ตอนที่แล้วตอนที่ 10 แสดงวิชาให้ดูจนซู ชางหยูต้องตกตะลึง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12 อัจฉริยะได้กำเนิด ณ สำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว!

ตอนที่ 11 คนโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่ม


ซู ชางหยู อยู่ในสถานะที่ทำอะไรไม่ถูก.

เขาตกตะลึง

เขาตะลึงจริงๆ

ตอนแรกเขาคิดว่าเย่ปิงแค่โม้เล่น.

ทว่าการกระบวนกระบี่ที่เย่ปิงแสดง ได้เปลี่ยนมุมมองของซู ชางหยูต่อโลก.

'มียอดฝีมือเต๋ากระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้จริงหรือ?'

เฮือก!

เฮือก!

เฮือก!

ซู ชางหยูร้องออกมาสามครั้งติดต่อกัน

เขารู้สึกเหมือนกำลังฝัน.

เขาบีบต้นขาของเขาสุดท้ายก็ได้แค่รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส.

นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ฝัน.

อาจารย์ของเขาได้คัดเลือกน้องชายที่ไม่ธรรมดามาแล้ว เขาเป็นอัจฉริยะในด้านเต๋ากระบี่

'นี่มันอุกอาจมาก'

'สำนักชิงหยุนเต๋าเป็นแค่สำนักที่ต่ำต้อยและไร้ความสามารถ เราได้สร้างอัจฉริยะขึ้นมาจริงๆ เหรอ?'

ในขณะนี้ ซู ชางหยู รู้สึกชาแปลบๆ ในร่างกายของเขา

เขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต.

สิ่งสำคัญที่สุดคือนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่ๆ.

แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ

เขาได้เข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีในชั่วข้ามคืน.

ตลอดทั้งคืน เขาเข้าใจวิชาสี่กระบี่อัสนีถึงขั้นชำนาญไปเสียแล้ว.

นอกจากนี้เขายังเข้าใจท่วงท่าของกระบี่ได้ในชั่วข้ามคืนอีกด้วย.

เขาจะเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาด?

แม้แต่อัจฉริยะก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ?

ในฐานะผู้ฝึกวิชาเต๋ากระบี่ ซู ชางหยู เข้าใจดีว่าวิชาสี่กระบี่อัสนีนั้นน่ากลัวเพียงใด.

จอมยุทธสี้จือได้สร้างมันขึ้นมาด้วยสุดหัวใจและจิตวิญญาณของเขา และเขาไปถึงขั้นสูงสุดด้วยการเคลื่อนไหวทั้งหมด 1,460 ครั้ง เขาสามารถใช้สายฟ้าแห่งสี่ฤดูกาลเพื่อสังหารศัตรูของเขา.

ในทางกลับกัน ซู ชางหยู ตรากตำและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งเป็นเวลาสิบปี แต่เขาเพิ่งมาถึงขั้นเริ่มต้นของวิชากระบี่อัสนีฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น.

ทว่าน้องชายคนเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถเข้าถึงขั้นชำนาญของวิชาสี่กระบี่อัสนีได้ในชั่วข้ามคืน.

'ข้าขอโทษที่เกิดมาเป็นมนุษย์'

ซู ชางหยู ตกตะลึง และเขารู้สึกปวดใจมาก.

'ทำไมกัน? ข้าหล่อมาก แต่พรสวรรค์ของข้าในเต๋ากระบี่นั้นมีแค่ปานกลางเองหรือ?’

'ทำไมกัน? เจ้านี่น่ารักกว่าข้านิดหน่อยเอง แต่พรสวรรค์ของเขาใน เต๋ากระบี่นั้นกลับน่ากลัวมาก’

'ทำไม ทำไม ทำไม?'

'ข้าเกิดมาผิดโลกหรือเปล่า?'

หัวใจของซู ชางหยู สับสนวุ่นวายมากๆ.

