ตอนที่ 30 ศิษย์พี่ไป่เศร้า
ไป่เยวี่ยซินเม้มปาก กลืนความอับอายลงขณะยืนบนลาน รอให้คนต่อไปขึ้น
นางสามารถได้ยินเสียงซุบซิบ
“ศิษย์พี่คนนี้อ่อนแอมาก กับผู้บ่มเพาะที่ด้อยกว่าหนึ่งระดับก็ยังแพ้”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าเฟิงหยูเตี๋ยจะเก่งขนาดนั้น ข้าคิดว่าข้าก็เอาชนะศิษย์พี่คนนี้ได้”
แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะสงสัยนาง แต่คำพูดเช่นนี้ก็ช่างบาดหู
ไป่เยวี่ยซินอยากเถียงคนพวกนี้’ถ้าพวกเจ้ากล้าก็ขึ้นมาลองสิ?!เจ้าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น!’
มันน่าเสียดายที่นางตะโกนไม่ได้ นางต้องกลืนความขุ่นเคืองนั้นลงไป
ในหัวนาง นางเอาแต่นึกถึงกระบวนท่าของเฟิงหยูเตี๋ย พยายามหาเหตุผลว่าทำไมนางถึงแพ้ แต่ ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหน นาก็คิดไม่ออกว่าทำไมเฟิงหยูเตี๋ยถึงทำลายกระบี่นางได้
ตรงจุดนี้ ไป่เยวี่ยซินไม่อยากยอมรับ
ถ้านางเข้าใจว่านางแพ้ตรงไหน นางจะยังคิดว่านางแพ้เพราะนางประมาท แต่ความจริงคือนางคิดไม่ออกว่าเป็นยังไง
หลังฝึกกระบี่มานานเป็นสิบปี สุดท้าย นางกลับสู้เด็กสาวไม่ได้
ไป่เยวี่ยซินสงสัยว่าความพยายามทั้งหมดของนางนั้นทำไปเพื่ออะไร?
“เทียบกับอัจฉริยะพวกนั้น คนอย่างข้าได้แต่ด้อยกว่าไปตลอดเหรอ?”นางก้มหัวและหัวเราะขมขื่น“ฮี่ๆๆๆ..”
ในขณะเดียวกัน เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ก้าวขึ้น เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ถูกหลายสายตาจับจ้อง นางเลยประหม่า เหมือนเฟิงหยูเตี๋ยก่อนหน้า นางหยิบกระบี่ไม้ที่ชั้นวางและก้มหัวให้ไป่เยวี่ยซิน
จากนั้นก็สูดหายใจลึก ตะโกนลั่น“โปรดชี้แนะด้วย ผู้อาวุโส!!!”
เสียงคำรามนี้ดึงความสนใจทุกคน แม้กระทั่งไป่เยวี่ยซินก็ยังสะดุ้ง นางได้สติ มองอีกฝ่ายแปลกๆและถาม“เจ้าจะตะโกนทำไม?”
“โอ้..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยซินคารวะ“พี่ชายข้าเคยบอกว่าการคารวะต้องเต็มไปด้วยพลัง ไม่ใช่ไร้ชีวิตชีวา..”
ไป่เยวี่ยซินพ่นลมหายใจ มองศิษย์ที่บันทึก
ศิษย์คนนั้นรีบพูด“สามรากปราณ น้ำ ไม้ และดิน หลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์”
ไป่เยวี่ยซินพยักหน้า เตือนนาง“เจ้ามาที่นี่ในฐานะศิษย์ติดตาม และมาตรฐานก็ไม่เข้มงวด ข้าจะอ่อนข้อให้เจ้า ถ้าเจ้ายังยืนไม่ไหว เจ้าก็โยนกระบี่ทิ้งและหยุดซะ”
“เจ้าค่ะ”
“อย่าฝืนตัวเองแค่เพื่อจะได้คะแนนสูง ในอดีต มีศิษย์ติดตามบางคนที่ได้คะแนนสูงในการทดสอบกระบี่ แต่พวกเขาล้วนบาดเจ็บสาหัส”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือนข้า”
ยังไงซะ ข้าก็ต้องทำหน้าที่ให้เสร็จ..ไป่เยวี่ยซินถอนหายใจยาว สะบัดนิ้ว และกระบี่ไม้จากชั้นก็ลอยมาหานาง
“งั้นก็มาเลย”
“ผู้อาวุโส ระวังด้วย”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยหลับตา ลดท่าทางราวกับวางแผนจะทำบางสิ่ง
ตอนไป่เยวี่ยซินกำลังสงสัยว่าเด็กสาวคนนี้ฝึกฝนวิชาอะไร นางก็พลันรู้สึกถึงจิตสังหาร และวินาทีต่อมา เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็เหวี่ยงกระบี่ใส่นาง
“ย้า!”
พอได้ยินเสียงนั่น ดวงตาของไป่เยวี่ยซินก็เบิกกว้าง
รูม่านตาของนางสะท้อนภาพหกคน แต่ละคนถือกระบี่ไม้ในมือและฟันนางจากหกทิศทาง
“อะไรกัน…!?”ไป่เยวี่ยซินตาเหลือก รีบยกกระบี่ขึ้นกัน แต่สองมือรึจะสู้สี่มือ นับประสาอะไรกับ 12 มือ
แม้นางจะกันได้สามร่าง แต่กระบี่ของอีกสามร่างที่เหลือก็ยังฟาดไหล่ เอวและน่องซ้ายนาง
บูม!
ไป่เยวี่ยซินปลิวไปทางขวา กระแทกศิษย์หลายคนที่รอทดสอบ
ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นในหนึ่งลมหายใจ
ศิษย์ที่บันทึกตะลึงงัน ในสายตาเขา เด็กสาวที่ชื่อเพ่ยเหลียนเสวี่ยแค่เหวี่ยงกระบี่ใส่พี่สาวไป่ และพี่สาวไป่ก็กระเด็น
เขาได้แต่มองที่นั่งผู้อาวุโสอย่างโง่ๆ และหลังได้รับการพยักหน้า เขาก็ประกาศ“เพ่ยเหลียนเสวี่ยชนะ!”
พอสิ้นเสียงประกาศ ทั้งสถานที่ก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
ศิษย์บนลานทดสอบอื่นหันมามองทางลานยอดเขาเมฆาสวรรค์ใหม่ แต่ครั้งนี้แตกต่าง อย่างน้อยก่อนหน้า ไป่เยวี่ยซินก็ยังยืนบนลาน แต่ตอนนี้นางตก
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ตระหนักว่าไป่เยวี่ยซินควรโดนซัดตก
ในทางทฤษฏี หลังตกลาน นางควรกระโดดขึ้นทันที คารวะคู่ต่อสู้ และทดสอบรอบต่อไป แต่ตอนนี้ไป่เยวี่ยซินนอนนิ่งกับพื้น
มันไม่ใช่ว่านางหมดสติ นางใช้แค่กระบี่ไม้ และไม่โดนจุดสำคัญ ด้วยฐานบ่มเพาะก่อตั้งรากฐาน ไม่มีทางที่นางจะเป็นลม
นางแค่ไม่ลุกเพราะไม่อยากกลับขึ้นไป
นางเหนื่อย….
หลังแพ้เฟิงหยูเตี๋ย ผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณ แม้จะอึดอัด นางก็ยังพอรับได้ เหนือสิ่งอื่นใด อีกฝ่ายคืออัจฉริยะ
แต่ครั้งนี้ คนที่ซัดนางตกไม่ใช่อัจฉริยะ แต่เป็นผู้บ่มเพาะตัวน้อยสามรากปราณ
ถ้าการปรากฏของเฟิงหยูเตี๋ยทำให้นางสงสัยความพยายามตลอดหลายสิบปี การปรากฏของเพ่ยเหลียนเสวี่ยก็เหมือนการทำลายความพยายามทั้งชีวิตของนาง
นางรู้สึกว่าการกลับขึ้นไปทำหน้าที่ต่อมีแต่จะทำให้อาจารย์ สหายเต๋าและทั้งยอดเขาเมฆาสวรรค์เสียหน้า
“ฮึก—ข้ามันไอขี้แพ้!ฮึก..”
ดูเหมือนนางจะตกเป็นขี้ปากของคนในลาน แต่ไป่เยวี่ยซินไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
ศิษย์หลายคนของยอดเขาเมฆาสวรรค์รีบมาตรวจสอบสภาพนาง แต่พอเห็นสายตาเหม่อลอยของนางที่เหมือนเสียวิญญาณ พวกเขาก็ไม่รู้จะปลอบนางยังไง พวกเขาได้แต่แบกนางกลับไปที่พักของศิษย์ยอดเขาเมฆาสวรรค์
ผู้บ่มเพาะสาวคนอื่นที่รับหน้าที่ทดสอบได้ยินข่าวและรีบมา ด้วยรู้ว่านางเป็นคนจิตใจเปราะบางและเจอกับเรื่องสะเทือนใจวันนี้ พวกนางก็กลัวว่านางอาจคิดฆ่าตัวตาย พวกนางเลยนำผลไม้ของโปรดมาและพูดปลอบนาง
แต่ ไป่เยวี่ยซินฝังตัวในห้องนอน จ้องหน้าต่างด้วยดวงตาหม่นหมองตลอดเวลา
“สหายไป่ ไม่เป็นไรนะ เราถามอาจารย์แล้ว เฟิงหยูเตี๋ยคนนั้นมีรากปราณสวรรค์และเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ไท่สวี่ ไม่ใช่เรื่องน่อายที่จะแพ้นางนะ”
“..”
“พี่ไป่ ข้าเอาผลไม้ที่ท่านชอบมาให้ กินแล้วพักซะนะ มันหวานมาก”
“..”
“ให้นางพักเถอะ”ศิษย์พี่อีกคนแนะนำ“น้องไป่ นอนพักซะนะ ถ้ามีอะไรให้รีบบอก เราจะจัดการให้ ไม่ต้องห่วงเรื่องอาจารย์”
“..
ตะวันจากลา ท้องฟ้าเริ่มมืด
จักจั่นเริ่มร้องเพลง
เหล่าสาวๆที่มาเยี่ยมนางกลับไปหมดแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่ามันนานแค่ไหน แตต่ตาไร้ชีวิตชีวาของนางค่อยๆมีประกาย
นางลุกจากเตียง มองของขวัญที่ศิษย์พี่ทั้งหลายนำมาให้และจมูกก็แสบ นางสูดหายใจลึก เช็ดน้ำตา นั่งที่โต๊ะในห้อง บดหมึก จุ่มพู่กัน
[อาจารย์ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ข้า ไป่เยวี่ยซิน ศิษย์ที่มีพรสวรรค์น้อยนิดและโง่งมไม่สามารถตอบแทนบุญคุณของอาจารย์ได้ ดังนั้น ข้าจะขอลาออกและไปทางอื่น---จากไป่เยวี่ยซิน]
“ฮึก!”
หลังเขียนจดหมายนี้ ไป่เยวี่ยซินก็ถอดชุดยอดเขาเมฆาสวรรค์ พับมันอย่างเรียบร้อย วางไว้บนเตียงพร้อมด้วยกระบี่และป้ายตัวตน และวางจดหมายไว้บนสุด
นางก้าวถอยสองก้าว ก้มหัวให้ของเหล่านี้
“..”
นางเช็ดน้ำตาอีกครั้ง เก็บข้าวของนาง เดินออกบ้าน เรียกกระบี่บินที่ใช้เงินเก็บสองปีของนางออกมา และออกจากสำนักดาวดำ