บทที่ 1: วัยเด็ก (1)
[เรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่มีระบบ ไม่มีพระเอกเก่งเกินหน้าตบทุกคน ไม่มีเกิดใหม่ต่างโลก แต่พระเอกสู้ชีวิต ลองอ่านไปเรื่อยๆ ถึงตอน 10 ดูนะครับ เรื่องนี้เนื้อเรื่องหลักจบภายใน 238 ตอนครับ ต้นฉบับจบแล้ว]
บทที่ 1: วัยเด็ก (1)
ฉันอายุ 11 ขวบ และ...เป็นหัวขโมย
“ทำสำเร็จหรือเปล่า?”
ขณะที่ฉันกำลังเดินไปหาพวกเขา แม็กซ์ก็ถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เมื่อฟังถามคำถามของเขา ฉันยกมุมปากขึ้นและเผยถุงใส่เหรียญอย่างภาคภูมิใจ
"ดีเลย! ฉันว่าแล้วเชียวว่านายต้องทำได้ เบิร์ก”
กระทั่งฟลินท์ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของเราก็ร่วมเฉลิมฉลองและตบหลังฉันด้วยความยินดี
ฉันสะบัดถึงใส่เหรียญในมือและตรวจสอบน้ำหนักของมัน
มันหนักมาก
ดูเหมือนว่าคงจะไม่ต้องดิ้นรนหาเงินสักระยะ
เมื่อมองเข้าไปในกระเป๋า ใบหน้าของพวกเราเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นวิถีชีวิตตามปกติของพวกเรา
สำหรับเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในสลัมแบบพวกเรา มันคือสิ่งที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด
ฉันเคยได้ยินข่าวลือว่ามีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไหนสักแห่งทางตอนเหนือของเมืองคอยช่วยเหลือเด็กที่ไม่มีที่ไป แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย
“เบิร์ก ดูนั่นสิ”
ในขณะที่เรากำลังหัวเราะ แม็กซ์ก็หุบยิ้มและชี้ไปที่ไหนสักแห่ง
ที่ปลายนิ้วของเขา มีคนสามคนในวัยเดียวกับเรายืนอยู่
พวกเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ในสลัมเช่นเดียวกับพวกเรา
และยังเป็นกลุ่มคู่แข่งของเราด้วย
มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนพวกเรา พวกเขาเป็นมนุษย์หมาป่า
พวกเด็กๆ หมาป่าเหล่านั้นหัวเราะคิกคักขณะมองดูถุงใส่เหรียญในมือของเรา
"…อา"
เมื่อมองดูพวกเขา ฟลินท์ก็เดาะลิ้นของเขาเงียบๆ
ไม่ใช่เรื่องดีเลยหากคนพวกนั้นรู้ว่าเราได้ของมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนในสลัมเดียวกัน
เพราะเราต่างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายก็ไม่ได้ปกป้องเราเช่นกัน
แม้ว่าเราจะถูกทุบตีจนตายที่ไหนสักแห่ง มันก็ไม่มีการลงโทษผู้กระทำความผิด
สลัมเป็นสถานที่ที่ความเข้มแข็งคือทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนั้นฉันจึงละสายตาจากทั้งสามคนตรงหน้า ฉันกอดถุงใส่เหรียญไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า
"ไปกันเถอะ"
.
.