พรสวรรค์ของเย่ปิงในการเข้าถึงขั้นชำนาญของวิชาสี่กระบี่อัสนีในชั่วข้ามคืนได้ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด แม้แต่ในสิบแคว้นของโลกยุคโบราณ ไม่ต้องพูดถึงแคว้นจินเลย.

พรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ดังกล่าวทำให้ซู ชางหยู ตกตะลึงและขมขื่นอย่างยิ่ง.

ไม่ไกลนัก เย่ปิงไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเข้าใจกระบวนท่ากระบี่อีก 32 กระบวนท่าหลังจากฝึกฝนวิชาสี่กระบี่อัสนี.

ทว่าเขาต้องยอมรับว่าชุดวิชากระบี่นั้นทรงพลังมาก.

เขาไม่มีพลังวิญญาณแต่สามารถแยกก้อนหินออกได้ด้วยการตะวัดกระบี่ ถ้าเขาเริ่มฝึกฝนจริงๆ เขาจะไม่เก่งขึ้นอย่างรวดเร็วเหรอ?

ทว่าเย่ปิงไม่ได้แสดงท่าทียินดีใดๆ และมองไปที่ซูชางหยูแทน.

“พี่ใหญ่ท่านคิดอย่างไรขอรับ?”

เย่ปิงถาม โดยไม่คุยโวหรือถ่อมตัว.

ซู ชางหยู่ที่อยู่ห่างไกลจากเขา ยังคงตกตะลึงและยังไม่รู้สึกตัว.

“พี่ใหญ่?”

เย่ปิงเรียกออกไปอีกครั้ง

ในช่วงเวลาต่อมา ซู ชางหยู ก็ฟื้นจากอาการตกใจ.

“อะแฮ่ม”

ซู ชางหยู ไอเบาๆ เพื่อบรรเทาความอึดอัดใจ.

เขามองเย่ปิงด้วยสีหน้าสงบ แต่ลึกๆ แล้วเขาไม่สามารถหยุดรู้สึกตกใจได้.

“พี่ใหญ่ท่านคิดว่าข้ามีความสามารถหรือไม่”

เย่ปิงยังคงถามต่อ

'เจ้ามีพรสวรรค์ไหมงั้นเหรอ?'

'เจ้ายิ่งกว่ามีเสียอีก'

'แม้แต่การเรียกเจ้าว่าเก่งที่สุดในสิบแคว้นก็ยังเป็นการดูถูกเจ้าเลยด้วยซ้ำ'

ทว่าซูชางหยูไม่กล้าบอกว่าเขามีความสามารถ.

'จะเกิดอะไรขึ้นถ้าน้องเล็กหนีไปหลังจากได้ยินว่าเขามีพรสวรรค์?'

ก่อนหน้านี้ เขากังวลว่าสำนักจะไม่สามารถได้รับการเลื่อนขั้นเป็นสำนักขั้นสามหลังจากที่เย่ปิงจากไป.

ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป.

หากอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ในเต๋ากระบี่ต้องหนีไป ทุกคนในสำนักจะรู้สึกเสียใจอย่างไม่น่าเชื่อ.

นี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต

พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เย่ปิงหนีไปได้อย่างแน่นอน

เมื่อมาถึงจุดนี้ ซูชางหยูหายใจเข้าลึกๆ และกัดฟันเพื่อตอบเขา

“ก็ใช้ได้”

แม้แต่ซูชางหยูก็รู้สึกละอายใจเมื่อเขาพูดแบบนั้น.

'ใช้ได้เหรอ?'

'ถ้านั่นเป็นแค่ใช้ได้ จอทยุทธกระบี่จากสิบแคว้นก็เชิญฆ่าตัวตายเถอะ'

ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับตัวเองให้พูดแบบนั้น.

