ตอนที่ 15 มหาเต๋ากระบี่, คลื่นกระบี่อนันต์
ลูกศิษย์ที่เหลือออกจากห้องโถงใหญ่ไปแล้ว
ซู ชางหยู ถูกทิ้งให้อยู่ที่นั่นตามลำพัง.
“ชางหยู ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะลงไปที่ภูเขาเพื่อดูว่าข้าสามารถยืมศิลาวิญญาณได้หรือไม่ ดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ เย่ ปิงด้วย. ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำตามแผนเดิม เจ้าต้องไม่ทำผิดพลาดเข้าใจไหม?”
นักพรตไต้ หัวกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าเข้าใจ แต่ทองคำ 200 ตำลึงนั้น... มากเกินไปหน่อยหรือเปล่าขอรับ. อาจารย์ ท่านช่วยคิดวิธีแก้ปัญหาอื่นได้ไหม”
ซู ชางหยู่กังวลเล็กน้อย.
ในที่สุดพวกเขาก็ได้อัจฉริยะเข้าสู่สำนัก แต่พวกเขาก็ประสบปัญหาดังกล่าวเสียแล้ว.
“ข้าควรจะหาวิธีแก้ปัญหาได้. เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก แม้ว่าข้าจะเหนื่อยมันก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าต้องรักษาน้องชายของเจ้าไว้และสอนเขาอย่างดี”
นักพรตไต้ หัวกล่าวอย่างจริงจัง.
หลังจากรู้ว่าเย่ปิงเป็นอัจฉริยะ นักพรตไต้ หัวไม่ต้องการให้ ซู ชางหยูนำเขาหลงผิด เขาจึงกล่าวเช่นนั้น.
“ขอรับ อาจารย์ ไม่ต้องห่วงขอรับ. ท่านไว้ใจข้าได้เลย.”
ซู ชางหยู พยักหน้าทันที
เมื่อวานเขาคิดเรื่องนี้ทั้งคืนและรู้สึกว่า นักพรตไต้ หัวพูดถูก หลังจากผ่านมันไปได้ เขาก็ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป.
ในไม่ช้า ซูชางหยูก็ออกจากห้องโถงไป.
เขาเดินไปที่หน้าผาด้านหลัง.
บนหน้าผา เย่ปิงยังคงพยายามทำความเข้าใจรอยกระบี่อยู่.
หลังจากเรียนรู้ว่าเขามีพรสวรรค์ใน เต๋ากระบี่แล้ว เย่ ปิงก็ตั้งใจยิ่งขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาไม่สามารถต้านทานได้ เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อทำความเข้าใจรอยกระบี่นี้.
ทว่าความขยันหมั่นเพียรย่อมให้ผลดีเสมอ
มีท่ากระบี่ทั้งหมด 1,460 ท่าในวิชาสี่กระบี่อัสนี.
เย่ปิงเข้าใจกระบวนท่าถึง 720 กระบวนท่าแล้ว.
นอกจากนี้ เขาเริ่มเข้าใจเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงจุดสูงสุดของความเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีได้.
ในตอนนั้นเอง ซูชางหยูก็มาถึง.
“น้องเล็ก”
ซู ชางหยูปรากฏตัว แต่สีหน้าของเขายังคงบูดบึ้งเช่นเคย เขาไม่ได้จงใจประพฤติแบบนั้นต่อหน้าเย่ปิง แต่เขากลับไม่สามารถยิ้มได้เลย ตอนนี้เขารู้สึกกดดันเมื่อเผชิญหน้ากับเย่ปิง.
“คำนับศิษย์พี่ขอรับ.”
เมื่อเห็นว่าซูชางหยูมาถึงแล้ว เย่ปิงก็ยืนขึ้นเพื่อโค้งคำนับเขาอย่างแข็งขัน.
“น้องชาย เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ เจ้าและข้าอาจไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่เนื่องจากเราเข้าร่วมสำนักเดียวกัน เราจึงต้องสนิทกันเหมือนพี่น้องกันโดยธรรมชาติ เจ้าไม่ต้องมากพิธีก็ได้”
ซูชางหยูรีบบอกเย่ปิงว่าอย่าโค้งคำนับเขาเพราะเขารับไม่ไหว.
“ศิษย์พี่ ท่านคงล้อเล่นแน่ๆ มารยาทเป็นเรื่องพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ ข้าต้องปฏิบัติตามขอรับ.”
เย่ปิงปฏิเสธที่จะไม่สนพิธีการ ดังคำกล่าวที่ว่าคนเราไม่มีคำว่าสุภาพเกินไปหรอก.
