องถนนเพื่อยืนยันจุดยืนของฉันในสลัม ฟลินท์ก็รีบเข้ามาหาฉันแล้วพูด
“เบิร์ก!”
“ฟลินท์ขอเวลาฉันสักหน่อย ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ให้จบเถอะ”
“มันไม่ใช่เวลาแล้วเบิร์ก!”
เมื่อได้ยินเสียงเร่งรีบของเขา ฉันวางแท่งไม้ที่ฉันถือไว้และมองดูเขา
“…?”
“ไป… กลับไปหาเพื่อนของนายก่อน! พ่อแม่ของเธอ…!”
จากน้ำเสียงของเขา ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงจังของสถานการณ์ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรสำคัญ ฟลินท์คงไม่แสดงอารมณ์เช่นนั้น
ฉันทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลังและเริ่มวิ่งไปหาชีอัน
เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันแค่หวังว่าการคาดการณ์ของฉันจะผิด
อาการวิงเวียนเริ่มครอบงำฉันขณะวิ่ง
ความตายไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับฉัน แต่พอคิดถึงชีอันที่ได้รับบาดเจ็บ มันก็ทำให้ใจฉันเต้นระรัวด้วยความวิตก
ความคิดที่ว่าเธออาจบาดเจ็บ มันก็รู้สึกเหมือนมีคมมีดแทงทะลุหน้าอก
ฉันอธิษฐานอย่างแรงกล้าว่าสถานการณ์คงจะไม่ร้ายแรงอะไร แต่ตัวฉันยังคงพยายามวิ่งต่อไป
เนื่องจากพ่อแม่ของชีอันเป็นหมอ พวกเขาจึงมักเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งโดยปล่อยให้บ้านว่างเปล่า
มีหลายครั้งที่ชีอันจะร่วมเดินทางด้วย แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นแค่ตอนที่เธอป่วย
ครั้งนี้ฉันได้ยินจากชีอัน ว่าพวกเขาทั้งสองไปที่หมู่บ้านวูฟแมนท์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ การที่พวกเขาไปที่นั่นเพื่อเพิ่มพูนความรู้
'มีปัญหาขึ้นในระหว่างการเดินทางครั้งนี้หรือเปล่า?'
เมื่อมาถึงบ้านชีอัน ฉันก็เห็นคนมาเต็มบ้านมากมายที่ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เสียงสะอื้นดังระงมไปทั่ว
ฉันสามารถสัมผัสและเข้าใจถึงความมีน้ำใจของพ่อแม่ของเธอ และผลกระทบที่มีต่อเมืองแห่งนี้ได้อย่างแท้จริง
เมื่อเห็นภาพนั้น ฉันหายใจเข้าลึกๆ สักพักหนึ่ง
ท่ามกลางฝูงชน ฉันก็เห็นชีอันนั่งอยู่ตรงกลาง
น้ำตาไหลอาบหน้าเธอ
“อึก…!”
เมื่อเห็นอย่างนั้น ร่างกายของฉันก็ตอบสนองได้ทันที
ฉันไม่กล้าเข้าไปเพราะภูมิหลังของฉันที่มาจากสลัม
ความสัมพันธ์ลับๆ ของเราที่ถูกซ่อนไว้ไม่สามารถซ่อนได้อีกต่อไป
ฉันวิ่งฝ่าฝูงชนไปยังชีอันที่กำลังร้องไห้
“อะไรวะ นี่มันอะไรกัน? หนูโสโครกจากสลัมมาได้ยังไงกัน?”
“ทุกคนเก็บกระเป๋าเงินเร็วเข้า! ไอ้เด็กสารเลวนั่นอาจขโมยไปได้!”
ฉันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
ความวุ่นวายที่ทวีความรุนแรงขึ้นรอบตัวฉันกลายเป็นเสียงที่คล้ายห่างไกลจนแทบไม่ได้ยิน
ในสายตาของฉัน ทั้งหมดที่ฉันเห็นคือชีอันที่กำลังร้องไห้
ฉันฝ่าฝูงชนออกไปและไปยังพื้นที่ที่มีทหารคุ้มกัน
คนแคระวัยผู้ใหญ่ที่แต่งกายด้วยชุดหรูหรากำลังปลอบใจชีอัน เขาตบไหล่ของเธอเบาๆ แต่ชีอันยังคงนิ่งเงียบโดยไม่แสดงการตอบสนองใดๆ
เมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพนั้น ฉันก็เรียกชื่อเธอ
"…ชีอัน!"
