ตอนที่ 19 สิ่งนี้สามารถขายเป็นเงินได้ด้วยรึ?
ในเมืองไป๋กั๋ว
พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าและมีแถวยาวเหมือนงูอยู่นอกเมือง.
นักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูยืนอยู่นอกเมืองและกำลังเข้าแถวอยู่.
ขณะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน สายตาของนักพรตไต้ หัวจับจ้องไปที่ป้ายประกาศที่เขาไม่อาจละสายตาจากได้ ดูเหมือนจะครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง.
ซู ชางหยู มองประกาศและหยุดนิ่งในไม่ช้า.
เหตุผลก็คือเป็นประกาศเกี่ยวกับงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว
เนื้อหาก็เรียบง่ายมากเช่นกัน.
“งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว จะจัดขึ้นในเมืองโบราณจางหยุน อีกสามเดือน
สิ่งที่จำเป็นต้องทำในการลงทะเบียน: จ่ายศิลาวิญญาณขั้นต่ำ10 ก้อนล่วงหน้า.
รางวัลสำหรับผู้เข้ารอบใน 500 อันดับแรก: ชุดเต๋ากระบี่.
รางวัลสำหรับผู้เข้ารอบใน 100 อันดับแรก: ศิลาวิญญาณขั้นต่ำ 100 ก้อน.
รางวัลสำหรับผู้เข้ารอบใน 50 อันดับแรก: ศิลาวิญญาณขั้นต่ำ 500 ก้อน.
รางวัลสำหรับผู้เข้ารอบใน 10 อันดับแรก: อาวุธคุณภาพสูง— กระบี่บิน.
รางวัลสำหรับผู้เข้ารอบใน 3 อันดับแรก: กระบี่บินมายา 1 เล่ม.
รางวัลสำหรับผู้ชนะเต๋ากระบี่ชิงโจว: กระบี่บินมายาขั้นสูง 1 เล่ม.
รางวัลลึกลับกำลังรอท่านอยู่ที่งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว นี่เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง.
สถานที่ลงทะเบียน: หน่วยจัดการสำนักในเมืองหลักต่างๆแห่งชิงโจว.”
—-
งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี เป็นหนึ่งในงานรวมตัวที่มีชื่อเสียงมากใน ชิงโจว.
แม้ว่ารางวัลสำหรับงานรวมตัวจะดูไม่น่าดึงดูดนัก แต่คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมงานรวมตัวก็ไม่สนใจเรื่องรางวัลเลย พวกเขามุ่งเน้นไปที่การได้รับชื่อเสียงเป็นหลัก.
ใครบ้างล่ะ จะไม่อยากเป็นอัจฉริยะเต๋ากระบี่ที่ได้รับการยกย่องและชื่นชมจากหลาย ๆ คน.
ซู ชางหยูอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อมองดูประกาศ แต่ในไม่ช้า เขาก็เริ่มนึกถึงสภาพที่เขาอยู่ในตอนที่เขาคว้าตำแหน่งใน 500 อันดับแรกได้.
แม้ว่าจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมการประชุมครั้งนั้นจะค่อนข้างน้อย แต่การอยู่ใน 500 อันดับแรกก็ถือเป็นความสำเร็จอันรุ่งโรจน์.
ทว่าเมื่อเขาเห็นเจ้าสำนักจ้องมองประกาศเป็นเวลานานและตกอยู่ในภวังค์ ซูชางหยูก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา.
“เจ้าสำนักขอรับ อย่าสนมันเลย. เราไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจวเลยแม้แต่น้อย เอ่อ... เจ้าสำนัก ท่านกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่งั้นหรือขอรับ?”
ซู ชางหยู รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ในไม่ช้า เขาก็ตระหนักว่า นักพรตไต้ หัวต้องการทำอะไร ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง.
“อย่าพูดไร้สาระน่า ไปจัดการเรื่องสำคัญให้เสร็จก่อนเถอะ.”