วันนั้นเราซ่อนถุงใส่เหรียญไว้ และวันต่อมา เราก็ทำเช่นเดียวกัน
เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาจะเริ่มมาหาเรื่องตอนไหน
บางทีแม้แต่พี่น้องของเราก็ยังอาจจะมีสู้กันเองด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีหลายวิธีในการใช้เงินให้หมดในคราวเดียว แต่ก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เรื่อง
มันไม่สมควรเลยที่จะใช้เงินที่สามารถซื้ออาหารและหาที่ซุกหัวนอนให้เราได้สองสามสัปดาห์ เพียงเพื่ออยากจะหลบจากการต่อสู้
แน่นอนว่าการต่อสู้กับมนุษย์หมาป่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดเดียว
กรงเล็บอันแหลมคมและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของพวกมันทำให้เราหวาดกลัวอยู่เสมอ
ทว่าถึงเผ่าพันธุ์นี้จะน่าสะพรึงกลัว แต่มนุษย์เราสามารถเอาชนะได้ด้วยสองมือของเรา
ฟลินท์ แม็กซ์ และฉันตกลงที่จะผลัดกันสอดแนมพวกคู่แข่ง
ดูเหมือนว่าเราคงจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้ จนกว่าเราจะเข้าใจความตั้งใจของพวกนั้น
อย่างน้อยสองสามวัน...เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา
พวกมันคงจะรีบเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ถุงใส่เหรียญที่เราหามาได้แน่
เวลาผ่านไปและไม่นาน มันก็กลายเป็นตอนกลางคืน
ตอนนี้ถึงคราวของฉันที่ต้องเฝ้ายาม
ฉันซ่อนตัวและมองไปทางทางเข้ายังตรอกที่พวกนั้นอาศัยอยู่
หากพวกเขาต้องการโจมตี พวกเขาจะต้องเข้ามาทางนั้น
“…?”
ในขณะที่ฉันกำลังซุ่มดูพวกเขาอยู่ บุคคลที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏตัวขึ้น
เด็กสาวที่ดูอ่อนกว่าฉันสองหรือสามปีกำลังเดินมาอย่างโซเซ
เธอเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับฉัน…เธอเป็นมนุษย์
ท่าทางของเธอดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความกลัว
แต่เสื้อผ้าของเธอเรียบร้อย และใบหน้าของเธอก็สะอาดไม่มีมลทินไม่มีคราบสกปรกติดอยู่
ผมสีดำเงางามของเธอเป็นลอน
โดยรวมแล้วเธอดู…น่ารัก
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่คนในสลัม
เธอดูเหมือนจะเป็นลูกสาวจากครอบครัวที่มีฐานะดีทางตอนเหนือของเมืองที่หลงทางและมาอยู่ในสลัมแห่งนี้
"คุณแม่…? คุณพ่อ…?"
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีสภาพตรงข้ามกับฉันโดยสิ้นเชิง
ด้วยความสับสน เธอจึงมองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว
ฉันจ้องมองหญิงสาวที่หวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่งอย่างเงียบๆ
“…”
“คุณแม่…คุณแม่…? อยู่ที่นั่นไหม…?”
หลังจากเดินไปมาสักพัก จู่ๆ เด็กหญิงคนนั้นก็มาหยุดอยู่หน้าตรอกซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของเจ้าพวกนั้น เธอค่อยๆ กลืนน้ำลายและเริ่มก้าวเข้าไปในตรอก
“นี่ เธอโง่หรือเปล่า?”
ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเพื่อดึงสติเธอ
“เฮือก!”
เธอวางมือบนหน้าอกแล้วมองมาที่ฉันด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นเธอมองมา ฉันก็อดไม่ได้ที่จะพูดต่อ
“เห็นๆ อยู่ว่าข้างในเป็นสถานที่ที่อันตราย ทำไมถึงเธอถึงคิดจะเข้าไปในนั้น?”
หากหญิงสาวที่บอบบางเช่นเธอเข้าไปในตรอกมืด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นคงจะแย่มาก
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความอันตรายนี้ ไม่ว่าจะเกิดอาชญากรรมอะไรขึ้น ผู้คนย่อมไม่สังเกตเห็น ภายในนั้นไม่สนใจภูมิหลังของใครทั้งนั้น
ในสลัม มันเป็นเรื่องปกติที่ตอนกลางคืนจะอันตรายมากกว่าตอนเช้า
“หลงทางเหรอ?”