เมื่อได้ยินเสียงของฉัน สีหน้าแข็งทื่อของเธอก็กลายเป็นประหลาดใจ
ตาและจมูกของเธอแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก
ชีอันมองดูใบหน้าของฉันช้าๆ สีหน้าของเธอเปื้อนด้วยความโศกเศร้า
“… เบิร์ก…”
ชีอันเดินเซจนแทบล้ม
"ฮือ…! ฮะ…ฮือออ!"
จากนั้นเธอก็อ้าแขนออกกว้าง และเดินเข้ามาหาฉันและโอบกอดฉันด้วยความพยายามอย่างมาก
ในอ้อมแขนของฉัน เธอเริ่มร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
"คุณแม่และคุณพ่อ…! ฮือ…!"
แม้แต่คนที่พยายามควบคุมฉันไว้ก็ไม่พยายามหยุดฉันอีกต่อไป แต่ความสงสัยของพวกเขากลับปรากฏชัดเจน
ฉันไม่ได้สนใจพวกเขาเหล่านั้นเลย
ฉันแค่กอดชีอันไว้แน่นและอยู่กับเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ว่ากันว่าพ่อแม่ของชีอันถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาด
แม้จะมีทหารคุ้มกันจำนวนมากติดตามมาด้วย แต่พวกเขาก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที
จากร่องรอยในที่เกิดเหตุ กล่าวกันว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดชนิดพิเศษและไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
มันเป็นอุบัติเหตุที่โชคร้ายมาก
ชีอันถูกคุมตัวไว้โดยขุนนางที่ร่ำรวยจับตัวไว้เป็นเวลานาน และเนื่องจากเธอไม่อยากจากฉันไป ฉันจึงต้องอยู่กับพวกเขาด้วย
ขุนนางที่ร่ำรวยต่างจากเพื่อนบ้านทั่วไปโดยรอบ เขาไม่แสดงความโศกเศร้าต่อพ่อแม่ของชีอันมากนัก เหมือนกับกำลังทำเรื่องซับซ้อนบางอย่างอยู่
พวกเขาคุยกันเรื่องการรักษามรดก โดยขอให้เธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรมของพวกเขา...
ในตอนแรก เรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว น้ำเสียงของพวกเขากลับดูน่ากลัวยิ่ง
กับดักนี้...ชีอันคงไม่รู้เลย
แต่ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปก้าวก่ายเพื่อโต้แย้งเรื่องนี้ได้
ตอนนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันควรต้องสงบสติอารมณ์
เพื่อความมั่งคั่ง ผู้คนจำนวนมากพร้อมจะละทิ้งศีลธรรมของตนไป
เมื่อได้เห็นก้นบึ้งของชีวิตแล้ว ฉันก็มั่นใจกับอะไรหลายๆ อย่าง
เวลาผ่านไปนานพอสมควร
ชีอันน้ำตาไหลในอ้อมแขนของฉันโดยไม่พูดอะไรเลย
เมื่อเธอไม่ตอบใคร พวกผู้ใหญ่ก็หาข้อแก้ตัวโดยให้เวลาเธอไว้ทุกข์และจากไป
ทิ้งเธอไว้ตามลำพังในบ้านอันกว้างขวาง ฉันกับชีอันนั่งเงียบๆ
เมื่อเหลือเพียงเราสองคน เสียงร้องไห้และตัวสั่นของชีอันก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ยิ่งเกิดขึ้น ฉันก็ยิ่งกอดเธอแน่นขึ้น
ฉันหวังว่าความห่วงใยของฉันจะส่งไปถึงเธอ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ฉันเงียบและกอดเธอไว้แน่นจนเธอหยุดร้องไห้
เธอเองก็พยายามหยุดร้องไห้เช่นกัน ราวกับว่าหัวใจของเธอค่อยๆ สงบลงด้วยความสบายใจ
หลังจากอยู่กับเธอทั้งคืน ในที่สุดเธอก็เปิดปากพูด
“เบิร์ก…”
“…บอกฉันเลยมาชีอัน”
“…ฉันอยากอยู่กับนายในสลัม”
"อะไรนะ?"
คำขอของชีอันหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก
“…ฉันต้องการแค่นายเท่านั้น ได้ไหม…?”
น้ำเสียงสิ้นหวังของเธอและด้วยความสัมพันธ์ของเรา...มันเป็นคำขอที่ยากจริงๆ ที่จะปฏิเสธแต่...
"…ไม่"
อย่างไรก็ตาม ฉันได้แต่ต้องปฏิเสธ
“อะไรนะ?”
ชีอันเริ่มร้องไห้อีกครั้งด้วยความรู้สึกเหมือนถูกทรยศ
ถึงยังไง ฉันก็ส่ายหัวและพูดต่อ
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ สลัมนั้นอันตรายเกินไป มันไม่ใช่ที่สำหรับเธอที่จะมาอยู่”
ฉันไม่สามารถพาเธอมาได้ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ฉันรู้ดีว่าสลัมนั้นโหดร้ายต่อมนุษย์เพียงใด
ฉันอยากจะปกป้องความบริสุทธิ์ของเธอ
ฉันไม่อยากให้เธอเห็นสิ่งสกปรกเหล่านั้น
“…เบิร์ก…ได้โปรด…ฉ…ฉันแค่อยากจะอยู่เคียงข้างนาย…ฉัน”
“ยังไงซะ ฉันก็จะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไปอยู่แล้วชีอัน”
“…”
“งั้นก็ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสิ ไปเป็นลูกสาวบุญธรรมหรืออะไรแบบนั้นไปได้เลย...ไม่ต้องสนใจสิ่งที่ดูอันตราย…ไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสิ ฉันได้ยินมาว่ามีสถานที่ดีๆ ทางตอนเหนือของเมืองด้วย”
เธอถอนหายราวกับโล่งใจกับคำพูดที่ว่าฉันจะไม่ทิ้งเธอ ชีอันกอดฉันอีกครั้งและปาดน้ำตาที่ไหลออกมา
“…เราจะยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอยู่ไหม?”
ฉันผงกหัวกับคำถามอันแสนกะทันหันของเธอ
"แน่นอนสิ ฉันสัญญา"
ชีอันมองหน้าฉันครู่หนึ่งด้วยสีหน้ามุ่งมั่น จากนั้นเธอจึงพูดว่า “…ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำตามที่นายบอก”
เธอเชื่อในตัวฉันมากกว่าใครๆ
.
วิธีแรกที่ชีอันจะไปอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
เธอต้องสละทรัพย์สมบัติทั้งหมด แต่ว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเธอ
เธอไม่ควรเสียสมบัติพวกนั้นไป
มีหลายคนที่อาจจะเอาเปรียบเธอเพื่อริบเอามรดกที่สืบทอดมาของเธอ
ในอดีต ฉันจะไม่เคยได้คิดถึงเรื่องแบบนี้เลย แต่เมื่อชีวิตของชีอันตกอยู่ในอันตราย มุมมองของฉันก็เปลี่ยนไป
'เพราะอะไรเธอถึงทำให้ฉันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้กันนะ?'
ชีอันสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอกลับลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น
ฉันค่อยๆ ลดเวลาที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสลัมลง เพื่อเป็นเสาหลักที่ชีอันจะพึ่งพาได้ ฉันมักจะวนเวียนอยู่รอบๆ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
หากใครกล้ารังแกเธอเพียงเพราะเธอเป็นมนุษย์ ฉันก็จะก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกเขา และทุกครั้งที่เธอเสียน้ำตา ฉันจะคอยเช็ดน้ำตาให้เธอ
ด้วยความสามารถในการเข้าสังคมที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เธอจึงเข้ากันได้ดีกับทุกคนและดำเนินชีวิตต่อไปอย่างกล้าหาญ
“…มันคงเป็นเรื่องยากมากเลยหากไม่มีนาย”
หลังจากอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าสี่เดือน วันหนึ่งชีอันก็กล่าวขอบคุณออกมา
“…”
“ขอบคุณนะเบิร์ก”
ทุกครั้งที่เธอพูดคำเหล่านั้น ฉันก็รู้สึกถึงการมีคุณค่าในชีวิต
"ไม่ต้องหรอก"
และอีกสามปีก็ผ่านไป
ตอนนี้ฉันอายุ 16 ปี และชีอันอายุ 14 ปี
ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ร่างกายอันเยาว์วัยได้เลือนหายไป และเราก็โตขึ้น การเติบโตที่แบกแยกทั้งเพศชายและหญิงยิ่งยิ่งชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากรับมือกับความเสียใจจากการสูญเสียพ่อแม่ของเธอได้แล้ว ชีอันก็กลับมาสู่ตัวตนเดิมของเธอ
เธอเป็นนักเล่าเรื่อง ดังนั้นเวลาอยู่ด้วยกัน มันจึงไม่เคยมียามใดที่เงียบงันเลย
ฉันเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับโลกผ่านเธอ
แม้แต่บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ก็นำความสุขมาให้เราเสมอ
แต่ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนั้นก็คงเป็น…ระยะห่างทางกายภาพระหว่างเราก็ยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น
จากที่เคยจับมือกันกลายมาเป็นนิ้วประสานกัน และระหว่างเวลาพัก เธอมักจะนั่งระหว่างขาของฉันและพิงหน้าอกของฉัน
มันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก จนฉันจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อใด
เรายังคงรักและหวงแหนกันมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกอิจฉาจึงค่อยๆ เกิดขึ้น
"…น่ารำคาญมาก"
ชีอันกล่าว
"อะไรเหรอ?"
“ทำไมนายถึงหล่อขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ?”
"อะไรนะ?"
ฉันหัวเราะเบาๆ แต่ชีอันยังคงเผยสีหน้าจริงจังราวกับว่าเธอกังวลเรื่องนี้อย่างแท้จริง
“…แค่เพียงคนอื่นเห็นใบหน้านาย พวกเขาก็มักจะถูกดึงดูดไปกันแล้ว นั่นมันน่าหงุดหงิดมากเลยนะ ฉันอยากให้นายน่าเกลียดแทนด้วยซ้ำไป”
“เธอเป็นคนเดียวที่คิดว่าฉันหล่อต่างหาก”
“ไม่ มันไม่จริงหรอก อืม งั้นควรจะโกนผมนายให้หมดเลยดีไหม?”
“…พูดถึงเรื่องอะไร? ไม่ว่ายังไงฉันก็อยู่กับเธอเสมอแหละน่า”
"…โกหก"
ขณะที่เธอพูดแบบนั้น สีหน้าของเธอก็เย็นชา
"…อะไร?"
“เบลล์ นายคุยกับเฮลีย์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้พวกนายพูดอะไรกัน?”
เธอเริ่มเรียกฉันว่า 'เบลล์' เป็นชื่อเล่น
“กับเฮลีย์เหรอ? ฉันไม่ได้พูดอะไรมากมายซะหน่อยนะ”
เฮลีย์เป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเดียวกันกับชีอัน
“ไม่ได้พูดอะไร แต่ยังยิ้มให้กันแบบนั้นเหรอ?”
“อะไรของเธอล่ะเนี่ย?”
“…นายจะทำเป็นไม่รู้ต่อไปอีกเหรอ?”
“ฉันไม่รู้จริงๆ นะ”
“ก็นายยิ้มให้เฮลีย์ และฉันไม่ต้องการให้นายทำอย่างนั้นอีกในอนาคต นายรู้ไหมว่าเธอไปพร่ำบอกทุกคนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าว่านายหล่อมากแค่ไหน”
“แค่เพราะฉันยิ้มเนี่ยนะ?”
“ถ้าอย่างนั้น นายอยากให้ฉันยิ้มและเล่นกับผู้ชายคนอื่นไหมล่ะ?”