เมื่อเขาอยู่ในโลกแห่งวรรณกรรม เขาจะยกย่องและคำนับทุกคนที่ได้พบ ซึ่งทำให้เขาได้รับความโปรดปรานจากผู้คนมากมาย.
ซู ชางหยู ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดและถามโดยไม่รู้ตัวว่า “น้องเล็ก วันนี้เจ้าเข้าใจกี่กระบวนท่าแล้วล่ะ?”
เขาถาม.
เมื่อพูดถึงกระบวนท่ากระบี่ เย่ปิงก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“ตั้งแต่เมื่อวาน ข้าเพิ่งเข้าใจได้ถึงท่าที่ 720 เท่านั้นขอรับ.”
เย่ปิงตอบอย่างจริงจัง
ซู ชางหยู พูดไม่ออก
'แค่กระบวนท่าที่ 720 เท่านั้นเหรอ?'
'โมโหจังวุ้ย'
ซู ชางหยู รู้สึกแย่มาก และเขาไม่รู้จะตอบอย่างไรจริงๆ.
ทว่าหลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ซูชางหยูก็หายใจเข้าลึก ๆ กัดฟันและตัดสินใจที่จะเล่นละครต่อ เนื่องจากเขาได้แสดงมาหลายวันแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องอายแม้ว่าเขาจะถูกเปิดเผยก็ตาม.
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ซูชางหยูก็ส่ายหัว
“เจ้าขาดความตั้งใจ”
ซูชางหยูกล่าว
หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น เย่ปิงก็ดูหดหู่เล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ถามคำถามอื่น.
“ศิษย์พี่ ข้าต้องเข้าใจกระบวนท่าของกระบี่กี่ท่าถึงจะทำเช่นนี้ได้? วิชากระบี่ชุดที่ข้ากำลังเรียนอยู่นี้ชื่ออะไรหรือขอรับ?”
เขาไม่รู้ว่าต้องเข้าใจกระบวนท่ากี่ท่าจึงจะถือว่าน่าพอใจ
“น้องเล็ก จงฟังให้ดี”
“กระบวนท่ากระบี่ที่เจ้ากำลังเรียนเรียกว่าวิชาสี่กระบี่อัสนีซึ่งมีวิชากระบี่สี่ประเภทที่แตกต่างกัน ได้แก่ กระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิ กระบี่อัสนีฤดูร้อน กระบี่อัสนีฤดูใบไม้ร่วง และกระบี่อัสนีฤดูหนาว”
“มีท่ากระบี่ทั้งหมด 1,460 ท่าในวิชากระบี่ชุดนี้ หากเจ้าสามารถเข้าใจทั้งหมดได้ เจ้าจะถือว่าเจ้าเข้าถึงขั้นสุดยอดแล้ว”
“วิชากระบี่นี้แบ่งออกเป็นสี่ขั้น ได้แก่ ขั้นเริ่มต้น ขั้นยอดเยี่ยม ขั้นชำนาญและขั้นสุดยอด.”
ซูชางหยูหยุดพูดชั่วคราว.
เขากล่าวต่อว่า “ทว่าเมื่อเจ้ามาถึงขั้นสุดยอดแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น. ณ ขั้นสุดยอด เจ้าต้องเรียนรู้การควบแน่นพลังกระบี่ของเจ้าเอง และหลังจากเข้าใจการควบแน่นพลังกระบี่แล้ว ก็เหลือการเข้าถึงคลื่นกระบี่”
“ยอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่แท้จริงจะต้องสามารถควบแน่นพลังของกระบี่และคลื่นของกระบี่ได้ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถหลอมรวมกับแก่นแท้ของเจ้าและถูกเรียกว่าผู้ฝึกเต๋ากระบี่ได้อย่างเต็มปาก เจ้าเข้าใจไหม”
ซู่ชางหยูอธิบายทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด.
แล้วเย่ปิงก็รู้แจ้งได้ในทันที
"อ้อเข้าใจแล้วขอรับ."
หลังจากเข้าใจแล้ว เย่ปิงก็ถามคำถามที่ทำให้ซูชางหยูรู้สึกเขินอายมาก.
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านไปถึงขั้นไหนแล้วขอรับ?”
เย่ปิงถาม
มันเป็นคำถามที่น่าอึดอัดใจ
ซู ชางหยู ไม่แน่ใจเล็กน้อยว่าเขาควรตอบอย่างไร
'เจ้าจะเชื่อข้าไหมถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น'
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ซูชางหยูก็หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็เอามือพาดไปด้านหลัง.
“ข้าไม่มีความสามารถนัก จึงเพิ่งอยู่ในขั้นแรกของมหาเต๋ากระบี่ในตำนาน, ขั้นคลื่นกระบี่อนันต์”
ซูชางหยูไม่กล้าทำให้มันชัดเจนเกินไป เขาจึงเริ่มสร้างเรื่องขึ้นมา.
“คลื่นกระบี่อนันต์?”
เย่ปิงตกใจทันที.
เขาไม่เข้าใจว่าคลื่นกระบี่อนันต์หมายถึงอะไร.
ทว่ามันฟังดูน่าประทับใจ
วิชากระบี่ ตามมาด้วยพลังของกระบี่ และสุดท้ายคือคลื่นของกระบี่.
'มันยากที่จะรวมคลื่นของกระบี่ให้เป็นหนึ่งได้ คลื่นกระบี่อนันต์? มันเป็นยังไงกันนะ?'
“ใช่แล้ว คลื่นกระบี่อนันต์ เมื่อไปถึงขั้นสุดยอดก็จะมีขั้นมหาซึ่งแบ่งออกเป็นอีกสามขั้นเพิ่มเติม ขั้นแรกคือคลื่นกระบี่อนันต์ซึ่งตามชื่อหมายถึงคือการมีคลื่นกระบี่ที่นับไม่ถ้วน”
“ถ้าเจ้าก้าวเข้าสู่ขั้นนี้ได้ เจ้าจะเก่งที่สุดในสิบแคว้นเลยล่ะ.”
ซูชางหยูกล่าว.
เขาไม่ได้มั่วขึ้นมาเพราะนั่นคือระดับที่สูงที่สุดของ เต๋ากระบี่จริงๆ.
ทว่าไม่มีใครซักคนในชิงโจวที่สามารถบรรลุขั้นนั้นได้เลย.ไม่แม้กระทั่งในแคว้นจินด้วยซ้ำ. ทว่ามีผู้หนึ่งในสิบแคว้นที่ก้าวเข้าสู่ขั้นคลื่นกระบี่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้เพียงครึ่งเดียว เขาคือเซียนกระบี่ไท่ สือซึ่งเป็นยอดฝีมือเต๋ากระบี่คนแรกในสิบแคว้น ทว่าเขามาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น และยังห่างไกลจากขั้นคลื่นกระบี่อนันต์
ขณะที่ซูชางหยูพูดเช่นนั้น เย่ปิงก็รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น.
'คลื่นกระบี่อนันต์?'
'ฟังดูน่าประทับใจมาก'
'พี่ใหญ่มาถึงขั้นนั้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน บางทีข้าอาจสามารถเข้าถึงขั้นนั้นได้ในช่วงชีวิตของข้าเช่นกัน.’
'งั้นก็แปลว่าเราเป็นที่สองจากสิบแคว้นสิ? เพราะยังมีพี่ใหญ่อยู่”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เย่ปิงก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
พูดตามตรง เขารู้สึกว่าการเป็นที่สองในสิบแคว้นนั้นค่อนข้างไม่เลวและต่อให้ไม่ใช่ที่หนึ่งในชิงโจวก็ไม่ได้แย่. การเป็นที่สองก็ไม่ได้แย่เกินไปเช่นกัน. เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ อันดับหนึ่งมักจะโดนภาระหนักอึ้งเสมอ.
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ. ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามท่านให้ทัน ภายในช่วงชีวิตของข้า ข้าจะไปถึงขั้นคลื่นกระบี่อนันต์ได้อย่างแน่นอน”
เย่ปิงกล่าวอย่างตื่นเต้น.
ซู ชางหยู รู้สึกไม่พอใจ.
เขารู้สึกขมขื่น.
ทว่าซูชางหยูก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขานึกถึงความจริงที่ว่าเขาเป็นอาจารย์คนแรกของเย่ปิงและเป็นแรงบันดาลใจให้เขา.
“น้องเล็ก ทำความเข้าใจรอยกระบี่ต่อไปที่นี่ซะ. สองสามวันให้หลังข้าจะมาสอนใหม่ เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ทำผิดพลาด”
ซูชางหยูกล่าว.
“ขอบพระคุณสำหรับการสอนของท่านขอรับ เมื่อข้าประสบความสำเร็จข้าจะไม่ลืมความมีน้ำใจของท่านเลย.”
เย่ปิงกล่าวขอบคุณ