ตอนที่ 8 เจ้านั่นเหรอ? เจ้านั่นเรียนเต๋ากระบี่ไม่ได้เรื่องหรอก
ในสำนักชิงหยุนเต๋า
ที่หน้าผาด้านหลัง.
เย่ปิงนั่งบนพื้นอย่างเงียบ ๆ โดยจับจ้องไปที่รอยกระบี่ที่ซูชางหยูทิ้งไว้
สองชั่วโมงที่แล้วเขายังไม่รู้อะไรเลย
ทว่าสองชั่วโมงต่อมา สายลมพัดเบาๆ และเย่ปิงก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ.
รอยกระบี่นั้นคมและให้ความรู้สึกที่ดื้อรั้น ราวกับว่ามันถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยนักกระบี่ที่ยอดเยี่ยมหาเทียบได้ นอกจากนี้ยังมีคลื่นกระบี่ที่ยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าถึง.
ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกหนาวสั่นในจิตใจ
ในท้ายที่สุด ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเย่ปิง
นักพรตเต๋าคนนั้นถือกระบี่ยาวและกำลังฝึกท่ากระบี่อยู่.
ใช่ เขากำลังฝึกวิชากระบี่
บูม!
มันดังก้องเหมือนสายฟ้าและสะเทือนเหมือนระฆัง
ร่างในใจของเขาชัดเจนขึ้น
ร่างนี้แสดงการเคลื่อนไหวของกระบี่ ซึ่งแต่ละท่าทำให้เย่ปิงรู้สึกถึงการตื่นรู้ ราวกับว่าเขากำลังฝึกกระบี่ด้วยตัวเอง.
การเคลื่อนไหวของกระบี่ของเขารวดเร็วและดุร้ายราวกับพายุ
มีทั้งหมดสิบสองกระบวนท่าในชุดนั้น และแต่ละกระบวนท่าทั้งสามจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ราวกับว่ามันเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะกระบี่สี่ชุด.
การเคลื่อนไหวทั้งสิบสองนั้นแสดงออกมาอย่างหมดจดในใจของเขา.
มันไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง.
หนึ่งครั้ง! ห้าครั้ง! สิบครั้ง! ห้าสิบครั้ง! ร้อยครั้ง!
การเคลื่อนไหวของกระบี่ถูกแสดงเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ก่อนหน้านี้ ต้องใช้เวลาถึงสิบสองครั้งในการแสดงทั้งฉากหนึ่งครั้ง แต่ค่อยๆ ลดลงเหลือหก สาม และสุดท้ายหนึ่งลมหายใจหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง.
แต่ละครั้งจะรู้สึกเหมือนกับว่าเย่ปิงกำลังฝึกกระบี่ด้วยตัวเอง และรู้สึกน่ากลัวยิ่งกว่าการตื่นรู้.
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของกระบี่ในใจของเขาเพิ่มขึ้นจาก 12... เป็น 15... และจากนั้นเป็น 20 กระบวนท่าของกระบี่...
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างต่อเนื่องแล้ว เย่ปิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ.
“พี่ใหญ่เป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่หาเทียบได้”
เย่ปิงรู้สึกปั่นป่วนอย่างมากหลังจากการครุ่นคิด.
หลังจากดูรอยกระบี่เป็นเวลาสามชั่วโมง เขาก็ได้รับวิชากระบี่แล้ว.
นั่นทำให้เย่ปิงเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าซูชางหยูเป็นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมหาเทียบได้.
ทว่าเย่ปิงก็สงบสติอารมณ์ลงในไม่ช้า.
เขากลับมาสงบสติอารมณ์อีกครั้ง.
“เย่ปิง อย่าตื่นเต้นเกินไป นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้าเกรงว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจวิชากระบี่ได้มากขึ้นในภายหน้า”
เย่ปิงแอบบอกตัวเอง.
เขาเตือนตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นจนเกินไปและทำใจให้สงบเพราะมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น.
หลังจากเตือนตัวเองแล้ว เย่ปิงก็ใจเย็นมากกว่าเดิม.
ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสนใจการเรียนรู้มากขึ้นด้วย.
พูดตามตรง ก่อนที่จะเข้าใจการเคลื่อนไหวของกระบี่ เย่ปิงยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยว่าซูชางหยูกำลังหลอกลวงเขา แต่ตอนนี้เขาเชื่ออย่างสมบูรณ์ว่าพี่ชายของเขาเป็นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมหาเทียบได้อย่างแน่นอน.
ด้วยเหตุนี้ เย่ปิงจึงมีความเอาใจใส่และขยันมากขึ้นกว่าเดิมมาก.
ในเวลาเดียวกัน ในพื้นที่อื่นของสำนักชิงหยุนเต๋า ซู ชางหยู กำลังฝึกกระบี่ยาวของเขาในพื้นที่เปิดโล่ง.
แม้ว่าการเคลื่อนไหวของกระบี่จะดูเฉียบคม แต่เขาก็ขาดพลังที่รุนแรง หลังจากฝึกฝนท่าทั้งหมดแล้ว แม้แต่คนที่แทบไม่รู้เรื่องกระบี่มากนักก็ยังสามารถมองเห็นข้อบกพร่องบางอย่างในทักษะของเขาได้.
หลังจากเวลาผ่านไปจนธูปมอด ซูชางหยูก็หยิบกระบี่ออกไป.
หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเขาแล้ว ซู ชางหยูไม่ได้นั่งบนพื้นเพื่อพักผ่อน และเดินไปตาม่านเพื่อฟื้นฟูพลังกายแทน.
“พี่ใหญ่ ท่านฝึกฝนกระบวนท่ากระบี่ชุดนี้มาสิบปีแล้ว ทำไมท่านถึงยังไม่ประสบความสำเร็จล่ะ?” น้องสาวตัวน้อยของสำนักชิงหยุนเต๋า เฉินหลิงโหรวถามออกไป.
เธอมองซูชางหยูด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น.
“น้องเล็ก เจ้าดูแค่ผิวเผินเกินไปแล้ว”
ซู ชางหยู ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วพูดช้าๆ ดูลึกลับ
“ข้าดูแค่ผิวเผินอย่างไร?”
เฉิน หลิงโหรวอยากรู้อยากเห็น และเธอไม่รู้ว่าทำไม ซู ชางหยู ถึงพูดแบบนั้น.
“น้องสาวตัวน้อย วิชากระบี่ชุดนี้ไม่ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันในชื่อวิชาสี่กระบี่อัสนี ซึ่งติดอันดับต้นๆในสิบอันดับของวิชากระบี่ในชิงโจว”
“มันมีวิชาทั้งหมดสี่วิชาที่ประกอบขึ้นจนเป็นวิชากระบี่ชุดนี้ ได้แก่ กระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิ กระบี่อัสนีฤดูร้อน กระบี่อัสนีฤดูใบไม้ร่วง และกระบี่อัสนีฤดูหนาว”
“หากเจ้าเชี่ยวชาญวิชากระบี่ทั้งสี่ชุดนี้ เจ้าจะสามารถดึงสายฟ้าของทั้งสี่ฤดูกาลซึ่งมีผลร้ายกับปีศาจได้. เมื่อก่อน, นักพรตเต๋าสี้จืออาศัยวิชากระบี่ชุดนี้เพื่อสร้างชื่อเสียงในชิงโจว ท่านคือคนที่สร้างวิชาสี่กระบี่อัสนีนี้ เจ้ารู้หรือไม่”
ซู ชางหยู ให้ความรู้แก่เธออย่างจริงจัง และเขาก็พูดไปเรื่อยเมื่อเขาพูดถึงวิชากระบี่ชุดนั้น ราวกับว่าเขากระตือรือร้นที่จะยกย่องมันอย่างไม่สิ้นสุด.
“วิชาสี่กระบี่อัสนี?”
เฉิน หลิงโหรวไม่รู้เรื่องกระบี่มากนัก แต่เธอรู้สึกว่ามันฟังดูเท่.
“พี่ใหญ่ ท่านฝึกไปจนถึงชุดไหนแล้วคะ”
เฉินหลิงโหรวถาม.
“ข้าฝึกฝนวิชากระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิจนถึงขั้นยอดเยี่ยมแล้ว”
ซู ชางหยู ตอบอย่างภาคภูมิใจ.
“ท่านเพิ่งถึงแค่วิชากระบี่ฤดูใบไม้ผลิเองหรือ?”
น่าเสียดายที่น้องสาวของซู ชางหยูไม่ได้ให้โอกาสเขาหลอกเลย.
“น้องสาวตัวน้อย เจ้าไม่เข้าใจหรอก เพราะเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ นักพรตเต๋าสี้จือ ทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณของเขาในการสร้างวิชาสี่กระบี่อัสนีนี้”
“นักพรตเต๋าสี้จือ เคยกล่าวไว้ว่าผู้ฝึกเต๋ากระบี่ธรรมดาอาจไม่สามารถฝึกมันให้สมบูรณ์แบบได้เลยด้วยซ้ำ ต่อให้ฝึกฝนมา 500 ปีก็ตาม. แม้แต่อัจฉริยะในเต๋ากระบี่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี ข้าไม่ได้พยายามที่จะคุยโว แต่ข้าเป็นอัจฉริยะใน เต๋ากระบี่เลยนา”
“มีผู้ฝึกเต๋ากระบี่มากมายในรุ่นเดียวกับข้า ข้าอาจจะยังอยู่ในขั้นกระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิ แต่ความก้าวหน้าของข้าก็ถือว่าเป็นหนึ่งในยอดคนแห่งชิงโจว”
ซู ชางหยู ยกย่องตัวเองอย่างจริงจัง.
“นอกจากนี้ พลังของกระบี่ยังแบ่งออกเป็นสี่ขั้นเล็กๆอีกด้วย. ขั้นเริ่มต้น, ขั้นยอดเยี่ยม, ขั้นชำนาญและขั้นสุดยอด”
“ข้าใช้เวลาเพียงแค่ 10 ปีในการไปถึงขั้นยอดเยี่ยม.ข้ามั่นใจว่าข้าจะไปถึงขั้นชำนาญได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปีแน่. ภายในร้อยปี ข้าจะไปถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะรู้ว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน”
ซู ชางหยู ดูมั่นใจมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับภายหน้า.
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก” เฉิงหลิงโหรวส่ายหัว เธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เพราะมันน่าปวดหัวเกินไป.
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าท่านทิ้งรอยกระบี่ไว้ให้น้องเล็กได้ทำความเข้าใจ เขาจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเข้าใจกระบวนท่าของกระบี่และคลื่นของกระบี่คะ?”
เฉินหลิงโหรวถามอย่างสงสัย
ซู ชางหยู ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง.
'เขาต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทำความเข้าใจ?'
'เขาจะไม่มีวันเข้าใจมัน'
'ไม่มีคลื่นกระบี่อยู่ในรอยกระบี่ที่ข้าทิ้งไว้ข้างหลัง จะไปมีอะไรให้เข้าใจล่ะ?'
ทว่าซู ชางหยู ไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกมาดังๆ ได้ เพราะคนอื่นจะพบว่าเขาเป็นคนไร้ค่าในวิชาเต๋ากระบี่.
ดังนั้น ซูชางหยู่จึงอธิบายให้เธอฟังอย่างช้าๆ
“รอยกระบี่ที่ข้าทิ้งไว้ให้เขานั้นมีวิชากระบี่สี่แบบ ถ้าเขาสามารถเข้าใจวิชากระบี่ของข้าได้ภายในหนึ่งปี ก็จะถือว่าเป็นเรื่องโม้เหม็นทั้งเพ. ส่วนเรื่องคลื่นกระบี่มันยากที่จะพูดแบบเดียวกันเลยล่ะ.”
ซูชางหยูกล่าว
ถ้า เย่ ปิงเป็นอัจฉริยะจริงๆ เขาก็สามารถเข้าใจวิชากระบี่ของ นักพรตเต๋าสี้จือ ได้อย่างแน่นอน.
ทว่าเขาทำได้เพียงฝันถึงคลื่นของกระบี่เท่านั้น
“จะเป็นอย่างไรถ้าเขาสามารถเข้าใจมันได้ภายในวันเดียว”
เฉินหลิงโหรวถามอย่างสงสัย.
เข้าใจในวันเดียว?
ซู ชางหยูเหลือบมองที่เฉินหลิงโหรว แล้วส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มีเพียงอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมหาเทียบได้เท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้”
น้ำเสียงของเขามั่นใจมาก.
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่เพียงแต่เข้าใจวิชากระบี่ แต่ยังเข้าใจคลื่นของกระบี่ด้วย?”
เฉินหลิงโหรวถาม.
ซู ชางหยู รู้สึกสับสน.
'เจ้าเบื่อมากเลยเหรอ? ทำไมเจ้าถึงถามคำถามที่น่าปวดหัวเช่นนี้?'
ทว่าเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าเฉินหลิงโหรวเป็นน้องสาวของเขาแล้ว ซูชางหยูยังคงตอบเธออย่างอดทน.
“อัจฉริยะจะสามารถเข้าใจวิชากระบี่ได้ด้วยรอยกระบี่ แต่ถ้าเขาสามารถเข้าใจคลื่นของกระบี่ได้พร้อมกันแล้วล่ะก็ เขาจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งที่สุดในเต๋ากระบี่แห่งชิงโจวเลยล่ะ”
ซู ชางหยู ได้ตอบกลับ
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาสามารถเข้าใจคลื่นกระบี่นับร้อยในรอยกระบี่เพียงอันเดียว?”
เฉินหลิงโหรวตกใจมาก เธอไม่ได้ถามคำถามแบบสุ่มๆ แต่เธอสงสัยเพราะมันฟังดูเท่.
“หลายร้อยเลยเหรอ? เขาจะเป็นนักกระบี่ที่เก่งที่สุดใน ชิงโจว ซึ่งแม้แต่นักพรตเต๋าสี้จือ ก็ยังต้องก้มหัวให้เลยล่ะ.”
ซู ชางหยู ตอบด้วยความอดทนสูงสุด.
“แล้วถ้าหลายพันล่ะ?”
เฉินหลิงโหรวถาม
“เขาจะเป็นคนที่เก่งที่สุดใน แคว้นจินอย่างไม่มีข้อสงสัยแน่”
ซูชางหยูตอบอย่างตรงไปตรงมา.
“แล้วหมื่นล่ะ?”
เฉิน หลิงโหรวยังคงถามต่อ
ซู ชางหยู พูดไม่ออก
'เจ้าพอแล้วหรือยัง?'
“น้องเอ้ย เอาเช่นนี้แล้วกันนะ”
“มีข่าวลือว่าในมรดกสืบทอดวิชาเต๋ากระบี่ วิชากระบี่เป็นเพียงรองและคลื่นกระบี่เป็นกุญแจสำคัญ คลื่นของกระบี่จำนวนมากสามารถเปลี่ยนความเสื่อมโทรมให้กลายเป็นมนตร์วิเศษได้ แม้แต่การแทงกระบี่เพียงครั้งเดียวก็น่ากลัวแล้ว”
“ใน เต๋ากระบี่ของข้า มีคลื่นกระบี่อยู่สามขั้น ขั้นแรกคือคลื่นกระบี่อันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นจำนวนที่อธิบายไม่ได้ หากผู้ฝึกตน ขั้นขัดเกลาพลังปราณ มาถึงขั้นนี้ การเคลื่อนไหวของกระบี่แต่ละครั้งจะทำให้พวกเขาสามารถข้ามมิติหลายแห่งเพื่อสังหารศัตรูได้เลยล่ะ”
“สำหรับขั้นที่สองนั้น มันอยู่ไกลจากเรามาก ดังนั้นข้าจะไม่พูดถึงมันแล้วกัน ทว่าเจ้าต้องไม่ดูถูกขั้นนี้ ข้าแน่ใจว่าเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับนักพรตเต๋าสี้จือ ใช่ไหม”
“เขาเป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่เก่งที่สุดใน ชิงโจว และตอนนี้เขาอายุมากกว่า 500 ปีแล้ว แต่เขายังไปไม่ถึงขั้นแรกเลยด้วยซ้ำ มียอดฝีมือเพียงผู้เดียวจากในสิบแคว้นเท่านั้นที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นนั้นได้ในช่วงอายุ 3,000 ปีของเขา. เขาเป็นที่รู้จักในเซียนกระบี่ ไท่สือ ผู้ที่ได้รับการยกย่องจาก10 แคว้น”
“ดังนั้น จุดสำคัญของยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่แท้จริงไม่ใช่ความเข้าใจในวิชากระบี่แต่เป็นคลื่นของกระบี่ต่างหาก.”
ซู ชางหยู บรรยายยาวๆ.
เฉิน หลิงโหรว รู้สึกสับสน ส่วนใหญ่เป็นเพราะฉากนั้นซับซ้อนเกินไป.
ทว่ามันฟังดูเท่
“พูดสั้นๆคือ ยิ่งมีความเข้าใจคลื่นกระบี่มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนับหมื่นหรือหลายแสนหรือต่อให้เป็นคลื่นกระบี่นับล้าน เป้าหมายก็คือคลื่นของกระบี่อันไร้ที่สิ้นสุดหากทำได้ ก็จะบรรลุเต๋ากระบี่ที่ไร้เทียมทาน.”
ซูชางหยูลูบหัวเฉินหลิงโหรวขณะที่เขาพูด.
“เข้าใจแล้ว.. แล้วน้องเล็กของเราล่ะ?”
เฉิน หลิงโหรวยังคงถามต่อไป โดยดูค่อนข้างสงสัย.
ในสำนักชิงหยุนเต๋าทั้งหมด เฉินหลิงโหรวสนใจเย่ปิงมากที่สุด เพราะยังไงเสียเธออายุน้อยที่สุดและมีความอาวุโสน้อยที่สุดเสมอ ในที่สุดตอนนี้เธอก็มีน้องชายแล้ว เธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความคาดหวังโดยธรรมชาติ.
"เขารึ?"
ซู ชางหยู มองท้องฟ้าด้วยความภาคภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก.
จากนั้นเขาก็พูดช้าๆ “เจ้านั่นน่ะคงเรียนเต๋ากระบี่ไม่ได้เรื่องหรอก.”
ซู ชางหยู่มีสายตาที่สงบนิ่ง.
ในตอนนั้นเอง เย่ปิงซึ่งอยู่ที่หน้าผาด้านหลังได้เข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีเสียแล้ว...