“…”
เธอพูดตรางจุดมาก หลังจากพูดออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าการยกตัวอย่างเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไร
"…ฉันรู้แล้วน่า เดี๋ยวฉันจะระวังให้มากขึ้น”
หลังจากที่ฉันตอบตกลงแล้ว ชีอันก็ดูมีสีหน้าที่ผ่อนคลายและยิ้มออกมา
ฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนเธอแล้ว
เมื่อชีอันเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอเริ่มเชื่อในเทพเจ้า
เทพเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ 'เฮ' คือเทพเจ้าของเธอ
ไม่ได้ถึงขั้นมีศรัทธามากเกินไป แต่...ไม่มีวันไหนที่เธอพลาดอธิษฐาน
“ช่วยหยุดอธิษฐานหน่อยได้ไหม?”
ฉันถาม แม้ว่าฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลา แต่ฉันก็ไม่ชอบเลยเวลาที่พรากไปจากฉันเพราะเธอต้องอธิษฐาน
แต่ชีอันกลับยืนกรานเกี่ยวกับเรื่องนี้
"ไม่ ฉันต้องอธิษฐาน”
“แล้วทำไมถึงต้องทำทุกวัน?”
“เพื่อให้นายมีความสุข”
“…การบอกว่าอธิฐานอะไรไม่ใช่สิ่งต้องห้ามหรอกเหรอ? มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่าถ้าเธอบอกฉันอย่างนั้น”
“มันบอกไม่ได้เหรอ?”
ฉันไม่สามารถเอาชนะชีอันในการโต้เถียงได้เลย
เสียงของเธอ คำพูดของเธอ และรอยยิ้มที่สวยงามของเธอทำให้ฉันพูดไม่ออกเสมอ
แม้ว่าฉันจะโกรธ ฉันก็ได้แต่ยอมแพ้อย่างโง่เขลา
เมื่อเวลาผ่านไป เราเริ่มพูดถึงอนาคต
“นายมีความฝันบ้างไหมเบลล์?”
“ความฝันเหรอ?”
ฉันแทบไม่เคยคิดถึงความฝันกับชีอันเลย เพราะมันน่าอึดอัดใจ ตัวฉันเป็นคนที่มักจะอยู่กับปัจจุบันอยู่เสมอ
“ใช่แล้ว ความฝัน นายอยากมีชีวิตอยู่ในอนาคตยังไงเหรอ?”
หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉันก็เขียนอะไรบางอย่างที่ฉันคิดได้
“ฉันแค่…อยากมีชีวิตอยู่ ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่อย่างร่ำรวยหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ”
“เจาะจงกว่านี้อีกหน่อยสิ”
“ฉันอยากประหยัดเงิน อยู่แบบเพียงพอและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ฉันหมายถึงฉันอยากมีชีวิตที่สงบกว่านี้สักหน่อย ฉันไม่อยากอยู่กับความตึงเครียดตลอดเวลาเหมือนที่ต้องอยู่ในสลัมทุกวัน คิดว่าฉันควรย้ายออกไปจากเมืองไหม?”
“จะอยู่คนเดียวเหรอ?”
"ก็ คงจะดีถ้ามีเพื่อนอยู่เคียงข้างฉัน”
"…แล้วใครคือเพื่อนของนายเหรอ?"
ฉันระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกับจิ้มแก้มของชีอันที่กำลังเริ่มยื่นออกมา
นั่นคือจุดสิ้นสุดของเรื่องตลก
ตั้งแต่ตอนนี้ ฉันก็รู้แล้วว่าเธอต้องการคำตอบแบบไหน
“และเธอก็ควรจะอยู่ที่นั่นด้วย”
เมื่อตอบเช่นนั้น ชีอันก็ยิ้มและแสร้งทำเป็นไม่แสดงออก
"แล้วเธอล่ะ?"