ฉันถาม
ฉันไม่อยากเห็นพวกคู่แข่งเจอเธอ…แต่จริงๆ แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันทำเช่นนี้เหมือนกัน…มันเพราะว่าเธอ…
สวยมากจนเทียบไม่ได้กับเด็กผู้หญิงในสลัม ฉันก็เลยอยากจะช่วยเธอ
บางทีฉันอาจรู้สึกเหมือนกับเป็นเจ้าของตั้งแต่แรกพบ และส่วนหนึ่งอาจเพราะเราทั้งคู่ต่างก็เป็นมนุษย์
ทว่าเธอกลับมองมาที่ฉันด้วยความหวาดกลัว
ตอบสนองต่อความมีน้ำใจของฉันแบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่มีเหตุผล
“…งั้นก็ช่างมันเถอะ ทำตามที่เธอต้องการเลย…”
ขณะที่ฉันกำลังจะหันหลังกลับ พวกมนุษย์หมาป่าสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากตรอก
ดวงตาสีเหลืองเป็นประกาย
“เด็กผู้หญิงงั้นเหรอ?”
เมื่อหญิงสาวเห็นทั้งสามคนวิ่งออกมาจากตรอก เธอยิ่งตกใจกลัวและถอยหลังออกไป เธอล้มลงจนก้นของเธอกระแทกพื้น
"…โอ้ย"
สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มก้มลงสำรวจเด็กสาวที่ล้มตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เสื้อผ้าของเธอคงแพงมากสินะ?”
เมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังวุ่นวาย ฉันจึงได้แต่หลับตาลง
“ฮึ”
พวกเขาสังเกตเห็นการฉัน ทันใดนั้นทั้งสามก็ถอนหายใจออกมา
“นั่นมันเบิร์กไม่ใช่เหรอ?”
“นายกำลังคิดสอดแนมพวกเราอยู่ใช่ไหม?”
คนที่เหมือนผู้นำยิ้มและหัวเราะ เขี้ยวอันแหลมคมของเขาโดดเด่นในความมืด
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนสายตาไปทางหญิงสาวที่ตัวสั่นอยู่บนพื้น
“รู้จักเธอไหม?”
"ไม่"
"อย่างงั้นเองสินะ"
สายตาของหญิงสาวมองไปมาระหว่างฉันกับพวกนั้น
โดยสัญชาตญาณแล้ว ดูเหมือนว่าเธอรู้สึกว่าพวกนั้นอันตรายมากกว่า
เธอได้แต่หันมองมาที่ฉัน ราวกับต้องการความช่วยเหลือ
“โอ้… เธอสวยมากจริงๆ เราจะถอดเสื้อผ้าของเธอออกแล้วเอาไปขายดีหรือเปล่า? เราน่าจะได้เงินเยอะมากว่าไหม?”
“ไม่…!”
หญิงสาวบีบชุดของเธอแน่นแล้วหลับตาลง
พวกนั้นชอบปฏิกิริยาที่หวาดกลัวของเธอและพูดกับฉัน
“เฮ้ เบิร์ก”
"…อะไร?"
“ฉันจะไม่เอาถุงใส่เหรียญนั้นไปก็ได้ แต่นายต้องปล่อยมนุษย์ผู้หญิงคนนี้ให้พวกเรา”
"อะไรนะ?"
“เสแสร้งไปทำไมกัน? นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าเรากำลังตามหาถุงใส่เหรียญ”
“…”
ผู้ชายที่ดูเหมือนผู้นำหัวเราะและพูดกับสมาชิกของเขา
“เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณป้ามิเชลบอกว่าเธอจะให้เงินเราเป็นจำนวนมากถ้าเราพาผู้หญิงดีๆ ไปให้เธอ”
“คุณป้าคนนั้นเหรอ?”
"ใช่ เราจะพาเธอไปขาย”
“เธอดูเหมือนเป็นเด็กผู้หญิงที่มีฐานะดี มันจะไม่มีปัญหาตามมาแน่เหรอ?”
