ตอนที่ 22 จวนลับหยวน
ในโรงรับจำนำทองคำจริงใจ เมืองไป๋กั๋ว.
ฉี เหลียงจินเก็บภาพวาดอย่างระมัดระวัง.
เขารู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวายใจ.
ภาพวาดของเจ้าบ้านชิงเหลียนมีมูลค่ามากกว่าทองคำ 6,666 ตำลึงอย่างแน่นอน และเขามั่นใจว่าเขาจะสามารถขายได้ในราคาอย่างน้อย 10,000 ตำลึงทอง.
ไม่มีปัญหาแน่หากจะขึ้นราคาเป็นสองเท่า.
เหล่าผู้ติดตามผลงานของเจ้าบ้านชิงเหลียนอาจเสนอราคาที่สูงกว่าด้วยซ้ำ ไม่ว่าในกรณีใด เขาจะไม่ขาดทุนแน่นอน.
ทางด้านนักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูทั้งสองเดินออกจากร้านด้วยความมึนงงพร้อมกับตั๋วเงินในมือ.
เป็นทองคำจำนวน 6,666 ตำลึง.
มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับสำนักชิงหยุนเต๋า.
สำนักชิงหยุนเต๋าต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจึงจะหาเงินได้มากขนาดนั้น.
โชคลาภอย่างกะทันหันทำให้ นักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ.
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรต่อไป
“เจ้าสำนัก เราจะทำอย่างไรต่อไป?”
ซู ชางหยู ตกตะลึงเล็กน้อย.
“เราต้องไปจ่ายหนี้ก่อนที่จะไปจวนลับหยวน”
นักพรตไต้ หัวกลับมามีสติสัมปชัญญะและจัดการความคิดของเขาทันที.
“จวนลับหยวน?”
ซู ชางหยู รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย.
จวนลับหยวนเป็นร้านค้าที่มีชื่อเสียงในเมืองไป๋กั๋ว ซึ่งเชี่ยวชาญในการขายคัมภีร์ลับและเครื่องรางพุทธ. โดยปกติแล้ว แม้แต่สำนักขั้นสามก็ไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากจวนลับหยวน.
“น้องเล็กของเจ้าได้มอบเงินจำนวนนี้ให้สำนักชิงหยุนเต๋าของเรา ข้าวางแผนที่จะซื้อคัมภีร์ลับและอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกายให้เขา. เนื่องจากเขาเป็นอัจฉริยะ เราจะต้องเลี้ยงดูและดูแลเขาอย่างเต็มที่. ในตอนนี้เขาคือความหวังของสำนักชิงหยุนเต๋าเรา”
“เราอาจต้องพึ่งพาเขาเพื่อได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปจนถึงสำนักขั้น 1 ในอนาคต.”
คำพูดของ นักพรตไต้ หัวทำให้ ซู ชางหยูตกตะลึงในขณะที่เขาประหลาดใจกับสติปัญญาและไหวพริบของอาจารย์.
ในไม่ช้า นักพรตไต้ หัวก็ได้เดินทางไปยังหน่วยจัดการสำนักและจ่ายเงินจำนวน 100 ตำลึงด้วยความเจ็บใจ จากนั้นเขาก็พาซูชางหยูไปที่จวนลับหยวน.
หลังจากเวลาผ่านไปจนธูปมอด นักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูก็มาถึงด้านนอกของจวนลับหยวน
จวนลับหยวนมีการตกแต่งที่หรูหราและโอ่อ่า. มีสิงโตหยกแกะสลักสองตัวนั่งอยู่ด้านนอกทางเข้า ทำให้ร้านดูมั่งคั่งและโอ่อ่าตลอดเวลา.
“นายท่านเซียน โปรดเข้ามาก่อนเถิด”
ภายในจวนลับหยวน เด็กสาวสวยในชุดสีเขียวได้กล่าวทักทายออกมากับนักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูอย่างอบอุ่น. บุคลิกของนางดีมากเพราะไม่ได้แสดงอาการเย่อหยิ่งเลย.
