ระบบจัดส่งข้ามกาลเวลา ตอนที่ 16 โลกมุ่งเป้ามายังสำนักตงเหยียน และการโผทะยานของชิงเอ๋อร์
ระบบจัดส่งข้ามกาลเวลา ตอนที่ 16 โลกมุ่งเป้ามายังสำนักตงเหยียน และการโผทะยานของชิงเอ๋อร์
เขาพบว่าพลังวิญญาณรอบตัวนางดูเหมือนจะรวมตัวกันเข้าหาตันเถียนของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
รู้สึกเหมือนร่างกายของนางสอดคล้องกับธรรมชาติ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันควรเป็นเช่นนี้
เขามิได้ใส่ใจมาก่อน เขารู้ว่าพรสวรรค์ในการบำเพ็ญของเสี่ยวชิงเอ๋อร์นั้นโดดเด่น แต่เขาคาดไม่ถึงว่า...
ตอนนี้นางได้มาถึงขอบเขตผสานชีพจรระดับสี่แล้ว!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในเวลาเพียงสองเดือน นางได้ทะลวงจากขอบเขตผสานชีพจรระดับสองไปยังขอบเขตผสานชีพจรระดับสี่!
ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
นี่คือเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เขามารับมาจากตีนเขาจริง ๆ หรือ
ถ้าอย่างนั้น โชคของเขาก็จะดีเกินไปมิใช่หรือ? เขาถึงกับสุ่มหยิบอัจฉริยะไร้เปรียบได้?
.......
หลังจากที่หลี่มู่คิดอยู่พักหนึ่ง เขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไป
เขาส่งเนื้อความครึ่งแรกของ "วิชาตะวันสวรรค์เร้นลับ" เข้าไปในจิตใจของเสี่ยวชิงเอ๋อร์แล้วเอ่ยว่า: "เจ้าจงบำเพ็ญตามวิชานี้ ข้าจะถ่ายทอดครึ่งแรกให้เจ้าก่อน หากเจ้าประสบปัญหาคอขวดในอนาคต ข้าจะถ่ายทอดครึ่งหลังให้แก่เจ้า”
“อีกประเด็นหนึ่งคือห้ามสอนวิชานี้ให้แก่ใครก็ตาม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น
ในโลกของนาง ปรมาจารย์ขุนเขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของนาง ไม่ว่าปรมาจารย์ขุนเขาจะเอ่ยอย่างไร นางก็เชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไข
นางฉลาดมาก นางบอกได้ทันทีว่าวิชานี้ล้ำค่ามาก จะต้องเป็นวิชาลับที่อาจเป็นไพ่ตายของปรมาจารย์ขุนเขาและนางต้องทะนุถนอมมันเป็นอย่างดี
"วิชาตะวันสวรรค์เร้นลับ" นั้นลึกล้ำมากสำหรับหลี่มู่ มันเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหมดของเขา แต่สำหรับเสี่ยวชิงเอ๋อร์ เขาจึงไม่ต้องลังเลให้มากความ
เพราะเขามีระบบ เขาจึงไม่ขาดวิชาอย่าง "วิชาตะวันสวรรค์เร้นลับ"
แต่เสี่ยวชิงเอ๋อร์นั้นต่างออกไป นางมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญแต่ไม่มีทรัพยากรบำเพ็ญที่ดี ในฐานะอาจารย์ แน่นอนว่าเขาต้องการชุบเลี้ยงนางอย่างดีอยู่แล้ว
สิ่งที่หลี่มู่กลัวที่สุดคือปัญหาเรื่องไม่ละเอียดละไม และขาดการอดทนในการสั่งสอนลูกศิษย์
แต่เสี่ยวชิงเอ๋อร์ไม่เคยปล่อยให้หลี่มู่กังวล นางมีเหตุผลมาก หลี่มู่จึงไม่ลังเล
หลายชั่วยามต่อมา
หลี่มู่บรรยายประสบการณ์บางส่วนของตนในการฝึกปรือ "วิชาตะวันสวรรค์เร้นลับ" ให้เสี่ยวชิงเอ๋อร์ฟัง
สิ่งที่ทำให้หลี่มู่ตกใจคือความเข้าใจของเสี่ยวชิงเอ๋อร์นั้นเกินกว่าจินตนาการของเขา และนางก็เข้าใจแทบหมดทันที บางครั้งหลี่มู่เอ่ยเพียงประโยคเดียวแล้วนางก็สามารถเติมคำที่เหลือด้วยความเข้าใจของตัวนางเอง
สิ่งนี้ทำให้หลี่มู่ประหลาดใจมาก แต่แน่นอนว่าเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน
เพราะใครเล่าจะไม่อยากมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจและทำอะไรได้สำเร็จเพียงแว๊บเดียว?
ตอนนี้เสี่ยวชิงเอ๋อร์อยู่ที่ขอบเขตผสานชีพจรแล้ว และครึ่งแรกของวิชาตะวันสวรรค์เร้นลับก็เพียงพอที่จะสนับสนุนการบำเพ็ญให้นางไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
........
หลี่มู่มิได้บำเพ็ญในช่วงสองวันนี้
โดยพื้นฐานแล้ว เขาใช้เวลาไปกับการบรรยายให้เสี่ยวชิงเอ๋อร์ และชี้นำนางเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับปัญหาการบำเพ็ญบางจุด
...
เวลามักจะผ่านไปเร็วโดยที่เราไม่รู้ตัว
ครึ่งปีผ่านไปอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงครึ่งปีมานี้ หลี่มู่บำเพ็ญอยู่ที่ขุนเขาที่เก้า
ในช่วงที่ผ่านมานี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในสำนักตงเหยียน เนื่องจากการล่มสลายของสำนักเทียนไห่ จึงทำให้ทั่วทั้งสำนักตงเหยียนจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง
เพียงในครึ่งปี เสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็ได้ฝึกปรือวิชาตะวันสวรรค์เร้นลับไปยังระดับสองในรวดเดียว ความเข้าใจเช่นนี้ทำเอาหลี่มู่ทะลึงงัน ในตอนแรกเขาตกใจ แต่ต่อมาเขาก็ชินชา
และในครึ่งปีนี้ เสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็กระโดดจากขอบเขตผสานชีพจรระดับสี่ไปยังขอบเขตผนึกฐานรากระดับสามอย่างกับขึ้นสวรรค์ นางเพิ่มฐานพลังบำเพ็ญข้ามขอบเขตในบัดดล จากนั้นในที่สุดนางก็ได้รับลำดับหนึ่งในการประลองสำนักสายในด้วยการบดขยี้ทุกคน ทำให้ทั่วทั้งสำนักตงเหยียนตกตะลึง
ในเวลานี้ เสี่ยวชิงเอ๋อร์อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
แต่ละวันพลังบำเพ็ญของนางจะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด อารมณ์และรูปลักษณ์ของนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางกำลังเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ
ยามนี้ นางมีรูปร่างสูง มีบุคลิกเยือกเย็น ทรงเสน่ห์ ทำให้นางได้รับความนิยมอย่างมากในสำนักตงเหยียนจนกลายเป็นเทพธิดาในฝันของศิษย์นับไม่ถ้วน
ทำให้มีศิษย์หลายคนต้องการเข้าร่วมขุนเขาที่เก้าเพื่อติดต่อกับจงชิงเอ๋อร์ แต่พวกเขาทั้งหมดถูกหลี่มู่ปฏิเสธ
หลายครั้งที่หลี่มู่ไม่จำเป็นต้องออกหน้าปฏิเสธ จงชิงเอ่อร์จะปฏิเสธเองทันที แม้แต่ไม่แยแสกับคำสารภาพรักของศิษย์พี่บางคน
แต่เนื่องจากจงชิงเอ่อร์โดดเด่นเกินไป จึงมี "คำพูดที่ไม่ดีนัก" ภายในสำนักด้วย
ส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่อิจฉาเกินไปที่หลี่มู่มีลูกศิษย์ที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงตั้งคำถามว่าหลี่มู่นั้นไร้ความสามารถในการสอนจงชิงเอ่อร์
แต่เมื่อใดที่จงชิงเอ๋อร์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่ "ได้รับความเคารพอย่างสูง" นางก็ไม่เกรงกลัว นางทำตัวเกรี้ยวกราดเพื่อปกป้องปรมาจารย์ขุนเขาของนางทันที
.......
เสี่ยวชิงเอ๋อร์ยังค้นพบว่าปรมาจารย์ขุนเขาผู้นี้นั้นแตกต่างจากเดิม
ในอดีต เขามักจะเตือนนางเสมอว่าอย่าก่อเรื่อง ให้หัดเป็นคนถ่อมตัว
แต่ตอนนี้ เขากลับบอกว่าไม่ต้องกลัวสิ่งใด ไม่ต้องกลัวใครที่ล่วงเกินเจ้า อาจารย์จะคอยหนุนหลังเจ้าเอง
แม้ว่าปรมาจารย์ขุนเขาจะเอ่ยเช่นนี้ แต่เสี่ยวชิงเอ๋อร์ก็มีเหตุผลเช่นกัน นางมักจะถ่อมตัวตลอดเวลา และจะไม่สร้างศัตรูให้แก่อาจารย์ของนางหรือก่อเรื่องขึ้น
เพราะนางรู้ว่าพลังบำเพ็ญของอาจารย์มิได้แข็งแกร่งมากในสำนักตงเหยียน อีกทั้งผู้อาวุโสและปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่น ๆ ก็มิได้ให้เกียรติอาจารย์ของนางมากนัก
ดังนั้นความคิดของนางคือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นและปกป้องอาจารย์ของตนในอนาคต
........
ขุนเขาที่เก้า
ภายในห้อง
ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมเซียนสีน้ำเงินขาวนั่งอยู่บนแผ่นหินสีฟ้า โดยมีร่องรอยของพลังวิญญาณอยู่รอบตัวอย่างหนาแน่น
ทันใดนั้น ขณะที่ชายคนนั้นค่อย ๆ ลืมตา พลังวิญญาณโดยรอบก็หดลงในทันที จากนั้นลำแสงเซียนสายเล็กก็พุ่งออกจากส่วนลึกในดวงตาของเขา
ชายคนนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากหลี่มู่