นักพรตไต้ หัวตักเตือน ซู ชางหยูให้ระวังคำพูดของเขา และทั้งสองคนก็เอาแต่เงียบหลังจากนั้น.
ผ่านไปสองชั่วโมงเต็ม.
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าไปในเมืองไป๋กั๋วได้.
เมื่อเข้าสู่เมืองไป๋กั๋วได้ นักพรตไต้ หัวมุ่งหน้าตรงไปที่โรงรับจำนำพร้อมถุงผ้าอยู่ในมือ.
โรงรับจำนำมีชื่อว่า 'โรงรับจำนำทองจริงใจ'
โรงรับจำนำดูหรูหราและมั่งคั่งมาก ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายเพราะกลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เดินเข้าไป.
นักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูดูสงบลงมาก.
นายโรงรับจำนำออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่สุภาพด้วยตนเอง.
“ท่านจอมยุทธเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมาที่นี่เพื่อจำนำหรือขายสินค้าหรือขอรับ?”
นายโรงรับจำนำดูอายุราวสี่สิบเศษๆและดูค่อนข้างเจ้าเล่ห์.
"ขาย."
นักพรตไต้ หัวกล่าว.
นักพรตไต้ หัวเข้าใจกฎของโรงรับจำนำดีและรู้ว่าโดยทั่วไปแล้วโรงรับจำนำจะเสนอราคาเพียง 70% ของราคาเดิมของสินค้าเท่านั้น โดยปกติแล้วผู้ขายจะขาดทุน 30% เมื่อขายสินค้าให้กับโรงรับจำนำ.
ทว่านั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะนั่นเป็นวิธีหาเงินที่เร็วที่สุดแล้ว.
“ท่านต้องการที่จะขายหรือขอรับ? ได้เลย. จอมยุทธเซียนผู้สูงส่ง ท่านต้องการขายอะไรขอรับ?”
นายโรงรับจำนำถามด้วยรอยยิ้ม.
“นี่คือของที่จะขาย ถ้าให้ราคาดีๆ ข้าจะมาบ่อยๆ ภายหน้า.”
นักพรตไต้ หัวโยนถุงลงบนพื้นโดยตรง มันมีสิ่งของที่เขาเก็บมาเกือบทั้งวัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นของมีค่าทั้งหมดที่เขาหาได้ในสำนักชิงหยุนเต๋า.
“ขอรับ โปรดนั่งลงก่อนเถิด. ท่านเซียน.”
“เอาชามารินให้นายท่านด้วย” เมื่อเห็นว่า นักพรตไต้ หัวไม่รีรอ. นายโรงรับจำนำจึงสั่งให้เด็กรับใช้มารินชาด้วยความยินดี คิดว่าเขาได้พบกับลูกค้ารายใหญ่โดยไม่รู้ตัว.
“ชาไม่ต้อง. แค่รีบๆดูสินค้าแล้วจ่ายเงินให้ข้าตามจำนวนก็พอ.”
นักพรตไต้ หัวกล่าวอย่างจริงจัง.
เขาต้องเฝ้าดูนายหน้าโรงรับจำนำตรวจสอบสินค้าไว้เพื่อไม่ให้เสียบเปรียบ.
นายโรงรับจำนำไม่ได้ไม่พอใจกับคำพูดของ นักพรตไต้ หัวในทางตรงกันข้าม เขามีความสุขมากขึ้นเพราะเขาคิดว่ายิ่ง นักพรตไต้ หัวจริงจังมากขึ้นเท่าไร ยิ่งหมายความว่าสิ่งของในกระเป๋านั้นดีมากขึ้นเท่านั้น ไม่เช่นนั้นใครจะสนใจกองขยะมากมายขนาดนี้?
“นายท่าน. โปรดรอสักครู่”
นายโรงรับจำนำยิ้มแล้วขอให้เด็กคนหนึ่งเรียกหาผู้ประเมินโรงของรับจำนำ.