เมื่อถูกถามเช่นนั้น ฉันก็สงสัยในความฝันของชีอันทันที
ชีอันเอนศีรษะมาทางฉันแล้วพูด
"…ฉันอยากจะเดินทางไปทั่วโลก"
เสียงของเธอขณะที่เธอพูดคำเหล่านั้นมีบรรยากาศเหมือนความฝัน
“มันสนุกมากเมื่อฉันได้เดินทางกับพ่อแม่ กับนาย…”
ชีอันเหลือบมองฉันแล้วกระซิบ
“…ฉันอยากให้นายเห็นสิ่งที่ฉันได้เห็น”
เมื่อเห็นสีหน้าเขินอายของชีอัน ฉันก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
เมื่อฉันหัวเราะ ชีอันก็พูดต่อราวกับกำลังหาข้อแก้ตัว
“…ก็นะ บางครั้งนายดูจะไม่เชื่อที่ฉันพูด…! นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่อยากเล่า…”
เมื่อไรก็ตามที่ชีอันเล่าเรื่องราวอันน่าประหลาดใจเกี่ยวกับโลกภายนอก แววตาของเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ฉันจึงมักจะแกล้งเธอเสมอ
ลึกๆ แล้วมันก็ดูเหมือนจะเธอจะโกหก
แต่ในความเป็นจริง แม้จะไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง ฉันก็รู้แล้วว่าทุกสิ่งที่ชีอันบอกนั้นมีอยู่จริง
เพราะฉันรู้ว่าชีอันจะโกหกตอนไหน
ถ้าเธอโกหก ฉันก็รู้ได้ทันที
ซึ่งมันก็เช่นเดียวกับความฝันของชีอัน ความคิดที่จะได้เห็นทุกสิ่งที่เธอบอกฉันด้วยตาของตนเองนั้นฟังดูน่าเพลิดเพลินยิ่ง
บทสนทนาเรื่องความฝันในวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น
ช่วงเวลาแห่งการหลบหนีจากสลัมคงจะมาถึงในไม่ช้า
การมีชีวิตอยู่ด้วยการขโมยเหมือนตอนเด็กๆ กลายเป็นเรื่องยากแล้ว
จากวัยของฉันตอนนี้ ผู้คนจากสลัมล้วนต้องไปหาเส้นทางใหม่กัน
ฉันก็ต้องทำเช่นเดียวกัน
ไม่มีทางที่ฉันจะใช้อนาคตร่วมกับชีอันด้วยการขโมย ไม่มีทางที่ฉันจะเดินทางไปทั่วโลกกับเธอได้ รายได้มันน้อยเกินไปหากจะทำเช่นนั้น
ในที่สุด หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฉันก็บอกถึงความคิดของฉันต่อชีอัน
“ชีอัน ฉันกำลังคิดที่จะเข้าร่วมองค์กร ช่วงนี้มันมีข้อเสนอดีๆ เข้ามาด้วย”
ชีอันขมวดคิ้วด้วยความหวาดกลัว ทว่ามันกลับดูน่ารักสำหรับฉัน
“…แต่ฉันตัดสินใจว่าเราจะไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอีกต่อไปแล้วนะ”
“นี่เป็นทางเลือกเดียวที่ฉันมี หากเธอไม่ชอบสิ่งผิดกฎหมาย งั้นฉันก็สามารถเป็นทหารรับจ้างได้ พวกเขาคงจะเริ่มคัดเลือกเร็วๆ นี้”
ไม่มีทางเลือกมากมายที่ผู้คนจากสลัมจะสามารถเลือกได้
ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะต้องใช้ความแข็งแกร่งเพื่อความอยู่รอด
“แต่การเป็นทหารรับจ้างนั้นมันแย่ยิ่งกว่าอีกนะ…!”
ชีอันตะโกนประท้วง
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและตัวสั่น
“การเป็นทหารรับจ้างนั้นอันตรายเกินไป…! ต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยไม่ใช่เหรอ?”