“ถ้าเอาเธอไปขายที่นั่น ต่อให้เป็นขุนนางก็ยังหาเธอไม่เจอหรอก”
“เอ่อ…คือ…”
ฉันไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เข้าใจคำว่า 'ขาย' หรือเปล่าเพราะเธอดูไร้เดียงสาเกินไปมาก
แต่ไม่ว่าเธอจะเข้าใจคำว่า 'ขาย' หรือไม่ แต่น้ำตาได้เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอแล้ว
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนั้น ฉันก็ไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกต่อไป
ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนดีหรืออะไรเลย
ฉันแค่ไม่อยากเป็นคนประเภทเดียวกับพวกนั้น
“เป็นอะไรไปเบิร์ก? นายคงไม่ได้จะ…”
-ตุ๊บ!
ฉันเตะหนึ่งในสามสมาชิกจนล้มลง
"โอ๊ย!"
และในขณะที่ฉันทำอย่างนั้น ฉันก็คิดกับตัวเอง
'...จบนี้ฉันคงสภาพไม่สวยแหง'
ฉันได้แต่หวังว่าพวกเขาจะถอยออกไป หรือบางทีแม็กซ์ไม่ก็ฟลินท์ช่วยปรากฏตัวขึ้นทีเถอะ
คนที่เหมือนผู้นำจ้องมาที่ฉันด้วยใบหน้าแดงก่ำ
"…เฮ้. ฉันบอกว่าจะไม่เอาถุงใส่เหรียญไปแล้วไง”
“ยังไงซะ พวกนายก็เอาไปไม่ได้หรอก”
ฉันพูดข่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน สมาชิกคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาฉัน
ฉันต้องต่อสู้และปะทะกับพวกนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำเช่นนี้เลยก็ตาม
“ถุ้ย”
น้ำลายผสมกับเลือดกระเซ็นออกจากปากของฉัน
หลังจากที่พวกนั้นทุบตีฉันอย่างเยือกเย็นแล้ว พวกเขาก็หันหลังกลับและจากไป
ฉันถูกข่วน และถูกกัดไปทั้งตัว
ถึงกระนั้น ฉันก็ขัดขืนจนถึงที่สุด พวกเขาจึงล้มเลิกที่จะเอาตัวผู้หญิงคนนี้กลับไป
จะบอกว่าฉันโชคดีเหรอ? อืม แต่อย่างน้อยสิ่งที่ฉันทำไปก็บรรลุสิ่งที่ฉันต้องการไปแล้ว
“เฮ้ ลุกขึ้นสิ”
ฉันพูดกับหญิงสาวที่กำลังนั่งซุกหัวอยู่
เธอยังคงสะอื้นและน้ำตายังคงไหลอาบหน้าสวยๆ ของเธอ
ฉันเกาหัวขณะมองเธอ จากนั้นจึงนั่งลงในท่าเดิมแล้ววางมือบนไหล่ของเธอ
"ลุกขึ้น ฉันจะช่วยเธอตามหาพ่อแม่เอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น
ถึงตอนนี้ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเธอก็ยังดูน่ารักอยู่
เมื่อเห็นใบหน้าที่บอบช้ำของฉัน เธอก็น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม...และพูดว่า 'ฉันขอโทษ' และ 'ขอบคุณ' ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความกลัวที่เธอมีต่อฉันเมื่อไม่นานนี้หายไปไหนแล้ว และทำไมตอนนี้เธอถึงมีท่าทีเช่นนี้กัน?
ฉันไม่ได้เกลียดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลยที่มันจะคงอยู่เช่นนี้ตลอด
ฉันคว้าแขนเธอแล้วยืนขึ้น
“หยุดร้องไห้แล้วลุกขึ้น เราต้องกลับไป”
แต่หญิงสาวก็ส่ายหัวอย่างอ่อนแรง
“ขาของฉัน…ฉันไม่มีแรง…”
“อย่าลีลาได้ไหม…เธอคิดแต่จะอ้างทุกอย่างเลยหรือไง?”