ผ่านไปไม่นาน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเข้ามา เมื่อเขาเห็น นักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูเขาก็ยิ้มและยกมือขึ้นป้องเพื่อทักทายพวกเขา.
ทั้งสองคนพยักหน้าให้.
ในไม่ช้าผู้เฒ่าก็เปิดถุงแล้วมองดูมันด้วยความคาดหวัง.
แม้แต่นายโรงรับจำนำก็ดูคาดหวังมาก.
ยังไงเสียนักพรตไต้ หัวและ ซู ชางหยูดูค่อนข้างมีเกียรติ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่ามีของดีแน่นอน.
ทว่าหลังจากเปิดกระสอบ ใบหน้าของพวกเขาก็บูดบึ้งทันที
มีสิ่งของกองใหญ่อยู่ในกระสอบ แต่ดูเหมือนขยะสำหรับทั้งสองคน.
ผู้ประเมินขยี้ตา กลัวว่าเขาจะตัดสินผิด ดังนั้น เขาจึงพินิจพิจารณามันอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก.
มันเป็นกองขยะจริงๆ.
เขาไม่ได้ตัดสินผิดเลย.
“นายท่านเซียน. ท่านหยิบมาผิดหรือเปล่าขอรับ?”
นายโรงรับจำนำสับสนเล็กน้อย.
“ไม่ผิดหรอก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าต้องการขาย ให้ราคาดีกับข้าแล้วข้าจะกลับมาอีกในครั้งต่อไป”
นักพรตไต้ หัวไม่รู้สึกอะไรเลย ตรงกันข้าม เขาจริงจังมาก.
หลังจากที่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น นายโรงรับจำนำของโรงรับจำนำทองจริงใจก็เงียบไปทันที.
‘เวร ก็นึกว่าจะมีสมบัติมาขาย’
'กลายเป็นกองซากขยะเสียนี่.'
'ในเมื่อพวกมันเป็นเพียงเศษซาก ทำไมเจ้าต้องทำตัวเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่มีราคาด้วยล่ะ?'
‘อีกอย่าง, เจ้าเอาขยะมาขายให้กับโรงรับจำนำ เจ้ายากจนจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ?’
'ให้ราคาดี ๆ เหรอ? เจ้าจะกลับมาครั้งหน้าเหรอ? เจ้าคิดว่านี่คือตลาดหรือไง? นี่คือโรงรับจำนำ เจ้าคิดว่าข้าฉี เหลียงจินเป็นคนสถุนหรืออย่างไร?’
นายโรงรับจำนำเงียบไปสักพัก.
เขาเต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่ระบายความโกรธ.
ท้ายที่สุดแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้ตั้งร้านนี้ขึ้นมา เขาจึงต้องยอมรับลูกค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี.
เขาจะเลือกไม่รับของก็ได้ แต่ชื่อเสียงก็คงป่นปี้ไปด้วยแน่.
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉี เหลียงจินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนหายใจและหยิบเศษเหล็กขึ้นมา.
“หนังปีศาจที่ไม่ได้เกรด เงิน 7 ตำลึง”
“ด้ามกระบี่บินชำรุด เงิน 12 ตำลึง”
“โต๊ะตั้งพุทธรูปที่แตกเป็นชิ้นๆ เงิน 9 ตำลึง”
“ผ้าเช็ดเท้า. ให้ตายเถอะ นายท่านเซียน ท่านสติดีอยู่หรือไม่? ท่านจะขายผ้าเช็ดเท้าเหรอ?”
ในโรงรับจำนำนั้น.
ฉี เหลียงจินกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้นและหยิบสิ่งของจากกระสอบทีละชิ้น เขาไม่ได้โกรธในตอนแรก แต่เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อเขาดึงผ้าเช็ดเท้าออกมา.
ของชิ้นนั้นดูไม่เหมาะสมหน่อยๆ.
“อ้อ ตอนยัดของใส่ข้าคงรีบเกินไป ข้าผิดเอง.”
