ตอนที่ 18 อาจมีสำนักที่มีอัจฉริยะอยู่ก็ได้นะ
สำนักกระบี่ไต้ยื้อ
ใต้ผากระบี่ศักดิ์สิทธิ์.
ด้วยเสียงฟ้าร้อง ลูกศิษย์นับไม่ถ้วนอดไม่ได้ที่จะมองดูมัน.
มีลูกศิษย์ห้าคนนั่งอยู่ใต้ผากระบี่ศักดิ์สิทธิ์.
พวกเขาเป็นลูกศิษย์สำนักในที่โดดเด่นของสำนักกระบี่ไต้ยื้อ พวกเขามีความสามารถอย่างมากใน เต๋ากระบี่.
พวกเขายังเป็นเหตุผลที่เจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไต้ยื้อเชิญ จอมยุทธสี้จือให้มาแกะสลักรอยกระบี่เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจคลื่นของกระบี่.
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดก็มีคนเข้าใจคลื่นกระบี่ของจอมยุทธสี้จือแล้ว.
เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่ได้ดูอายุเกิน20เลย. เขาสวมชุดคลุมสีขาวและนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยมีกระบี่ยาวอยู่ตรงหน้าซึ่งมีเสียงหึ่งๆ.
ไม่ใช่แค่นั้น นอกจากนี้ยังมีเงากระบี่มากมายปรากฏอยู่ข้างหลังเขาด้วย.
“เขาตื่นรู้แล้ว”
“ศิษย์พี่ ซู่ เฮิงตื่นรู้แล้วจริงๆ.”
“เจ้าได้ตื่นรู้บ้างรึยัง?”
“โอ้สวรรค์. ศิษย์พี่อาวุโส ซู่ เฮิงเก่งสมกับฉายาอัจฉริยะเต๋ากระบี่ที่โด่งดังใน ชิงโจวจริงๆ. เวลาเพียงเดือนเดียว เขาได้เข้าใจทักษะกระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิของวิชาสี่กระบี่อัสนีจนถึงขั้นชำนาญ หลังจากที่ได้ดูรอยกระบี่แล้ว.”
“ข้าอิจฉาจังเลย”
“ตอนจอมยุทธสี้จือทิ้งรอยกระบี่นี้ไว้ เขากล่าวว่าแม้จะเป็นอัจฉริยะก็ยังต้องใช้เวลาสิบปีในการเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีจนขั้นสุดยอด แต่พี่ใหญ่ ซู่ เฮิงใช้เวลาเพียงหนึ่งปีในการทำความเข้าใจวิชากระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิจนถึงขั้นชำนาญแล้ว. คงไม่นานเกิน3ปีพี่ใหญ่คงเข้าใจหมดทุกวิชาเป็นแน่”
“ศิษย์พี่เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสิบอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน เต๋ากระบี่เราคงได้แต่เฝ้ามองคนที่มีความสามารถเช่นเขาเท่านั้นแหละนะ.”
“หยุดเถอะ ข้าเริ่มจะหดหู่แล้ว.”
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่จะติดหนึ่งในสิบอันดับของงานรวมตัวเต๋ากระบี่ของชิงโจว ใช่ไหม?”
"สิบอันดับงั้นเหรอ? ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูดใหม่. ท่านควรอยู่ในสามอันดับแรกเสียมากกว่า”
“ในช่วงเวลาหนึ่งปี เขาสามารถเข้าถึงขั้นชำนาญในวิชากระบี่อัสนีแห่งฤดูใบไม้ผลิ ดูยังไงก็เป็นอัจฉริยะในเต๋ากระบี่ไม่ใช่เหรอ?”
ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไต้ยื้อกำลังพูดคุยกันอย่างเร่าร้อนในหมู่พวกเขาเองในขณะที่มองดูด้วยความอิจฉา.
มีผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดคนอยู่บนผากระบี่ศักดิ์สิทธิ์.
พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ไต้ยื้อ.
หนึ่งในนั้นยิ้มกว้าง ไม่สามารถซ่อนความสุขของเขาได้เลย.
“ศิษย์พี่หมิง เจี้ยน ท่านตัดสินใจได้ถูกต้องจริงๆ ลูกศิษย์ของท่านเข้าใจคลื่นกระบี่ของผู้อาวุโสสี้จือ ได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ช่างเป็นผลงานที่น่ายินดีจริงๆ ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง”
ผู้เฒ่าแสดงความยินดีกับผู้เฒ่า หมิง เจี้ยน ชายชราที่มีรอยยิ้มกว้างที่สุด.
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เลยๆ. เขาเพิ่งมาถึงขั้นชำนาญเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รอยกระบี่ของผู้อาวุโส สี้จือ มีคลื่นกระบี่ของเขาอยู่. การบรรลุขั้นชำนาญนั้นไม่ถือว่ามากเกินไปเลย.”