แม้ว่าฉันจะพูดคำเหล่านั้นออกไป แต่ความปรารถนาที่จะช่วยเธอกลับเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ฉันหันหลังให้เธอแล้วพูดว่า
“กระโดดขึ้นมาเลย”
“ฮึก… ฮึก…”
"รีบขึ้นมาก่อนที่คนพวกนั้นจะกลับมาอีกครั้ง”
เมื่อพูดเช่นนั้น เด็กสาวก็สูดลมหายใจและค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังของฉัน
เธอโอบแขนเล็กๆ ของเธอไว้รอบคอของฉันแน่น กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ในทุ่งหญ้าโชยมาจากเธอ
ยิ่งฉันสังเกตเห็นก็ยิ่งรู้สึกละอายใจกับกลิ่นเหม็นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของฉัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกประหม่าถึงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เธอดูจะไม่สนใจกลิ่นเหม็นๆ ของฉัน เธออยู่บนหลังของฉันและซบหน้าไว้ที่ไหล่ของฉัน
ในอ้อมกอดแน่นๆ ของเธอ ฉันคล้ายรู้สึกได้ถึงพลังงานที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย
ฉันเริ่มเดินไปตามถนนสลัมที่คุ้นเคย
หลังจากเดินแบบนั้นได้สักพัก เธอก็สงบสติอารมณ์ เลิกร้องไห้แล้วถามฉัน
“…ไม่เจ็บเหรอ?”
"เจ็บ"
"ฮือ…"
เมื่อฉันบอกว่าฉันเจ็บ เธอก็เริ่มน้ำตาไหลอีกครั้ง
ความไร้เดียงสาของเธอทำให้ฉันรู้สึกคันจมูกมาก
ไม่ใช่ว่าฉันต้องการเยาะเย้ย แต่มันเพียงแค่ฉันรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้พบกับคนที่บริสุทธิ์ขนาดนี้
“ทำไม…หัวเราะทำไม?”
ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
ฉันถามเธอแทน
“เธอมาอยู่ที่นี่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง?”
"ฮะ?"
“เธอไม่ได้สังเกตขณะเดินเข้ามาเลยเหรอ? เส้นทางมันเริ่มสกปรกมากขึ้นเรื่อยๆ เธอควรกลับไปตั้งแต่ทางเข้าได้แล้วนะ”
คนขี้เมานอนเกลื่อนไปทั่ว ซากสัตว์ แมลงวันและแมลงต่างๆ...มีหลายสิ่งที่เพียงเห็นก็สามารถบอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสักนิดเดียว
แต่เด็กสาวไม่ตอบ
“……”
“ช่างมันเถอะ เธอคิดยังไงถึงได้เข้ามากันเนี่ย?”
บางทีเวลากลัว เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดูเหมือนว่าเธอก็ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นเช่นกัน
ฉันเดินไปสักพัก
'โฮ้กกก...'
เสียงคำรามของหมาป่าได้ดังก้องกังวานจากที่ไหนสักแห่ง
มันเป็นเสียงที่น่าขนลุกมากเมื่อได้ยินในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ
ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นแปลกๆ ก็ไหลผ่านหลังของฉัน
มันชื้นๆ…
"เฮ้! นี่เธอฉี่หรือเปล่าเนี่ย?”
ฉันถามด้วยความประหลาดใจ เด็กสาวที่กำลังมองตรอกอย่างเงียบๆ ก็ผงะและซบหน้าลงบนไหล่ของฉันอีกครั้ง
“อา… มะ ไม่นะ…?”
เสียงของเธอสั่นเมื่อเธอตอบ ฉันสัมผัสได้เลยว่าเธอโกหกไม่เก่ง
ฉันวางเธอลง
แต่หญิงสาวกลับเกาะฉันไว้แน่น
“ม-ไม่… ฉันไม่ได้…อย่า…อย่าทิ้งฉันไปนะ…”
แล้วเธอก็เริ่มมีน้ำตาไหลอีกครั้ง
เธอเกาะฉันไว้อย่างหมดหวัง
ฉันเกลียดผู้หญิงที่ร้องไห้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันจึงอยากช่วยเธอ…เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงแค่หัวเราะออกมา
ฉันไม่รู้สึกแปลกกับความรู้สึกที่ฉันเกลียดนี้เลย
ฉันถอนหายใจและอุ้มเธอไว้บนหลังของฉันอีกครั้ง
ความรู้สึกชื้นเริ่มคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เราเดินต่อไป เด็กผู้หญิงก็ค่อยๆ แสดงความอยากรู้อยากเห็นมาทางฉัน
เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและขยับจมูกไปข้างใบหน้าของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับกำลังสังเกตที่ใบหน้าของฉัน
เมื่อเราเกือบจะออกจากสลัมได้เเล้ว เธอก็เริ่มถาม
“ช…ชื่ออะไรเหรอคะ?”
"อะไร? ไม่ต้องพูดกับฉันเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้”
“ตะ แต่…? ฉัน…ฉัน…”
“ถ้าท่านหญิงไม่ชอบ งั้นกระผมจะพูดทางการด้วยก็ได้”
“ม-ไม่! ไม่…ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
ฉันจึงหยุดและหันหน้าไปทางเธอ
หญิงสาวสะอื้นเดินเข้ามาใกล้ๆ และสบตากับฉัน
ดวงตาที่เปียกชื้นเป็นประกายมากขึ้นกว่าเดิม
…เด็กคนนี้น่ารักมากจริงๆ
“เธอเป็นพวกชนชั้นสูงเหรอ?”
ฉันถามเธอก่อน
แต่เธอก็ส่ายหัวด้วยความประหลาดใจ
"ชนชั้นสูง? ไม่ใช่"
เธอดูเขินอาย แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้โกหก
ฉันเดินต่อไป
ฉันคิดว่าการสนทนาของเราจะจบลงเพียงแค่นั้น แต่หญิงสาวยังคงถามต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น… ขอ…ฉันขอทราบชื่อของคุณได้ไหมคะ?”
“ใช้คำพูดสบายๆ ก็ได้ มันไม่รู้สึกดีเลยนะที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้”
“…แล้วนายชื่ออะไรเหรอ?”
“…”
เธอมีความมุ่งมั่นที่อยากจะถามฉันจริงๆ
ถามฉันพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา…
“ไม่ใช่ว่าเธอได้ยินมันไปก่อนหน้านี้แล้วเหรอ?”
ฉันตอบไปตรงๆ
"เมื่อไหร่เหรอ?"
“ตอนที่ฉันกำลังคุยกับสามคนนั้น”
เธอก็ได้แต่ตอบกลับมา
“ตอนนั้น…ฉันกลัวเลยได้ยินไม่ค่อยชัด”
ฉันรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดชื่อของฉันออกมา
ในเมื่อนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอเธอ ฉันจึงลังเลว่าจะตอบดีไหม?
ฉันไม่อยากจะเอาตัวเองมายุ่งกับเรื่องแบบนี้อีกต่อไปอีกแล้ว
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปสักหน่อย
“ช่างมันเถอะ แม้ว่าฉันจะบอกเธอไป เราก็จะไม่ได้พบกันอีกสักหน่อย”
"….ฮะ?"
"ทำไมเธอถึงทำเหมือนแปลกใจ? คิดที่จะกลับมาที่สลัมอีกเหรอ?”
“…..”
ฉันรู้สึกถึงแรงที่มาจากแขนของเธอ
เธอเป็นคนที่อ่านอารมณ์ได้ง่ายจริงๆ
“แต่ยังไง…ก็บอกฉันไม่ได้เหรอ?”
เธอยังคงยืนหยัดอย่างเช่นเคย
สุดท้ายฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอก
มันไม่ได้เป็นความลับอยู่แล้ว
“…เบิร์ก”
ฉันอุ้มหญิงสาวไปทั่วเมือง
จนกระทั่งเราไปถึงถนนที่คุ้นเคยในสายตาของเธอ
"…อา!"
และหลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวที่อยู่บนหลังของฉันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นทางที่อยู่ตรงหน้าเธอ
ฉันวางเธอลงพื้น
เธอเองก็ไม่ได้อ้อนวอนไม่ให้ฉันทิ้งเธอเหมือนเมื่อก่อน
“ตอนนี้หาทางกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม?”