นักพรตไต้ หัวเขินอายเล็กน้อยในขณะที่เขารีบเอาผ้ากลับ.
ฉี เหลียงจินรู้สึกค่อนข้างรำคาญ.
ทว่าเขาก็ทนกับมันได้ในที่สุด
หลังจากใช้เวลานานจนธูปไหม้ เขาก็นับสิ่งของทั้งหมดเสร็จแล้ว.
มันเป็นกองขยะจริงๆ.
นั่นทำลายความหวังสุดท้ายของฉี เหลียงจิน
ก่อนหน้านี้ เขาจินตนาการว่าคนสองคนตรงหน้าเขาเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนสมบัติไว้ด้านล่างเพื่อแหย่เจาเล่น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไร้เดียงสาเกินที่คิดเช่นนั้น
“รวมหนึ่งตำลึงทองและ 35 ตำลึงเงิน”
นายโรงรับจำนำยืนขึ้นและปรบมือขณะมองไปที่ นักพรตไต้ หัว.
“นั่นมันน้อยเกินไปนี่? ถือว่าเรากำลังสร้างมิตรภาพ ขอเป็นทองคำสองตำลึงเป็นไง?”
นักพรตไต้ หัวกล่าวหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง.
ฉี เหลียงจินหมดคำพูด.
เขาเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เขาไม่ต้องการผูกมิตรกับ นักพรตไต้ หัว
“ทองคำหนึ่งตำลึงและเงิน 35 ตําลึง ไม่ให้มากกว่านี้แล้ว. ผู้นายท่านเซียนขอรับ. หากท่านไม่พอใจ ท่านก็ไปที่โรงจำนำอื่นเถอะขอรับ.”
ฉี เหลียงจินยิ้มเจื่อนๆ.
ลึกๆ แล้วเขาแทบจะรอให้ทั้งสองคนรีบออกไปไม่ไหวแล้ว.
เขาเป็นนายหน้าโรงรับจำนำของโรงรับจำนำทองจริงใจซึ่งจะได้รับทองหลายสิบตำลึงภายในสองชั่วโมง ทว่าทั้งสองคนก็เสียเวลาไปมาก เขาไม่เพียงแต่สูญเสียเงินเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขายังรู้สึกอับอายอีกด้วย.
“คิดเสียว่านี่เป็นมิตรภาพระหว่างเรา เราจะให้การสนับสนุนเจ้าต่อไปในภายหลัง. ขอเป็นหนึ่งตำลึงทองกับ 50 ตำลึงเงินล่ะ? คิดว่าไง? ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้าอีกแล้ว.”
นักพรตไต้ หัวยืนกราน.
นายโรงจำนำส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วหัวเราะอย่างขมขื่น
“นายท่านเซียน พูดตามตรงเลยนะ มูลค่ารวมของสิ่งของเหล่านี้น้อยกว่ากระดาษของภาพวาดนั้นเสียอีก. หากท่านซื้อกระดาษวาดภาพนั่นได้ ทำไมต้องเรื่องมากกับของพวกนี้ด้วยล่ะขอรับ?”
ฉี เหลียงจินกล่าว
เขาจับจ้องไปที่ม้วนภาพในมือของซูชางหยู.
ม้วนภาพวาดเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าทั้งสองคนเป็นคนร่ำรวย.
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่ามันเป็นกระดาษซู่หยางซึ่งมีราคาเท่ากับทองสองตำลึงต่อสิบชุ่น ม้วนภาพวาดนั้นอาจมีมูลค่ามากกว่าทองคำสิบตำลึงเสียอีก.
มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่จะกล้าใช้กระดาษดังกล่าวในการวาดภาพ.
ผู้รู้หนังสือทั่วไปไม่สามารถที่จะใช้เงินเป็นจำนวนมากได้.
ทว่าในช่วงเวลาต่อมา นักพรตไต้ หัวถามว่า “สิ่งนี้สามารถขายเป็นเงินได้ด้วยรึ?”