นักพรตไต้ หัวเข้าไปและตามมาด้วย ซู ชางหยู.
“ท่านเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาที่จวนลับหยวน ใช่หรือไม่คะ”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ขณะที่นางรินน้ำชาให้พวกเขาติดๆ.
“ใช่แล้ว เราเพิ่งมาเป็นครั้งแรก”
นักพรตไต้ หัวมีประสบการณ์และเห็นมามากพอที่จะสงบสติอารมณ์ได้ในขณะนี้ แม้ว่าซูชางหยูจะตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ภายนอกเขาก็ยังคงดูสงบอยู่.
“ท่านเซียน ท่านต้องการซื้อเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์หรือคัมภีร์ลับกันคะ?”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวยังคงถามต่อไป.
“คัมภีร์ลับ”
นักพรตไต้ หัวกล่าว.
เขาไม่ต้องการเครื่องรางหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ในขณะนี้ ตอนนี้ คัมภีร์ลับคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด.
เพราะว่าพวกเขาจะเสียตัวนำโชคไปแน่ หากปล่อยให้ซู ชางหยูหลอกเย่ปิงต่อไป.
“ได้ค่ะ นายท่านเซียน กรุณาตามข้าขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยค่ะ.”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวพาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นสอง.
“ท่านต้องการคัมภีร์ลับประเภทไหนคะ ท่านเซียนผู้สูงส่ง?”
หญิงชุดเขียวถาม.
“คัมภีร์ลับเต๋ากระบี่ขั้นที่หนึ่ง.”
นักพรตไต้ หัวตอบไป.
ดวงตาที่สวยงามของหญิงสาวในชุดสีเขียวสว่างขึ้นเมื่อได้ยินว่าเขาต้องการคัมภีร์ลับขั้นที่หนึ่ง.
คัมภีร์วิชาลับมีการแบ่งออกโดยละเอียดเป็นหลายขั้น: ไม่มีขั้น, ขั้นสาม, ขั้นสอง, ขั้นหนึ่ง และขั้นเหนือฟ้า. คัมภีร์ที่อยู่เหนือขั้นเหนือฟ้าขึ้นไปอีกจะเป็นคัมภีร์ลับที่มีแต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตริเริ่ม เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้.
คัมภีร์ลับเต๋ากระบี่ขั้นหนึ่งนั้นจะมีค่าอย่างน้อยมากกว่า 100,000 ศิลาวิญญาณขั้นต่ำ. นับว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก.
“ไปเอาชาชั้นยอดมาให้นายท่านเซียนเดี๋ยวนี้”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวมองสาวใช้สองสามคนและสั่งให้พวกนางไปเปลี่ยนชา.
ทว่านักพรตไต้ หัวกล่าวต่อว่า “ข้าแค่ต้องการคัมภีร์ลับระดับพื้นฐานเท่านั้น.”
เขาสามารถซื้อคัมภีร์ลับขั้นที่หนึ่งฉบับเต็มได้อย่างแน่นอน ทว่า เขาเพียงแค่ต้องการฉบับพื้นฐานเท่านั้น. เนื่องจากเย่ปิงสามารถเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีจากรอยกระบี่ธรรมดาๆได้ จึงพิสูจน์ได้ว่าเย่ปิงมีความสามารถพิเศษ ดังนั้น ทำไมเขาถึงต้องการฉบับเต็มด้วยล่ะ?
“ไม่ต้องละ.”
หลังจากตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง เถ้าแก่เนี้ยในชุดเขียวก็ขยิบตาให้สาวใช้อีกครั้งและบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนชา.
สำหรับคัมภีร์ลับเต๋ากระบี่ระดับพื้นฐานแล้ว แม้จะเป็นระดับหนึ่งก็ไม่ได้มีค่าศิลาวิญญาณมากนัก. เจ้าคัมภีร์ฉบับพื้นฐานนั่นมีกระบวนท่ากระบี่น้อยกว่า 20 กระบวนท่าเอง.