เขาไม่อาจพูดว่า 'น้องเล็ก พรสวรรค์ของเจ้าในเต๋ากระบี่นั้นไม่มีใครเทียบได้ อย่าอยู่ในสำนักอีกต่อไปเลย รีบไปที่สำนักที่ดีกว่าเถอะ’

นั่นเป็นสิ่งที่คนไร้สมองเท่านั้นที่จะทำ

“พี่ใหญ่ขอรับ พูดมาตรงๆเถอะขอรับ. ข้าเข้าใจความสามารถของข้าดี. ศิษย์พี่ ข้าอาจจะมีความสามารถน้อย แต่ข้าจะตั้งใจและฝึกฝนอย่างหนักอย่างแน่นอน มั่นใจได้เลยขอรับ ศิษย์พี่”

หลังจากได้รับคำตอบนั้น เย่ปิงก็เข้าใจทันทีว่าใช้ได้หมายถึงอะไร.

ใช้ได้หมายถึงแย่มาก แต่ซู ชางหยูอายเกินกว่าจะพูดตรงๆ เพราะเกรงว่าเขาจะทำให้น้องเล็กไม่สบายใจ.

ดังนั้น เย่ ปิงจึงเข้าใจว่าเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ใน เต๋ากระบี่แต่เขาก็พร้อมสำหรับคำวิจารณ์ที่รุนแรง เขาไม่รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่เขาต้องการแสดงความคิดของเขา.

คำพูดของเขาทำให้ซูชางหยูรู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น และความรู้สึกผิดก็เกิดขึ้นภายในตัวเขาทันที.

“น้องชาย ทำความเข้าใจรอยกระบี่ต่อไป อย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะไม่ยอมแพ้กับเจ้าหรอก ข้าจะกลับมาอีกครั้งในอีกไม่กี่วัน”

สิ่งเดียวที่ซูชางหยูต้องการทำตอนนี้คือรีบไปหาเจ้าสำนัก

มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเกินไปแล้ว.

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เขาต้องไปพบเจ้าสำนัก.

“ขอรับ ดูแลตัวเองด้วยขอรับ ศิษย์พี่”

หลังจากได้ยินคำพูดของซู ชางหยู เย่ปิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่ออยู่ในสำนักต่อ.

ไม่ใช่ว่า เย่ ปิงตั้งใจที่จะเกาะติดกับสำนักชิงหยุนเต๋า

ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา เขาได้เข้าร่วม งานรวมตัวมหาเซียน มากกว่า 50 ครั้ง และหลังจากทดสอบขั้นพลังยุทธ์และพรสวรรค์ของเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องการเขาเลย.

พูดตรงๆ แล้วถ้าเขามีคุณสมบัติที่ดีล่ะ?

เขาไม่สามารถพยายามทำความเข้าใจกับสุดยอดเต๋าได้ด้วยตัวเอง หากไม่มีสำนักใดต้องการรับเขาเข้า.

โอกาสมีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อม เนื่องจากเย่ปิงคว้าโอกาสนี้ไว้แล้ว เขาจึงปล่อยมันไปไม่ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ เขาคิดว่าทุกคนในสำนักเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจากไป.

ธูปถูกเผาไปครึ่งก้านแล้ว.

ในห้องโถงหลักของสำนักชิงหยุนเต๋า เสียงที่กระตือรือร้นของ ซู ชางหยู ดังขึ้น.

“เจ้าสำนัก!”

“เจ้าสำนัก!”

“เจ้าสำนัก มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้วขอรับ”

เสียงเร่งด่วนของซู ชางหยู ดังก้องไปทั่ว.

ในห้องโถงใหญ่นักพรตไต้ หัวกำลังวางแผนให้สำนักชิงหยุนเต๋า ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นสำนักขั้นสามอยู่.

หลังจากได้ยินเสียงของซูชางหยู นักพรตไต้ หัวก็อดไม่ได้ที่จะหลุดออกจากความคิดของเขา.

“ชางหยู เจ้าทำบ้าอะไร? ทำไมเจ้าถึงวุ่นวายขนาดนี้? เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของสำนัก เจ้าต้องสังเกตกิริยาท่าทางของเจ้าตลอดเวลาสิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เจ้ามีน้องเล็กแล้วนะ.”