อะไรที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาด เธอก็มักจะกระวนกระวายใจอยู่เสมอ
แน่นอนว่าเธอไม่สามารถลืมสิ่งที่พรากพ่อแม่ของเธอไปได้
ดังนั้นแม้ว่าฉันจะรู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ซ่อนความรู้สึกของฉัน
“…แต่ฉันจะต้องทำเพื่อความอยู่รอด”
ชีอันนั่งบนตักของฉันและจับหน้าฉันด้วยมือทั้งสองข้าง
เธอที่นอนบนตักของฉันช่างน่าเอ็นดู
แต่ชีอันกลับพูดอธิบายออกมาด้วยสีหน้ากังวล
“เบลล์…อย่าทำอะไรที่มันอันตรายนะ…เราต้องอยู่ด้วยกันนานๆ สิ…”
เมื่อสูญเสียพ่อแม่ไป เธอมักจะกลัวที่จะสูญเสียฉันไปเช่นกัน
“เป็นเพราะฉันอยากไปเที่ยวรอบโลกหรือเปล่า…? นายเลยไม่เห็นว่าฉันให้ความสำคัญกับนายเป็นอันดับแรก…?”
“…”
“ฉันก็ชอบความฝันของเธอเหมือนกัน…”
คงมีเพียงชีอันเท่านั้นที่ทำให้ฉันเปลี่ยนใจได้
เมื่อฉันได้ยินเสียงที่จริงใจของเธอ แม้แต่ปณิธานอันแน่วแน่ของฉันก็สั่นคลอนทีละน้อย
ถึงฉันจะมีบุคลิกที่ดื้อรั้น แต่ฉันก็อ่อนโยนมากเมื่อยู่ต่อหน้าชีอัน
บางทีคำพูดของเธออาจจะสัมผัสส่วนลึกของหัวใจของฉัน
ฉันก็เลยกอดชีอันไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า
"…ตกลง ฉันจะไม่ทำอย่างนั้น”
ไม่กี่วันหลังจากการสนทนานั้น ฉันก็ออกมาจากสลัม
ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่นั้นที่เคยอยู่อย่างยาวนานอีกต่อไป
หลังจากที่ฟลินท์และแม็กซ์ได้กล่าวคำอำลาอย่างอบอุ่น เราต่างออกเดินทางไปตามเส้นทางของตนเอง
ฉันออกจากสลัมและตระเวนไปทั่วเมืองเพื่อหางานทำ
ตอนที่ฉันหางาน มีคนไล่ฉันออกด้วยคำพูดเพียงเพราะฉันมาจากสลัม แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
ฉันไม่ได้โกรธเลย
ฉันทนได้เพราะฉันคิดถึงชีอัน
ขณะที่ฉันเดินไปรอบๆ เมือง ฉันก็เจอใบปลิวรับสมัครทหารรับจ้างเป็นครั้งคราว
“รับสมัครผู้ชายที่ต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อ เงิน ชื่อเสียง และผู้หญิง ไม่รับเผ่าพันธุ์มนุษย์'
มีทหารรับจ้างบางส่วนที่ยอมรับมนุษย์ และมีทหารรับจ้างที่ไม่ยอมรับ
มันคือการกีดกันเผ่ามนุษย์
แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญสำหรับฉันมากนัก
ทางเลือกในการเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่ตอนนี้มันไม่ดึงดูดความสนใจของฉันเลย
หลังจากเดินเล่นรอบเมืองได้สองวัน โอกาสก็มาถึงฉัน
สถานที่ที่ฉันพบในครั้งนี้คือโรงเตี๊ยม
“นายมาจากสลัมไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าของโรงเตี๊ยมที่เป็นคนแคระ เขาถามหลังจากเห็นรอยแผลเป็นและมือของฉัน
"ถูกแล้วครับ"
“ไปซะ ฉันจะเชื่อใจคนจากสลัมได้ยังไง?”
“….”
ฉันฟังคำดูถูกตามปกติแล้วหันหลังกลับ
แต่ก่อนออกจากร้าน เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เปิดปากอีกครั้ง
"เดี๋ยวๆๆ นายน่ะ…"
“?”
พุงป่องๆ ของเขาทำให้มองฉันมองมันขึ้นๆ ลงๆ อย่างเชื่องช้า
“นายเป็นคนที่ดูแลลูกสาวของแอสเกอร์และฮิลด้าไม่ใช่เหรอ?”
ใบหน้าของฉันเต็มไปด้วยความสับสน
“แอสเกอร์และฮิลด้าคือใครกันครับ?”