“…”
เด็กสาวไม่ตอบด้วยเหตุผลบางอย่าง
เนื่องจากเธอไม่ได้ให้คำตอบ จึงไม่ชัดเจนว่าฉันควรออกไปหรือยัง
“รีบบอกฉันเถอะ ฉันจะต้องกลับไปตอนนี้แล้ว”
“อา… ก็…”
มือของเธออยู่ไม่สุข เธอดูลังเลและก็กระซิบบอกฉันเบาๆ
“นาย…นายได้รับบาดเจ็บ แล้วทำไมไม่มาที่บ้านฉันและทำแผลล่ะ?”
“บ้านของเธออยู่ที่ไหน?”
“ไม่ไกลจากที่นี่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉันก็หันร่างกายของฉันและเดินออกไป
ถ้าเธอหาทางกลับบ้านได้ งานของฉันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…นั่นจะไปไหนน่ะ…!”
เด็กสาวกลับไม่ปล่อยฉันไป
เธอหันกลับมาจับข้อมือฉันแล้วพูดว่า
“เอ่อ… คือว่า… ฉันมีตุ๊กตาที่บ้าน เรามาเล่นกันไหม?”
“…อะไรของเธอเนี่ย?”
เมื่อฉันกำลังพยายามจะบอกว่าสิ่งที่เธอพูดมันไร้สาระแค่ไหน เธอกลับเริ่มแคะเล็บอย่างประหม่าแล้วพูด
“แต่… ฉันยังไม่อยากบอกลา…”
หญิงสาวน้ำตาไหลอย่างรวดเร็ว เธอเหมือนกับอยากพยายามแสดงความรู้สึกของเธอออกมาทั้งหมด
“เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ…? เราก็เป็นพวกเดียวกัน…”
“เพียงเพราะเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนสามารถเป็นเพื่อนกันได้สักหน่อย”
“…”
เธอคงจะเติบโตมาอย่างดีเลยใช่ไหม?
บุคลิกที่สดใสของเธอทำให้เธอเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?
ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เธอขอฉันเป็นเพื่อนเช่นนี้
สำหรับฉันที่อาศัยอยู่ในสลัม เพื่อนคือคนที่ให้ความไว้วางใจได้เท่านั้น
แต่หากฉันเชื่อใจใคร ฉันคงจบเห่
ทว่าบางทีมาตรฐานของเด็กสาวคนนี้อาจจะแตกต่างจากฉัน
เธอต่างจากตัวฉัน เธอกลับพูดออกมาได้อย่างสบายใจ
บางทีนี่อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ
“…”
เธออยู่ไม่สุขและหน้ามุ่ยเหมือนเด็กขี้แย
แต่การเลิกนิสัยเก่าๆ นั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ
ฉันได้แต่คิดหาวิธีใช้กับเธอ คำนวณมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
ฉันมองเธอแบบนั้นเป็นเวลานาน
เด็กสาวหันกลับมาด้วยสีหน้าราวกับว่าเธอกำลังจะหลั่งน้ำตา และยอมแพ้ต่อฉันที่เงียบงัน
เธอพูดโดยไม่หันหน้ามามองฉันด้วยซ้ำ
“…ถ้าอย่างนั้น ขอบคุณนะคะ ลาก่อน”
"เธอชื่ออะไร?"
ฉันถามเธอโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ
เมื่อถามคำถามนั้น เด็กสาวก็รีบหันสายตาที่เหมือนกระต่ายมาทางฉันแล้วตอบ
“ชีอ… ฉันชื่อชีอัน”
"หา?"
“ชีอัน...!”
ฉันเกาหัวและเสนออะไรให้เธอ
“ถ้าอย่างนั้น อีกสามวันเรามาเจอกันที่นี่และหาอะไรกิน…จะได้ไม่คลาดกัน”
หากเธอไม่ชอบสิ่งที่ฉันเสนอไป เราก็แค่แยกทางกัน
อย่างไรก็ตาม ท่าทางของชีอันกลับสดใสกว่าที่เคย และเธอก็เผยรอยยิ้มกว้างในขณะที่เธอพูดออกมา
"ได้สิ!"
นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของเรา