ตอนที่ 23 ภรรยาของอาจารย์มาเคาะประตูบ้านข้าตอนดึก
ด้านนอกจวนลับหยวน นักพรตไต้ หัวได้นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา.
เขามองไปที่ซูชางหยูแล้วถามว่า “ชางหยู น้องรองกับน้องสามของเจ้าจะเข้ารับการทดสอบการปรุงยาและการสอบวิชาค่ายกลในช่วงปลายปีใช่หรือไม่?”
จู่ๆ ซู ชางหยู ก็นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้.
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นขอรับ. น้องสี่เองก็จะเข้ารับการสอบวิชายันต์ด้วยขอรับ”
ซู ชางหยู ได้ตอบกลับ.
"ใช่แล้ว. เราต้องซื้อคัมภีร์ลับให้พวกเขาด้วย.”
ตอนนักพรตไต้ หัวกล่าว เขาก็คิดถึงลูกศิษย์คนอื่นๆ เช่นกัน.
“งั้นเราเข้าไปใหม่กันเถอะขอรับ.”
ซูชางหยูไม่ได้สะทกสะท้านเลย.
"ไปไหน?"
นักพรตไต้ หัวรู้สึกสับสนเล็กน้อย.
“จวนลับหยวนไงขอรับ.”
ซูชางหยูก็สับสนเล็กน้อยเช่นกัน ในเมื่อท่านต้องการซื้อคัมภีร์ลับ แน่นอนว่าต้องไปที่จวนลับหยวนสิ.
“เราจะไปที่นั่นอีกทำไม? ถึงเราจะมีเงินมากมาย เราก็จะใช้มันแบบนั้นไม่ได้”
นักพรตไต้ หัวส่ายหัวแล้วพา ซู ชางหยูออกไปข้างนอก.
หลังจากเวลาธูปหนึ่งก้านมอดผ่านไป พวกเขาก็มาถึงตลาดผู้ฝึกตนในเมืองไป๋กั๋ว.
นอกจากร้านค้าหลายแห่งแล้ว ยังมีแผงขายของมากมายเรียงรายอยู่ด้านนอก มีสิ่งแปลกตาและแปลกประหลาดมากมายล้นหลาม. มันเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสายตาจริงๆ.
นักพรตไต้ หัวยืนอยู่หน้าแผงแล้วมองไปที่คัมภีร์ลับต่างๆ ที่ขายอยู่ที่นั่น.
“ของพวกนี้ราคาเท่าไหร่รึ?”
นักพรตไต้ หัวชี้ไปที่คัมภีร์ลับที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นซึ่งทั้งหมดดูเก่าและขาดรุ่งริ่ง พวกเขาขายในราคาที่ถูกมาก.
“ข้าขายเป็นชุดน่ะ. ท่านเซียนผู้สูงส่ง พวกมันมีราคาทองคำ 10 ตำลึงต่อ 10 จิน.”
เจ้าของแผงขายของเป็นชายวัยกลางคนที่ยิ้มอย่างสุภาพทันทีเมื่อเห็นลูกค้า.
“ทองคำ 10 ตำลึงต่อ 10 จินเหรอ? ปล้นกันรึไง?”
เมื่อได้ยินราคา ใบหน้าของนักพรตไต้ หัวก็บูดบึ้งทันที. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาซื้อคัมภีร์ลับเช่นนี้.
เนื้อหาของคัมภีร์ลับที่ขายในร้านนั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นงานคัดลอกของต้นฉบับ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกมันไม่ใช่คัมภีร์ลับ แต่เป็นแค่คัมภีร์ทั่วไป.
ถ้าจะให้ว่าแบบไม่ไว้หน้าก็คือ คัมภีร์พวกนี้ถูกเขียนขึ้นโดยบัณฑิตที่ไม่ใช่ต้นฉบับ.
แม้ว่าประสิทธิภาพจะไม่ดีนัก แต่พวกมันก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง.