“หมอสองคนที่เสียชีวิตหลังจากถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดเมื่อไม่กี่ปีก่อน…ลูกสาวชื่ออะไร…ชีอัน…ใช่ไหม? ยังไงก็เถอะ นายคือคนที่ดูแลลูกของพวกเขาสินะ?”
ดูเหมือนว่าแอสเกอร์และฮิลด้าจะเป็นชื่อพ่อแม่ของชีอัน
ฉันเริ่มได้เรียนรู้สิ่งใหม่เกี่ยวกับเธอแล้วสิ
“ชีอันเป็นเพื่อนของผม”
“เหอะ ไร้สาระเป็นบ้า…”
เขาเกาหัวแล้วถาม
“งั้นที่นายก็ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อดูแลชีอันเหรอ? ทำไมคนจากสลัมถึงต้องคลานเข้ามาในโลกแห่งอารยะด้วยล่ะ?”
“…ก็เหมือนกับที่คุณคิดนั้นแหละ ผมทำสิ่งนี้เพื่อดูแลชีอัน”
“งั้นฉันจะให้งานนายทำ”
“มันเป็นแค่คำพูดลอยๆ หรือมันจะเป็นงานจริงๆ กันแน่ครับ?”
“…”
ชายคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจลึกๆ แล้วพูด
“ฉันไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อนายหรอกนะ เป็นเพราะคนสองคนนี้เคยช่วยลูกชายของฉันในอดีตต่างหาก ดังนั้นฉันจึงอยากตอบแทนบุญคุณ มาหาฉันพรุ่งนี้ ฉันจะสอนงานให้กับนาย”
รอยยิ้มประดับไปทั่วบนใบหน้าของฉัน
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะมาที่นี่ครับ”
คนที่มีความสุขที่สุดกับข่าวนี้คือชีอัน
เธออวยพรให้ฉันให้หนีห่างจากสลัมอันแสนอันตรายอยู่เสมอ
"จริงเหรอ? จริงเหรอเบลล์?”
“ทำไมฉันต้องโกหกด้วยล่ะ? ฉันจะทำงานที่โรงเตี๊ยมตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
ฉันกระโดดแล้วกอดเธอ
รอยยิ้มที่สวยงามยิ่งกว่าดอกไม้ใดๆ ได้เบ่งบานบนใบหน้าของเธอ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกอายและก้มหน้าลง
เมื่อมองตาเธอ ฉันพูดว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเธอนะชีอัน”
“เป็นเพราะนายเองต่างหาก”
“ไม่ชีอัน คนที่หางานให้ฉัน…เป็นคนรู้จักกับพ่อแม่ของเธอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้งาน”
“……..”
"ขอบคุณนะ"
น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของชีอัน แต่เธอยังคงยิ้มอย่างสดใส
“…ฉันก็ขอบคุณเหมือนกันนะเบลล์ ขอบคุณที่ช่วยฉัน”
เธอกอดฉันอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน ฉันก็ได้รับการยอมรับจากเจ้าของโรงเตี๊ยม
ที่ทั้งหมดมันเป็นไปได้ เพราะฉันทำงานหนักในขณะที่คิดถึงชีอันไปด้วย
จนสามารถเช่าห้องเล็กๆ ได้
มันเป็นห้องที่มีขนาดพอเหมาะที่จะอยู่ร่วมกับชีอัน
เมื่อเธออายุมากพอที่จะออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของเราสองคน
ฉันค่อยๆ สร้างสถานที่ของฉันขึ้น
ทันใดนั้นก็มีข่าวหนึ่งแพร่กระจายไปทั่ว
“ได้ยินข่าวไหม?”
มันเป็นเสียงที่ดังก้องมาจากโต๊ะในขณะที่ฉันกำลังทำงานอยู่ที่โรงเตี๊ยม
แม้ว่าฉันไม่อยากได้ยินมัน แต่เสียงที่ฉันได้ยินก็ทะลุเข้ามาในหูของฉัน
"ข่าวอะไร?"
“ก็ข่าวที่บอกว่ามีปีศาจที่ได้กลายเป็นราชาแล้วไงเล่า”