ผู้อาวุโส หมิง เจี้ยน ยิ้มและดูสุภาพมาก แต่รอยยิ้มของเขาไม่ได้เจียมเนื้อเจียมตัวเลยแม้แต่น้อย.
“ศิษย์พี่หมิง เจี้ยน ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
“ใช่แล้วพี่ หมิง เจี้ยน ท่านถ่อมตัวเกินไป. ลูกศิษย์ของท่านมีความสำเร็จสูงในเต๋ากระบี่และไม่ผิดเลย ที่จะบอกว่าเขาเยี่ยมที่สุดในสำนักใน ข้าคิดว่า ซู เฮิงอาจมีโอกาสเป็นที่หนึ่งใน งานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจวในครั้งนี้แน่ๆ.”
ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งยกย่องพลางลูบเคราของเขา.
ทว่าไม่นานก็มีคนส่งเสียงไม่พอใจอย่างรุนแรง
“มีผู้มีพรสวรรค์ซ่อนอยู่ทุกที่ใน ชิงโจว. นอกเหนือจากสำนักสี่กระบี่อัสนีและสำนักเต๋าเมฆาขาวแล้ว ยังมีสำนักอีกนับหมื่นน้อยใหญ่ใน ชิงโจว. มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือที่จะบอกว่าเขาจะมาเป็นอันดับหนึ่งน่ะ?”
คนที่พูดเป็นชายชราและน้ำเสียงของเขามีความดูถูกเหยียดหยามบ้าง.
หลังจากนั้นทันที ใบหน้าของผู้อาวุโส หมิง เจี้ยน ก็บูดบึ้งเล็กน้อย.
ชายที่กล่าวคนแรกเป็นคู่แข่งของเขาตั้งแต่เขายังเด็ก และพวกเขาถือได้ว่าทะเลาะกันมาตลอดชีวิต.
ทว่าศิษย์ของชายชราคนแรกยังไม่เข้าใจคลื่นของกระบี่ ไม่แปลกที่เขาจะไม่พอใจ.
ผู้อาวุโส หมิง เจี้ยน เหลือบมองเขา.
แต่เขาก็ไม่ได้โกรธ
เขากลับหัวเราะและพูดว่า “ผู้อาวุโสเฉินหยูพูดถูก อาจมีผู้มีพรสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ใน ชิงโจวก็เป็นได้ และอาจมีอัจฉริยะ ยอดเต๋ากระบี่ในสำนักเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบวัน เพียงแค่มองดูรอยกระบี่เผินๆเท่านั้น ศิษย์ที่ด้อยกว่าของข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะคว้าอันดับหนึ่งในงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจวอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสหมิง เจี้ยนพูดอย่างเหน็บแนม.
สีหน้าของเหล่าผู้เฒ่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย.
พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้อาวุโส หมิง เจี้ยน กำลังเยาะเย้ยเขาด้วยการประชดอยู่.
'เข้าถึงขั้นสุดยอดด้วยการมองรอยกระบี่แบบเผินๆงั้นเหรอ?'
คงไม่มีใครเลิศแบบนั้นในสิบแคว้นแน่ๆ ไม่ต้องพูดถึง แคว้นจิน หรือ ชิงโจวเลย.
จะต้องอัจฉริยะขนาดไหนถึงจะทำแบบนั้นได้?
แม้แต่การกลับชาติมาเกิดของเซียนกระบี่ก็อาจจะไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ.
จอมยุทธสี้จือเป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่เก่งที่สุดใน ชิงโจว ซึ่งอยู่ในขั้นจิตเริ่มต้นและสามารถควบแน่นคลื่นกระบี่ขั้นสุดยอดได้. แม้แต่อัจฉริยะที่แท้จริงใน เต๋ากระบี่ก็ต้องใช้เวลาหลายปีในการทำความเข้าใจวิชากระบี่ในรอยกระบี่ของเขา.
กระนั้น, นักพรตหมิง เจี้ยนกลับกล่าวว่ามีคนสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้เพียงแค่มองรอยกระบี่แบบผิวเผินเท่านั้น.
เห็นได้ชัดว่าเขาประชดอยู่.
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้เฒ่าเฉินหยูก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความโกรธ.
ทว่าเมื่อมีรุ่นน้องมากมายอยู่รอบตัว เขาไม่อาจอารมณ์เสียได้ ด้วยเกรงว่าเขาจะขายหน้าตนเอง.
“อย่าทะเลาะกันเลย ศิษย์พี่ ไม่ว่าศิษย์คนไหนมีความสามารถสูงก็ตาม มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับสำนักกระบี่ไต้ยื้ออยู่แล้ว.”
“ทว่าการได้รับอันดับหนึ่งในงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว ย่อมดูเกินจริงไปสักหน่อย. เพราะอย่างไรเสีย มีอัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้นในสำนักสี่กระบี่อัสนี. เจ้าสำนักกล่าวว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องการให้ลูกศิษย์ของเราติดหนึ่งในสิบอันดับแรกในครั้งนี้.”
“ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าทำไม”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสอีกคนก็พูดขึ้น.
ทันใดนั้นเหล่าผู้เฒ่าก็อยากรู้อยากเห็นเพราะพวกเขาไม่ทราบเหตุผลจริงๆ.
แม้ว่าลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไต้ยื้อมักจะทำได้ดีในงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจวในครั้งก่อนๆ แต่เจ้าสำนักดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึงเป็นพิเศษ. เขาถึงกับเชิญจอมยุทธสี้จือให้มาแกะสลักรอยกระบี่ของเขา ซึ่งบอกเป็นนัยว่ามีบางอย่างแปลก ๆ.
ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น
ผู้เฒ่าคนหลังเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ
“งานคราวนี้ ผู้ที่ได้เข้าไปในสิบอันดับแรกจะได้รับตราเข้าสู่เจดีย์กระบี่ไต้ ซวน พวกท่านเข้าใจหรือยัง?”
ทันใดนั้นฝูงชนก็ตกใจ.
“ตราเข้าสู่เจดีย์กระบี่ไต้ ซวน?”
"อ้า! เจดีย์กระบี่ไต้ ซวนจะเปิดอีกครั้งงั้นหรือ?”
“เป็นตราเข้าสู่เจดีย์กระบี่ไต้ ซวนนี่เอง! ถึงว่าล่ะท่านเจ้าสำนักถึงกับใช้เส้นสายเชิญให้จอมยุทธสี้จือมาที่นี่. นี่คือเหตุผลสินะ.”
เหล่าผู้เฒ่าต่างประหลาดใจ
พวกเขารู้ว่าเจดีย์กระบี่ไต้ ซวนเป็นตัวแทนของอะไร.
มันคือสมบัติโบราณของสิบแคว้นทางใต้.
ว่ากันว่ามันถูกบูรณะโดยเซียนกระบี่.
มันบรรจุมรดกและความรู้ของเซียนกระบี่เอาไว้. ตราบใดที่ศิษย์ของเชื้อสายเต๋ากระบี่ได้เข้าไป พวกเขาจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากมันอย่างแน่นอน.
หอคอยกระบี่นั้นมีทั้งหมด 91 ชั้น แต่ละชั้นได้รับการปกป้องโดยผู้เฝ้าประตู ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งได้รับรางวัลมากขึ้นเท่านั้น.
จะต้องมีตราเจดีย์กระบี่ไท่ซวนจึงจะเข้าไปได้.
โดยปกติแล้ว ตราเจดีย์กระบี่ไท่ซวนนั้นมีค่าอย่างยิ่ง
ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าตราเจดีย์กระบี่ไท่ซวนจะนำมามอบให้กับผู้เข้ารอบสิบอันดับของงานรวมตัวเต๋ากระบี่ชิงโจว มันค่อนข้างน่าประหลาดใจนัก.
“ใช่แล้ว เจดีย์กระบี่ไต้ ซวนได้เปิดให้เข้าอีกครั้งและครั้งนี้มีตราทั้งหมด365ตรา. สิบตราได้แบ่งปันมาให้ที่ชิงโจวและตราทั้งสิบนี้จะมอบให้กับผู้เข้ารอบสิบอันดับแรกของงานรวมตัวเต๋ากระบี่ ดังนั้นจงสอนลูกศิษย์ของท่านให้ดีในช่วงเวลานี้”
“หากศิษย์ของสำนักเล็ก ๆ ได้รับตราแทนลูกศิษย์ของเรา นั่นคงเป็นเรื่องน่าอายไม่น้อย.”
อีกฝ่ายพูดพลางยิ้ม.
คนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มอย่างไม่แยแสเช่นกัน.
ทว่าพวกเขาทั้งหมดเข้าใจดีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย.
สำนักใหญ่นั้นไม่ได้ใหญ่เพียงเพราะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเดียว แต่เป็นเพราะทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ด้วย.
สำนักเล็กๆ จะทำอะไรได้ต่อให้มีอัจฉริยะไร้ผู้ใดเทียบเคียงก็ตาม?
จะมีใครหน้าไหนมันเก่งพอจะเข้าใจวิชากระบี่นับร้อยจากรอยกระบี่กัน?
ไม่มีหรอก. โลกนี้น่ะมันจะไปมีอัจฉริยะยอดเต๋ากระบี่อยู่ได้ยังไงกัน?