ตอนที่ 25 พี่ชายข้าเป็นคนสอน
“แม่นางเพ่ย ทำไมเจ้าส่งคำตอบเร็วจัง?ข้ายังไม่มีเวลาส่งคำตอบให้เจ้าเลยนะ”
“ไม่ต้อง ข้าเขียนเสร็จแล้ว”
“หะ?”เฟิงหยูเตี๋ยมองนางด้วยความชื่นชมและเริ่มประจบนาง”แม่นางเพ่ย เจ้าสุดยอดจัง เจ้าตอบคำถามที่ยากแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?’
เสี่ยวเทียนที่ลอยข้างเฟิงหยูเตี๋ยพูด“หยูเตี๋ย ที่นางเขียนนั้นเหมือนที่ข้าอ่านเจ้าให้ไม่มีผิดเลย”
“หะ?”
เหมือนเป๊ะ?
ขณะที่เฟิงหยูเตี่ยกำลังสงสัย มือเหี่ยวสองข้างก็พลันวางบนไหล่นางกับเพ่ยเหลียนเสวี่ย และหวังเส้าเหรินก็ปรากฏ
“เจ้าสองคน..”
“อา ผู้อาวุโสหวัง”เฟิงหยูเตี๋ยยิ้มและถาม“เราจะไปไหนกันต่อ?”
หวังเส้าเหรินกัดฟัน“ข้าเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือไงตอนเข้าโถงทดสอบว่าห้ามโกง ไม่งั้นจะโดนตัดสิทธิ์?”
“อา?”เฟิงหยูเตี๋ยหดคอ“แต่เราไม่ได้โกง..”
“งั้นทำไมเจ้ากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยถึงตอบเหมือนกัน?!ท่านฉีโกรธมากและอยากใช้หมอซักถามกับเจ้า!”
พอได้ยิน เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ผงะ
นางเขียนมันตามที่พี่ชายเคยสอนนางไม่ใช่เหรอ?ทำไมเฟิงหยูเตี๋ยถึงตอบเหมือนนาง?
เป็นไปได้ไหมว่าพี่ชายนางจะให้คำตอบแก่เฟิงหยูเตี๋ยด้วย?แต่ตอนไหน?พวกเขาใช้เวลาด้วยกันตอนไหน?
“ผู้อาวุโสหวัง เราไม่ได้โกงจริงๆ”เฟิงหยูเตี๋ยป้องกันตัวเองกับเพ่ยเหลียนเสวี่ย
‘ความจริงคือ เจ้าโกง ส่วนเพ่ยเหลียนเสวี่ยไม่ได้โกง’เสี่ยวเทียนถอนหายใจ’เจ้าพึ่งพาข้าเพื่อตอบคำถาม ส่วนนางเขียนเอง แม้ข้าจะไม่รู้ว่านางทำได้ไงก็เถอะ’
พอเห็นสีหน้าของเฟิงหยูเตี๋ย หวังเส้าเหรินก็หยุด จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามเพ่ยเหลียนเสวี่ย“ยัยหนูเพ่ย เจ้าแน่ใจนะว่านางไม่ได้ให้คำตอบเจ้า?”
“ไม่แน่นอน”เพ่ยเหลียนเสวี่ยตอบ
“ขอข้าเตือนเจ้าไว้ก่อน เจ้าไม่สามารถโกหกได้ต่อหน้าหม้อซักถามนะ”หวังเส้าเหรินขมวดคิ้วและถามใหม่“เจ้าโกงหรือไม่?”
“ไม่แน่นอน!ข้าเขียนมันด้วยตัวข้าเอง”
“อืม..”หวังเส้าเหรินพ่นลมหายใจและพยักหน้า“เอาล่ะ เจ้าสองคนจำไว้ว่าต้องพูดความจริงต่อหน้าหม้อซักถาม ห้ามโกหกเด็ดขาด”
ทั้งสองพยักหน้าและหวังเส้าเหรินก็พาทั้งสองกลับไปหาฉีไป่ซือในโถงทดสอบ
ในขณะเดียวกัน ฉีไป่ซือก็ได้เตรียมหม้อไว้แล้ว
มันเป็นหม้อใหญ่ที่พอจะต้มเพ่ยเหลียนเสวี่ยกับเฟิงหยูเตี๋ยไปพร้อมกัน สลักด้วยลายมังกรขียวที่กำลังเล่นไข่มุก แค่เข้าใกล้มัน ทั้งสองก็รู้สึกถึงความร้อน
“เจ้า ก้าวมายืนข้างหน้าหม้อ”ฉีไป่จื่อมองทั้งสองอย่างเย็นชา และทำท่าให้เพ่ยเหลียนเสวี่ยก้าวมา
“เจ้าค่ะ”เพ่ยเหลียนเสวี่ยกลืนน้ำลายอย่างประหม่า
จากนั้นฉีไป่ซือก็หยิบพู่กันทองด้วยมือขวา และสะบัดแขนเสื้อ หยดหมึกจากปลายพู่กันกระทบลูกตาของมังกรเขียวบนหม้อ
วินาทีต่อมา มังกรเขียวตัวยาวก็บินออกจาหม้อ ขดตัวในอากาศ และหยุดตรงหน้าเพ่ยเหลียนเสวี่ย ดวงตามังกรของมันจับจ้องนาง
เพ่ยเหลียนเสวี่ยรู้สึกว่าตัวนางขยับไม่ได้ และมังกรเขียวก็ค่อยๆขยายใหญ่ต่อหน้านาง ใหญ่จนบดบังดวงตะวัน
เวลานี้ การซักถามเพ่ยเหลียนเสวี่ยสามารถเริ่มได้แล้ว แต่ฉีไป่ซือยังรอเวลา
อำนาจของมังกรไม่ใช่สิ่งที่ใครทั่วไปจะทนได้ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะแก่นแท้บางคนก็ยังขาสั่นต่อหน้ามังกรเขียว ขณะที่ผู้บ่มเพาะก่อตั้งรากฐานส่วนใหญ่จะคุกเข่าลงด้วยความกลัวโดยตรงและอ้อนวอนขอความเมตตา ต้องใช้เวลาหลายวันสภาพจิตใจถึงกลับเป็นปกติ
เขาคิดว่าถ้าเพ่ยเหลียนเสวี่ยทนไม่ได้ นางก็จะยอมรับมันก่อนและช่วยเขาประหยัดหินปราณที่ต้องใช้เพื่อถามมังกร แต่ปฏิกิริยาของนางเหนือความคาดหมาย
ตอนแรก นางแสดงความตื่นตระหนกและความกลัว แต่ก็รีบสะกดมันไป
ความมุ่งมั่นนี้เหนือคนธรรมดา ฉีไป่ซือลูบเครา พยัหกน้าและถาม“เจ้าโกงหรือไม่?”
“ไม่”
ฉีไป่ซือมองมังกร และเห็นว่ามันไม่ตอบสนอง เขาจึงขมวดคิ้วและถามใหม่”งั้น เจ้าคิดคำตอบเองงั้นเหรอ?’
“เปล่า..เจ้าค่ะ”
“เจ้าอ่านมันในตำรา?”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“งั้น เจ้ารู้คำตอบได้ยังไง?”
“คือ..พี่ชายข้าสอนข้า”
หลังตอบประโยคนี้ ใบหน้าของเพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ซีด
ฉีไป่ซือมองมังกร และหลังยืนยันว่านางไม่โกหก เขาก็หยุดถาม เขาสามารถเห็นได้ว่าถ้าเขายังใช้หม้อซักถามนี้กับนางอีก ที่คำถามต่อไป นางอาจหมดสติ
เขาสะบัดแขนเสื้อ มังกรเขียวบินกลับเข้าหม้อไป
หลังมังกรหายไป เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ก้าวถอยหลัง กุมหน้าอกตัวเอง และสูดหายใจลึกหลายทีเพื่อประคองสติ
ฉีไป่ซือเดินไปหานาง”งั้น พี่ชายเจ้าก็เป็นคนสอนเจ้า?’
“เจ้าค่ะ พี่ชายข้าขอให้ข้าจดจำคำตอบไว้”เพ่ยเหลียนเสวี่ยตอบ“แต่ ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจมัน…”
“พี่ชายเจ้าเป็นใคร?”
“พี่ชายข้าชื่อเย่อันผิง”
ฉีไป่ซือตกตะลึง”..แล้วเย่อันผิงเป็นใคร?’
‘พี่ชายของข้า”
“..”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยประหม่ามาก เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นครั้งแรกที่นางได้คุยกับผู้บ่มเพาะวิญญาณแรกก่อตั้ง ดังนั้นหวังเส้าเหรินจึงก้าวมาอธิบาย”นั่นคือนายน้อยแห่งสำนักร้อยดอกบัวขอรับ’
“อิม…”ฉีไป่ซือพยักหน้า จดจำชื่อไว้
หลังคิดสักพัก เขาก็หยิบขวดยยาออกมาและส่งให้เพ่ยเหลียนเสวี่ย
“รับไป ถือเป็นค่าชดเชยจากข้า’
“ผู้อาวุโส ท่านไม่ต้องทำแบบนี้..นี่…”
“เจ้าบรรลุขั้นสมบูรณ์ในอาณาจักรหลอมลมปราณแล้ว และยานี่ก็จะช่วยเจ้าในการก่อตั้งรากฐาน”
ฉีไป่ซือยิ้ม ลูบเคราและสั่น“รับไป หรือเจ้าจะปฏิเสธความจริงใจของข้า?”
“โอ้..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยจ้องขวดยาสักพักและรับมันมา“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ฉีไป่ซือพยัหกน้า จากนั้นก็ตรวจเพ่ยเหลียนเสวี่ยด้วยจิตสัมผัส วางแผนจะชี้แนะการบ่มเพาะนาง แต่ พอเห็นรากปราณนาง เขาก็สับสนหน่อย
‘นี่มันสามรากปราณ น้ำ ไม้และดิน?แต่ทำไมสามรากปราณเหล่านี้ถึงดูแปลก?น้ำกับไม้แข็งแกร่งมากจนข่มดินเอาไว้?’
หลังหยุด ฉีไป่ซือก็ถาม“เจ้ามีสามรากปราณรึ?”
“เจ้าค่ะ ข้ามีรากปราณน้ำ ไม้และดิน”
“เจ้าอายุเท่าไร?”
“..14 กำลังจะ15ในอีกไม่กี่เดือน”
“15 และบรรลุขั้นสมบูรณ์ของหลอมลมปราณแล้ว?”
“เอ่อ…”เพ่ยเหลียนเสวี่ยเม้มปาก สับสนกับคำถามของเขา“เจ้าค่ะ”
“..”
ฉีไป่ซือเงียบ มันหายากที่จะเห็นผู้บ่มเพาะสามรากปราณที่ก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ ผู้บ่มเพาะประเภทนี้ต้องเกิดในตระกูลรวยและได้รับการสนับสนุนด้วยเม็ดยาราคาแพงจำนวนมากหรือส่งเสริมด้วยเคล็ดบ่มเพาะพิเศษ
แต่สำนักร้อยดอกบัวไม่มีทางมีทรัพยากรมากขนาดนั้น ดังนั้น ถ้าไม่มีโอกาสเช่นนี้ รากปราณของนางก็ต้องไม่ธรรมดา
นอกจากนี้ เด็กหนุ่มเย่อันผิงก็ดูเหมือนจะเป็นคนน่าสนใจเช่นกัน
หลังคิดสักพัก ฉีไป่ซือก็ตบไหล่นาง พูดอย่างอ่อนโยน“กลับไปพักเถอะ การคัดเลือกพรุ่งนี้จะเหนื่อยมาก เส้าเหริน จัดเตรียมที่ดีๆให้ทั้งสอง”
หวังเส้าเหรินเลิกคิ้ว“เอ่อ นั่นไม่ขัดต่อกฎเหรอครับ?ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมในการคัดเลือกจะได้พักในกระโจม…”
ฉีไป่ซือตวัดตามองและพูดย้ำ“ข้าบอกว่า ที่ดีๆ”
“ครับ”
ปล.กลุ่มเปิดแล้วน้า ติดตามได้ที่เพจเลย