เพราะถึงยังไง บันทึกที่เขียนด้วยลายมือของยอดฝีมือนั้นมีค่ามาก.
ไม่งั้นจะมาขายที่นี่ได้ยังไงล่ะ?
“นายท่านเซียน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคัมภีร์โบราณที่เหมาะจะช่วยให้คนๆ หนึ่งได้รับการรู้แจ้งได้อย่างง่ายดาย. ดูเล่มนี้สิ มันช่วยสอนวิชากายมังกรแท้ด้วยนะขอรับ. อันนี้เกี่ยวกับการเปิดใช้จุดฝังเข็มจิตวิญญาณ 3,600 จุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติชั้นดีทั้งนั้น.”
เจ้าของแผงหาบเร่รีบพูดและยื้อนักพรตไต้ หัวไว้ เพื่อหยุดไม่ให้เขาจากไป.
เขากัดฟันพูดต่อ “เอางี้เป็นไงขอรับ? ข้าจะคิดให้ถูกๆ เอาเป็น10ตำลึงต่อ 1 กงจินดีมั้ยขอรับ.”
เจ้าของร้านเสนอ.
“ทองคำ 10 ตำลึงต่อห้ากงจิน. เอาหรือไม่เอา. วิชากายมังกรแท้เหรอ? เจ้าคิดว่ากำลังหลอกใครอยู่?”
นักพรตไต้ หัวไม่สนใจเจ้าของแผงขายของเลย เขารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีไว้เพื่อหลอกผู้อื่น. แม้ว่าภายนอกมันจะดูน่าประทับใจ แต่มันก็ไม่สามารถนำไปใช้จริงได้เลย.
หากใครสามารถรู้แจ้งได้หลังจากอ่านคัมภีร์ลับเหล่านั้น นักพรตไต้ หัวคงไล่กินทีละเล่มไปแล้ว.
“ห้ากงจิน? นายท่านเซียนโปรดอย่าเอาเปรียบข้าเลย. ข้าให้ได้แค่ 2 กงจินครึ่งเท่านั้น.”
เจ้าของร้านดูไม่พอใจมาก.
“ชางหยู ไปกันเถอะ”
นักพรตไต้ หัวเพิกเฉยต่อเจ้าของแผงลอยและเดินจากไป.
“ก็ได้ ตกลงตกลง ข้าจะถือเป็นส่วนลดจากมิตรภาพของเรา. ท่านเซียน ท่านต้องการให้ข้าเลือกคัมภีร์ลับให้หรือท่านจะเลือกเองล่ะ?”
เจ้าของร้านไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป
“ข้าต้องการทุกอย่าง”
นักพรตไต้ หัวกล่าวว่าเขาต้องการทุกสิ่ง.
เขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อคัมภีร์ลับทั้งหมดให้กับเหล่าลูกศิษย์จริงๆ หรอก เขาแค่ต้องการใช้มันเพื่อการตกแต่งเป็นหลัก.
มีห้องสมุดอยู่ในสำนักชิงหยุนเต๋า แต่ไม่มีคัมภีร์ลับใดๆ ในนั้นเลย ดังนั้นนักพรตไต้ หัวจึงตั้งใจจะตกแต่งมันด้วยคัมภีร์ลับซักร้อยเล่ม.
มิฉะนั้นคงไม่มีเหตุผลที่จะต้องซื้อพวกมัน.
"ได้เลยขอรับ! ท่านเซียนโปรดรอสักครู่”
เจ้าของแผงเริ่มจัดหนังสือให้ทันทีอย่างไม่รีรอ. เขามีหนังสือสี่ถึงห้าร้อยเล่มซึ่งครอบคลุมวิชาต่างๆ เช่น การปรุงยา ค่ายกล เครื่องรางของขลัง และหนังสือเบ็ดเตล็ดอื่นๆ.
ตัวอย่างได้แก่ 'การฝึกที่สมบูรณ์แบบของนิมิตสูงสุด', 'คัมภีร์สิบมังกรสิบคชสาร.', 'คัมภีร์สอนศิษย์เต๋าเซียน' และ 'ภรรยาของอาจารย์มาเคาะประตูบ้านข้าตอนดึก'
กล่าวโดยสรุป หนังสือแปลกๆ ทุกประเภทมีวางจำหน่ายอยู่ที่ร้าน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นมาซึ่งขยายไปจากเดิม. แม้จะดูสมเหตุสมผลมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเอาไปใช้จริงไม่ได้เลย. มีไว้เพื่อหลอกผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการฝึกฝนเป็นเซียนเท่านั้น.
คนส่วนใหญ่ซื้อคัมภีร์ลับดังกล่าวเพื่อเพิ่มมันเข้าไปในของสะสมที่มีอยู่ในห้องสมุดของสำนัก. สำนักใหญ่ๆอาจมีคัมภีร์ลับของจริงหลายร้อยเล่ม แต่สำนักเล็กๆจะไปหาพวกนั้นได้ยังไง? ดังนั้นพวกสำนักเล็กๆ จึงต้องเติมสิ่งของเหล่านี้ในห้องสมุดแทน.
คัมภีร์ลับหลายร้อยเล่มถูกบรรจุลงในกล่องที่มีน้ำหนักประมาณ 50 กงจิน ซึ่งคิดเป็นทองคำ 100 ตำลึง.
นักพรตไต้ หัวได้ไปร้านค้าหลายแห่งและซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับการปรุงยา ค่ายกล การหลอมกลั่น และยันต์.
นอกจากนี้เขายังไปสั่งตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนมากด้วย. เขาตั้งใจจะมอบให้กับศิษย์ในสำนักและซื้อข้าววิญญาณขั้นสูงกับเนื้อวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกนำไปส่งยังสำนักตามคำสั่งของเขา .
ทว่า เขาไม่ได้ซื้ออะไรให้กับตัวเองเลย เพราะเขาใช้ทุกอย่างไปกับสิ่งของสำหรับลูกศิษย์ของเขาหมดแล้ว.
เขามีทองคำเหลือเพียงประมาณ 200 จาก 6,600 ตำลึง
นักพรตไต้ หัวรู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก.
ทว่ามันก็ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขาต้องการพัฒนาสำนัก เขาจึงต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อพัฒนามัน. คนที่วาดภาพนั้นคือเย่ปิงซึ่งมีพรสวรรค์อย่างมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับเย่ปิงและอนุญาตให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากมัน.
หลังจากที่ทุกอย่างได้รับการสะสางแล้ว นักพรตไต้ หัวก็ไม่ได้อยู่ที่เมือง ไป๋กั๋ว ต่อไป เขานำซู ชางหยูกลับไปที่สำนักชิงหยุนเต๋า.
คัมภีร์ลับ ข้าววิญญาณขั้นสูง และเสื้อผ้าสั่งทำทั้งหมดถูกส่งไปยังสำนักโดยผู้จัดส่งมืออาชีพ.
ระหว่างทางกลับไปยังสำนัก นักพรตไต้ หัวมอบคัมภีร์กระบี่ ชวนเหอ ให้แก่ ซู ชางหยู.
“ชางหยู เจ้าอ่านคัมภีร์นี้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น. ทำความเข้าใจให้ดีและจงรู้แจ้งเสีย. หลังจากที่เจ้ารู้แจ้งแล้ว ให้ส่งต่อไปให้เย่ปิงเสีย.”
คำพูดของนักพรต ทำให้ ซู ชางหยูตกใจเล็กน้อย.
“ท่านให้ข้าหรือขอรับ?”
ซู ชางหยู รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจริงๆ.
เขารู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะใด. เขาสงสัยว่า 'นี่มันของเย่ปิงไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านถึงให้ข้าล่ะ?'
ซูชางหยูสงสัยมากๆ.
เมื่อสัมผัสได้ถึงความสงสัยของซูชางหยู นัก นักพรตไต้ หัวก็อดไม่ได้ที่จะอธิบายให้เขาฟังทันที.
“เจ้าโง่เอ้ย. ถ้าเรามอบคัมภีร์ลับให้กับน้องเล็กของเจ้าโดยตรง แล้วเราจะเหลืออะไรล่ะ? การถ่ายทอดวิชากระบี่จะต้องถ่ายทอดผ่านตัวต่อตัวให้มากที่สุด. คัมภีร์ลับนี้เต็มไปด้วยวิชากระบี่ลับ เจ้าเพียงแค่ต้องอ่านเพียงครั้งเดียวเพื่อทำความเข้าใจส่วนหนึ่งของวิชากระบี่ จากนั้นเจ้าก็สามารถไปสอนมันให้กับน้องเล็กของเจ้าได้ไงล่ะ.”
“ด้วยพรสวรรค์ของเขา เขาจะโดดเด่นกว่าเจ้าอย่างแน่นอน แต่เขาจะคิดว่าเจ้าคือคนที่ถ่ายทอดมันให้เขา ใครๆ ก็สามารถมอบคัมภีร์ลับให้เขาได้โดยตรง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสอนมันให้เขาได้”
นักพรตไต้ หัวรอบคอบอย่างมากและตัดสินใจที่จะไม่ให้คัมภีร์ลับแก่ เย่ ปิงโดยตรง. เขาต้องการให้ซูชางหยูเรียนรู้มันให้ดีก่อนที่จะส่งต่อให้เย่ปิง.
ซูชางหยูก็รู้แจ้งทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา.
“เจ้าสำนัก ท่านฉลาดมากขอรับ.”
ซูชางหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม.
“ไม่เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าไปที่จวนลับหยวนเพื่อซื้อคัมภีร์ลับล่ะ? ถ้าข้าไม่กลัวว่าเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจวิชากระบี่ได้แม้จะผ่านไปหนึ่งปี ข้าจะไปซื้อคัมภีร์ลับทำไม? ข้าคงจะซื้อฉบับง่ายๆดีกว่า.”
นักพรตไต้ หัวกล่าวด้วยความไม่พอใจ.
เขาจงใจไปที่จวนลับหยวนเพื่อซื้อคัมภีร์กระบี่ เหตุผลหลักเป็นเพราะหนังสือที่ขายในจวนลับหยวนนั้นเต็มไปด้วยเต๋า และจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจวิชากระบี่พื้นฐานได้อย่างรวดเร็วหลังจากอ่านจบแล้ว.
ไม่งั้นแล้วหากซู ชางหยูคลำทางหาวิธีด้วยตัวเองอย่างช้าๆ คงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะรู้แจ้งแน่ๆ
“แต่ข้าต้องใช้เวลาสักพักเพื่อที่จะรู้แจ้ง ระหว่างนี้ให้ข้าทำอะไรล่ะขอรับ?”
ซูชางหยูกล่าวต่อไป
“ข้าซื้อคัมภีร์ลับมามากมาย ให้เขาอ่านก่อนที่จะสอนวิชากระบี่ต่อไปให้เขา”
นักพรตไต้ หัวชี้ไปที่กล่องด้านหลังเขาขณะที่เขาพูดอย่างนั้น.
"หนังสือพวกนี้หรือขอรับ?"
สีหน้าของซูชางหยูดูแปลกไปเล็กน้อย เขารู้ว่าหนังสือเหล่านั้นเป็นหนังสือมั่วๆที่มีลักษณะเหมือนเรื่องแต่งมากกว่าคัมภีร์ลับ
ทว่าหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ซูชางหยูก็พยักหน้า.
แล้วนักพรตไต้ หัวพูดอีกครั้ง
“ชางหยู มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าทำ”
นักพรตไต้ หัวลดเสียงของเขาลง.
"อะไรหรือขอรับ?"
ดวงตาของซู ชางหยูเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น.
“ไปเอาภาพวาดมาให้ได้.”