นักพรตไต้ หัวยืนขึ้นและสั่งสอนเขา.

“เจ้าสำนัก มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆขอรับ”

ซูชางหยูเดินเข้าไปในห้องโถงหลักและปิดประตู มองดูนักพรตไต้ หัวขณะหายใจแรง.

"เกิดอะไรขึ้น? น้องเล็กของเจ้าค้นพบความลับของสำนักของเราแล้วหรือ?”

นักพรตไต้ หัวรู้สึกกังวลเล็กน้อย และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม.

"ไม่ไม่."

ซู ชางหยูเริ่มพบว่าหายใจลำบาก เขาวิ่งไปจนสุดทางเพื่อพบเจ้าสำนักและเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขาเลย เหตุนี้เขาจึงหอบอย่างหนัก.

“แล้วเจ้ากลัวอะไรล่ะ? เจ้าตื่นตระหนกมากจน ดูไม่เหมือนคนที่อยู่ในการฝึกฝนเป็นเซียนเลยนะ”

นักพรตไต้ หัวรู้สึกกังวลน้อยลงทันทีหลังจากได้ยินว่าความลับของพวกเขาไม่ถูกเปิดเผย.

“เจ้าสำนัก น้องชายคนเล็กของเรา... ดูเหมือนจะมี... พรสวรรค์ที่แปลกประหลาด”

ซู ชางหยู ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร และคำที่แปลกประหลาดก็คือคำที่ดีที่สุดที่เขาคิดขึ้นมาได้.

“แปลกเหรอ? มันแย่มากเลยรึ?” นักพรตไต้ หัวถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเขาคาดหวังไว้แล้ว หากเขามีพรสวรรค์ที่ดี เขาคงไม่ถูกปฏิเสธจากสำนักใน งานรวมตัวมหาเซียน มากกว่า 50 ครั้งแน่.

“ชางหยู ข้าไม่ได้อยากจะพูดให้เจ้าเสียใจนะ แต่เจ้าก็รู้สถานะของสำนักเราดีนี่. เขาอาจมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าแต่ถ้ามีพรสวรรค์อยู่จริงๆ เจ้าคิดว่าเราจะรักษาเขาไว้ด้วยสิ่งที่เรามีได้หรือไม่”

นักพรตไต้ หัวยืนขึ้นและพูดอย่างใจเย็น.

“ไม่ขอรับ เจ้าสำนัก พรสวรรค์ของน้องเล็กของเราไม่ได้ด้อยแต่ว่ายอดเยี่ยมมากเลยต่างหาก”

ซูชางหยูอธิบายทันทีเมื่อเขาตระหนักว่านักพรตไต้ หัวเข้าใจเขาผิด.

“ย่ำแย่มากเลยรึ? มันย่ำแย่ขนาดไหนกันล่ะ?”

นักพรตไต้ หัวได้ยินซู ชางหยูผิด อาจเป็นเพราะเขาพูดเร็วเกินไป

“ไม่ใช่แย่มากขอรับ แต่ยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อเลยต่างหาก”

ซู ชางหยู่อธิบายอย่างกระตือรือร้นด้วยเหงื่อท่วมหน้าผากของเขา และดูไม่เหมือนเซียนอีกต่อไป.

'ฮะ?'

'ยอดเยี่ยมมากเหรอ?'

'เจ้าโกหกข้าเหรอ?'

นักพรตไต้ หัวตกตะลึง.

“ชางหยู คนโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่มนะ”

นักพรตไต้ หัวมองไปที่ ซู ชางหยูด้วยความหวาดกลัว เขาไม่เชื่อเลย.

ในความเห็นของเขาแล้ว เย่ปิงเป็นเพียงผู้ฝึกตนธรรมดาๆ

หากเขายอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจะถูกปฏิเสธในงานรวมตัวมหาเซียน ทั้ง 50 ครั้งได้อย่างไร

นั่นเป็นไปไม่ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด