ตอนที่ 7 ตัดทุกสิ่งด้วยกระบี่เล่มเดียว
ซู ชางหยู ตกตะลึงงันไป.
เขาเริ่มฝึกเต๋ากระบี่เมื่อ 20 ปีที่แล้วตั้งแต่เขาอายุแปดขวบและผู้ฝึกเต๋ากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาทำได้เพียงแยกก้อนหินด้วยกระบี่ของเขาเท่านั้น.
'ตัดทุกสิ่งในใต้หล้าด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวเหรอ?'
'เขาแสร้งทำตัวให้เท่'
เขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงการตัดตะวัน จันทราและดาราด้วยกระบี่เลย
'อวดดี'
'อวดดีมากๆ'
'ดี ดีมาก ยอดเยี่ยม'
'พูดได้ดี. ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว'
หลังจากแอบตะลึงอยู่เบาๆ สีหน้าของซู ชางหยู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เขาฟื้นคืนความสงบและมองไปที่เย่ปิงอีกครั้ง.
'น้องชายตัวน้อยของข้าคนนี้ก็เหมือนกับข้าอย่างชัดเจน'
'เขาเก่งพอๆ กับข้าเรื่องที่แสร้งทำเป็นเท่เลย.'
ทว่านั่นไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา
หากมีจะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้แกล้งทำตัวเป็นเท่ในสำนักชิงหยุนเต๋า ก็ต้องเป็นเขา.
“น้องชาย เส้นทางแห่งการฝึกตนนั้นเกี่ยวกับความมั่นคง เจ้าทะเยอทะยานมากเกินไปแล้ว”
ซู ชางหยู กล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ
ในขณะนั้น เย่ปิงก็ก้มหน้าลงต่ำทันที เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสับสนเล็กน้อย.
“นั่นเป็นเพียงคำพูดธรรมดาๆ โปรดอย่าถือสามันเลยขอรับ. ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้วขอรับท่านพี่.”
เย่ปิงมีความกังวลเล็กน้อย ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะได้รับคำชมสำหรับสิ่งที่เขาพูด แต่เขาไม่คิดเลยว่าพี่ชายจะตำหนิเขา
เย่ปิงตระหนักรู้อย่างกะทันหัน
ในสายตาของซู ชางหยู เขาเป็นเพียงศิษย์ใหม่ธรรมดาๆ ของสำนักที่เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรู้มากพอที่จะแสดงความคิดเห็นเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงได้พ่นเรื่องไร้สาระออกไปแล้วจริงๆ
ทว่าคำพูดเหล่านั้นทำให้ซู ชางหยู ส่ายหัว
“นั่นไม่จำเป็น ข้าเข้าใจว่าเจ้าทะเยอทะยาน แต่ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาความมั่นคงไว้และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งได้. ในภายหน้าหากมีการตื่นรู้ใด ๆ ก็สามารถบอกข้าได้ แต่อย่าบอกคนนอก มิฉะนั้นเจ้าจะเดือดร้อน เข้าใจนะ?”
ซูชางหยูกล่าว
‘เจ้าพูดคำที่เท่แบบนั้นให้ข้าได้อย่างไร? ถ้าเจ้าไม่พูดคำที่เท่กับข้า ข้าจะคุยโม้และแกล้งหลอกเจ้าต่อไปในภายหน้าได้อย่างไรล่ะเห้ย?’
'แต่ข้าจะเป็นคนเดียวที่เจ้าสามารถพูดด้วยได้'
ซู ชางหยู คิดในใจ
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเก่งแค่ไหน ตอนนี้ ข้าจะสอน เต๋ากระบี่ของจริงให้กับเจ้า”
ในไม่ช้า ซูชางหยูก็หยุดทำเสียเวลา.
เขาค่อยๆ กระโดดลงจากก้อนหิน ดูอ่อนโยนและว่องไว
เย่ปิงรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น
'เต๋ากระบี่ของจริงงั้นหรือ?'
'มันเป็นเต๋ากระบี่ที่ไร้เทียมทานงั้นหรอ?'
เย่ปิงรู้สึกกระวนกระวายใจ
เขาดีใจและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ในทางกลับกัน ซู ชางหยู่ไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระใดๆ ออกมาเลย เขาจับกระบี่สีเขียวยาวสิบชุ่นออกมา จากนั้นจ้องมองไปที่พื้นก่อนที่จะหลับตาและนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน.
หลังจากที่ธูปไหม้หมด ซูชางหยูก็สร้างรอยยาวบนพื้นด้วยกระบี่ของเขา
ทันใดนั้น เศษหินก็กระจัดกระจายไปทั่วและมีรอยยาวตรงปรากฏขึ้นบนพื้น.
ฮู้ว!
ซูชางหยูหายใจออก
จากนั้นเขาก็มองไปที่เย่ปิงและพูดช้าๆ “เย่ปิง ข้าได้สลักคลื่นกระบี่ที่ยอดเยี่ยมลงบนพื้นนี่แล้ว อย่าดูถูกรอยกระบี่นี้ เพราะมันเป็นรอยของท่ากระบี่ที่ดีที่สุดของข้า”
“ตอนนี้ ลองดูให้ดีแล้วดูว่ามีกระบวนท่ากระบี่กี่กระบวนตามรอยกระบี่นี้ ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่และจ้องมองที่รอยกระบี่นอกเหนือจากการทำกิจวัตรประจำวันของเจ้า ไม่เพียงแต่เจ้าต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวของกระบี่เท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น เจ้าต้องเข้าใจพลังและคลื่นของกระบี่ให้ได้ด้วย ข้าจะมาทดสอบเจ้าในเจ็ดวันและดูว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านกระบี่หรือไม่”
ซูชางหยูกล่าว
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หันหลังกลับเพื่อจากไปโดยไม่ลังเล ทำให้เย่ปิงตกตะลึง.
ซูชางหยูจากไป
เขาออกจากหน้าผาไปแล้ว
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เขาไม่สามารถปกปิดได้
เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขาได้รับคำโอ้อวดมาใหม่.นอกเหนือจากการหลอกลวงเย่ปิงได้สำเร็จ.
ซู ชางหยู ดีใจเนื้อเต้นมาก.
ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวของกระบี่นั้น...
เขาเพียงแค่ทำรอยบนพื้นด้วยกระบี่ของเขาแบบมั่วๆ. คงแปลกมากแน่ ถ้าเขาสามารถบอกได้ว่ามีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง.
แล้วพลังของกระบี่กับคลื่นของกระบี่ล่ะ?
นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกเลย ถ้าเย่ปิงบอกว่าเขาสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวของกระบี่ได้ นั่นก็ค่อนข้างเป็นไปได้ เพราะยังไงเสียเขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร.
ทว่าการทำความเข้าใจพลังของกระบี่และคลื่นของกระบี่นั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว.
คลื่นกระบี่คืออะไร?
พลังของกระบี่อาจมีในจำนวนที่จำกัด แต่คลื่นของกระบี่นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ยอดฝีมือที่แท้จริงของ เต๋ากระบี่จะสร้างคลื่นกระบี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ยิ่งมีคลื่นกระบี่มากเท่าไร เต๋ากระบี่ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คลื่นกระบี่นั้นคล้ายคลึงกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของกระบี่ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมีได้.
ดังนั้น เย่ ปิงจึงไม่สามารถเข้าใจคลื่นของกระบี่ได้
ซูชางหยูทำอย่างนั้นเพียงเพื่อรั้งเย่ปิงไว้
แม้แต่สำนัก เต๋ากระบี่ ที่ดีที่สุดใน ชิงโจว ก็ไม่ยอมให้ศิษย์ใหม่เข้าใจคลื่นของกระบี่หรอก.
วิธีแก้ปัญหาแบบนั้นมีไว้เพื่อหลอกลวงแต่มันเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเขา.
พูดตามตรง เขารู้สึกเขินอายกับทักษะที่ไม่ได้เรื่องของเขา เขาจะมีหน้าไปถ่ายทอดวิชากระบี่ให้เย่ปิงได้อย่างไร?
มีแนวโน้มว่าจะทำให้เขาเดินทางผิด.
ดังนั้นแทนที่จะสอนเขาในสิ่งที่ผิด เขาอาจจะให้เย่ปิงทำบางอย่างเพื่อคลายความเบื่อ อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะไม่พาเขาหลงทาง.
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูชางหยูก็รู้สึกผิดน้อยลงมาก.
ในตอนนั้นเองมีร่างหนึ่งเดินเข้ามา
มันคือน้องชายของเขา ซู ลั่วเฉิน.
ซูชางหยูหยุดยิ้มทันทีและทักทายซู ลั่วเฉิน
“น้องรอง”
ซูชางหยูกล่าว.
หลังจากได้ยินเสียงของเขา คนรองก็มองไปที่ซูชางหยูทันที
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?”
ซู่ลั่วเฉินสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมซูชางหยูถึงเรียกเขา.
“น้องรอง เจ้ารู้ไหมว่า เต๋ากระบี่นั้นแข็งแกร่งแค่ไหน?”
ซู ฉางหยู ถาม ซู ลั่วเฉิน.
ลั่วเฉินตัวแข็งเล็กน้อยและเกาหลังศีรษะด้วยความสับสน
'ความแข็งแกร่งของยอดเต๋ากระบี่มันเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร?'
'ข้าไม่ได้ฝึกฝนวิชากระบี่ ข้าสกัดเม็ดยานะ!'
ทว่าเนื่องจากซู ชางหยู เป็นคนถาม, ซู ลั่วเฉิน จึงต้องตอบเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้”
ซู ชางหยู พูดอย่างใจเย็นทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของเขา “ข้าจะบอกเจ้าวันนี้ ที่สุดของเต๋ากระบี่ที่แท้จริงคือการตัดผ่านตะวัน จันทราและดาราต่างๆได้ด้วยใบหญ้าเพียงใบเดียว”
ซู ชางหยู อธิบายด้วยสีหน้าไม่แยแสและน้ำเสียงที่เย็นชาและเย่อหยิ่ง.
ซู ลั่วเฉิน อดไม่ได้ที่จะตะลึง
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเต๋ากระบี่แต่คำพูดเหล่านั้นก็น่าตกตะลึง
เมื่อประกอบกับรูปลักษณ์ของซูชางหยูแล้ว เขาค่อนข้างรู้สึกนับถือมัน.
นอกจากนั้น มีฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของ ซู ลั่วเฉินด้วย.
ในฉากนั้น ซู ชางหยู กำลังจับใบหญ้าและฟันดวงดาวบนท้องฟ้า.
ซูลั่วเฉินร้องออกมา.
เมื่อนึกถึงฉากนี้ ซูลั่วเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
'นี่มันโม้กันชัดๆ'
ซู ลั่วเฉิน ตกตะลึง.
เขาไม่สามารถหลุดพ้นจากจินตนาการของเขาได้
ในทางกลับกัน ซู ชางหยู รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการแสดงออกนั้นบนใบหน้าของน้องชายของเขา.
'สุดยอด! มหัศจรรย์! สุดยอด!'
ทว่ามารยาทที่ดีของเขาทำให้ซูชางหยูสามารถรักษาความเท่ของเขาได้.
ซูชางหยูจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทิ้งซูลั่วเฉินที่ตกตะลึงไว้เบื้องหลัง.
เวลาอันยาวนานผ่านไป
ในที่สุด ซูลั่วเฉินก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง แต่ซู ชางหยูก็ไม่อยู่แล้ว.
“พี่ใหญ่เริ่มเก่งด้านการทำตัวให้เท่ขึ้นเรื่อยๆแล้ว หากข้าไม่รู้ก่อนหน้านี้ว่าเขาไร้ความสามารถใน เต๋ากระบี่ข้าเกือบจะเชื่อเขาแล้วด้วยซ้ำ”
“ทว่าคำพูดเหล่านั้นช่างโม้เหม็นจริงๆ ตัดผ่านตะวัน จันทราและดาราด้วยหญ้าเพียงใบเดียว”
ซู ลั่วเฉิน พึมพำกับตัวเองด้วยแววตาตกใจ เพราะยังไงเสียคำพูดเหล่านั้นฟังดูเท่
สำหรับเย่ปิง เขาไม่สงสัยคำพูดของซูชางหยูเลยจริงๆ
เย่ปิงกังวลเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยฝึกฝนวิชากระบี่มาก่อน และอาจไม่สามารถบอกอะไรได้แม้จะผ่านไปเจ็ดวันแล้วก็ตาม
ทว่าถึงอย่างนั้น เย่ปิงก็ยังคงจ้องมองไปที่รอยกระบี่ที่อยู่บนพื้น
'เราจะรู้ได้ไงว่าเรามีความสามารถหรือไม่ถ้าเราไม่ลองดู?'
ดังนั้น เย่ปิงจึงจ้องไปที่รอยกระบี่บนพื้นเป็นเวลาสองชั่วโมง
พูดตามตรง เย่ปิงไม่เข้าใจอะไรเลยในช่วงสองชั่วโมงนั้น
ในที่สุดเขาก็รู้สึกกระสับกระส่าย.
ทว่าในตอนนั้นเอง เมื่อสายลมพัดผ่าน เย่ปิงก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
ในช่วงเวลาต่อมา เมื่อเขามองไปที่รอยกระบี่อีกครั้ง ความเข้าใจใหม่ก็เกิดขึ้น