ทว่าเนื่องจากพวกเขายังคงเป็นแขกอยู่ เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวจึงไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างแย่ๆ เพียงเพราะเหตุแค่นั้น.
ในไม่ช้า เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวก็พานักพรตไต้ หัวไปที่ห้องเก็บคัมภีร์ แล้วพวกเขาก็เริ่มเลือกคัมภีร์กระบี่.
คัมภีร์กระบี่ขั้นหนึ่งมีจำนวนน้อยกว่ามาก และมีเพียงสามชุดเท่านั้นในจวนลับหยวน.
“นายท่านเซียน คัมภีร์กระบี่ทั้งสามชุดนี้มีชื่อได้แก่ วิชากระบี่ตะวันทองสามธาตุ วิชากระบี่ชวนเหอ และวิชากระบี่เจ็ดดารา ทั้งสามมีราคา 500 ศิลาวิญญาณต่อเล่มค่ะ.”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวอธิบาย.
“ศิลาวิญญาณ 500 ก้อนเลยรึ?”
นักพรตไต้ หัวตกตะลึงเล็กน้อย.
“แม้แต่วิชาสี่กระบี่อัสนีระดับพื้นฐานก็ไม่ได้มีราคามากขนาดนั้นมิใช่หรือ?”
นักพรตไต้ หัวขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสละศิลาวิญญาณจำนวนมากออกมา. แต่เขาต้องการประหยัดเงินเพื่อซื้อสิ่งอื่น ๆ ให้กับเย่ปิง เนื่องจากคัมภีร์กระบี่เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน.
“นายท่านเซียน ท่านกล่าวผิดแล้วค่ะ. วิชาสี่กระบี่อัสนีนั้นเป็นที่แพร่หลายมากในชิงโจวและในขณะที่คัมภีร์ลับเหล่านี้ได้รับการปรับปรุงด้วยวิชาลับ ผู้อ่านก็สามารถเข้าใจวิชากระบี่ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ราคาศิลาวิญญาณ 500 ก้อนแต่ละเล่มจึงไม่แพงเลย.”
เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะเบา ๆ และอธิบาย.
นักพรตไต้ หัวเงียบลงทันที
เขาคิดว่าคัมภีร์กระบี่น่าจะราคาถูกมาก เพราะวิชาสี่กระบี่อัสนีไม่ได้มีราคามากนักตอนที่เขาซื้อมัน. เขาต้องประหลาดใจที่คัมภีร์แต่ละเล่มมีราคา 500 ศิลาวิญญาณขั้นต่ำ ซึ่งเทียบเท่ากับทองคำ 5,000 ตำลึง.
“แน่นอนว่า พวกเรากำลังลดราคาอยู่ค่ะ. ราคาจะลดไป50ศิลาวิญญาณเลย”
นางยิ้ม.
ทว่านักพรตไต้ หัวยังคงนิ่งเงียบ.
เขาลังเลอยู่นาน.
ในที่สุด เขาก็กัดกรามแล้วพูดกับเถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวว่า “หนังสือเล่มไหนดีที่สุด”
“ท่านเซียน คัมภีร์ที่ดีที่สุดจากทั้งสามเล่มนี้คือวิชากระบี่ชวนเหอซึ่งมีวิชากระบี่ที่น่าประทับใจอยู่ค่ะ. หากลูกศิษย์ของท่านมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม เขาอาจจะสามารถเข้าใจวิชากระบี่ขั้นที่สูงกว่าที่เรียกว่าวิชากระบี่ทะเลวิญญาณได้เลยล่ะค่ะ.”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวอธิบาย.
“เขาสามารถเรียนวิชากระบี่ทะเลวิญญาณขั้นสูงกว่านี้ได้หรือไม่?”
นักพรตไต้ หัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย.
“ได้ค่ะ. วิชากระบี่ชวนเหอนั้นเป็นคัมภีร์กระบี่ขั้นเหนือฟ้าตั้งแต่แรก ผู้ที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมคงจะสามารถเข้าใจวิชากระบี่ทะเลวิญญาณได้. นี่เป็นหนึ่งในสามวิชากระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสำนักกระบี่วิญญาณของแคว้นจินเลยล่ะค่ะ”
นางอธิบาย.
นักพรตไต้ หัวผงะไปทันที
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาอันนี้แหละ. ว่าแต่ เจ้ามียาปรับแต่งพลังปราณและยาบำรุงพลังปราณขายที่นี่หรือเปล่า?”
นักพรตไต้ หัวถาม.
"มีค่ะ. ยาปรับแต่งพลังปราณขั้นสูงแต่ละเม็ดมีราคาหนึ่งศิลาวิญญาณและยาบำรุงพลังปราณ4เม็ดมีราคาหนึ่งศิลาวิญญาณค่ะ. ศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถใช้ซื้อยาปรับแต่งพลังปราณ ขั้นกลางสองเม็ดหรือยาปรับแต่งพลังปราณขั้นต่ำห้าเม็ด ท่านเซียนผู้สูงส่ง ท่านรับแบบไหนดีคะ?”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวยังคงถามต่อไป.
“ยาปรับแต่งพลังปราณขั้นสูง 50 เม็ด และยาบำรุงพลังปราณ 200 เม็ด”
นักพรตไต้ หัวไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากตอนนี้เขามีเงิน เขาจึงไม่ต้องการให้เย่ปิงกินยาที่ด้อยกว่าใดๆ
ยิ่งคุณภาพของยาเม็ดดีขึ้น ความเป็นพิษก็จะยิ่งลดลง ผลของยาเกรดสูงจะช่วยให้เย่ปิงเข้าสู่เส้นทางการฝึกตนได้เร็วยิ่งขึ้น.
เย่ ปิงมีความสามารถมากใน เต๋ากระบี่แต่พรสวรรค์ในการฝึกตนของเขาไม่ดีนัก นักพรตไต้ หัวเข้าใจสิ่งนั้น.
เป็นเรื่องดีที่มีพรสวรรค์ใน เต๋ากระบี่แต่ระดับการฝึกตนของเขาก็ต้องเท่าเทียมกันด้วยเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ควรจะได้ฝึกตนไปสู่ขั้นสมบูรณ์แบบใช่ไหมล่ะ?
อย่างน้อยผู้ฝึกตนขั้นขัดเกลาพลังปราณก็สามารถต่อสู้กลับได้หากพวกเขาประสบความสำเร็จในการเรียนเต๋ากระบี่. ต่อให้เป็นยอดฝีมือหากยังอยู่แค่ขั้นสร้างรากฐาน พวกเขาก็คงไปไม่รอดแน่ๆ.
"ทราบแล้วค่ะ. โปรดรอสักครู่นะคะท่านเซียนผู้สูงส่ง”
เถ้าแก่เนี้ยในชุดสีเขียวไม่เสียเวลาไปกับการพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในเวลาไม่ถึงชั่วครู่ ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว.
ราคาทั้งหมด 550 ศิลาวิญญาณซึ่งเท่ากับทอง 5,500 ตำลึงในตั๋วเงิน.
ก่อนจะออกร้านไป นักพรตไต้ หัวกัดฟันและตัดสินใจซื้อกระบี่เหล็กเย็นสองเล่มซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นเพียงอาวุธธรรมดาที่เหนือกว่าเพียงเท่านั้น. พวกมันมีราคาอยู่ที่ 500 ตำลึงทอง แต่นักพรตไต้ หัวสามารถต่อรองและลดราคาลงเหลือ 466 ตำลึงได้.
ในขณะนี้ นักพรตไต้ หัวเหลือทองคำเพียง 600 ตำลึงเท่านั้น.
ทว่าหลังจากออกจากจวนลับหยวนแล้ว นักพรตไต้ หัวก็นึกบางอย่างได้.