ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 ชื่อของข้าคือเย่ปิง

ตอนที่ 1 ต่อให้ต้องหลอก เราก็ต้องให้เขาอยู่จนถึงหนึ่งปีให้ได้


เช้าสดใส พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น

ในสำนักชิงหยุนเต๋า ของเขตชิงโจว.

มันเป็นสำนักที่ไม่มีมาตรฐานเลย.

มันไม่มีแม้แต่อันดับและเป็นสำนักประเภทที่สามารถหายไปได้ทุกเมื่อ.

ในห้องโถงหลักวันนี้ มีศิษย์ของสำนักชิงหยุนเต๋าเพียงเจ็ดคนที่ต่างรู้สึกตื่นเต้นและกังวลอยู่.

เป็นเพราะเจ้าสำนักของพวกเขาได้ส่งจดหมายมาเมื่อสามวันก่อนเพื่อบอกพวกเขาว่าสำนักชิงหยุนเต๋าจะต้อนรับศิษย์คนที่แปดในไม่ช้า.

ใช่แล้ว พวกเขาจะได้รับน้องชายเร็วๆ นี้.

บางทีสำหรับสำนักอื่นๆ การมีสมาชิกใหม่ในสำนักคงไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร.

ทว่า สำหรับสำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว การหาสมาชิกใหม่ถือเป็นงานช้างมาก.

สำนักต่างๆนั้นมีความคล้ายคลึงกับหน่วยงานต่างๆของโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่เข้าร่วมสำนักเต๋า ด้วยคลื่นที่จะหาคนหนุนหลังที่ใหญ่โต.

หากแยกเรื่องการอยู่กินที่แถมมาแล้ว แม้แต่สำนักที่ไม่มีทรัพย์สินแบบนั้น สำนักที่ใหญ่กว่าก็จะปลอดภัยกว่า.

ศิษย์ของสำนักเล็ก ๆ จะต้องทนกับความอัปยศอดสูจากการถูกรังแก.

ในทางกลับกัน เมื่อศิษย์ของสำนักที่ใหญ่กว่าถูกรังแก พวกเขาก็จะได้รับการหนุนหลังจากสำนักของพวกเขา.

นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ฝึกตนมือใหม่จำนวนมากเลือกที่จะเข้าร่วมสำนักที่ใหญ่กว่า.

สำนักใหญ่จะไม่ดูถูกผู้ฝึกตนใหม่เช่นกัน ความจริงแล้วสำนักจะดูแลพวกเขาเป็นพิเศษด้วยซ้ำ.

ไม่มีใครเป็นคนโง่และไม่มีสำนักใดจะหยิ่งผยองจนปฏิเสธศิษย์ใหม่.

เหตุนี้ สำนักที่ใหญ่โตก็จะใหญ่โตขึ้นในขณะที่สำนักที่อ่อนแอก็จะอ่อนแอลง.

สำหรับสำนักเช่นสำนักชิงหยุนเต๋าแล้ว ศิษย์ใหม่จะเข้าร่วมได้เพียงครั้งเดียวในคืนพระจันทร์สีน้ำเงิน.

ตอนนี้พวกเขาได้ยินมาว่าจะมีศิษย์ใหม่มาเข้าร่วม สมาชิกของสำนักจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?

พวกเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?

ในห้องโถงหลักของสำนักชิงหยุนเต๋า มีร่างเจ็ดร่างนั่งอยู่.

มีสมาชิกเป็นชายห้าคนและผู้หญิงสองคน พวกแรกนั่งอยู่ทางซ้าย ในขณะที่พวกหลังนั่งอยู่ทางด้านขวา.

ในตอนนั้นเอง ทั้งเจ็ดคนดูค่อนข้างกังวลและตื่นเต้น.

ทว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ชายคนแรกจากทางซ้ายได้ริเริ่มที่จะพูดขึ้น ทำลายความเงียบในห้องโถง.

“ศิษย์น้องชายหญิงทั้งหลาย เราได้คัดเลือกศิษย์ใหม่ให้กับสำนักชิงหยุนเต๋าของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมยินดี”

“ทว่า เมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์ได้สั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในจดหมายของท่านว่าเราต้องไม่กระตือรือร้นกับน้องชายคนนี้มากเกินไป และอย่าปล่อยให้เขาคิดว่าเราไม่มีประโยชน์หรือเราต้องการสมาชิกมากๆ”

“เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสงบสติอารมณ์และประพฤติตนเหมือนผู้มีภูมิฐาน เราควรพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ดูเคร่งขรึมมากที่สุด. ตราบใดที่น้องชายคนนี้ยังอยู่ในสำนักของเราตลอดทั้งปี เราก็สามารถส่งรายงานการตรวจสอบเพื่อเลื่อนเป็นสำนักระดับสามได้” ชายคนแรกทางซ้ายกล่าว.

เขาไม่แก่และดูเหมือนจะอายุประมาณ 27 หรือ 28 ปี คิ้วของเขาดูเหมือนกระบี่และเขามีดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยดวงดาว แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อคลุมธรรมดา แต่ใบหน้าของเขาก็ให้ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกและดูเหมือนเขาเป็นนักกระบี่ที่ยอดเยี่ยมหาเทียบได้.

ชื่อของเขาคือซูชางหยู

เขาเป็นพี่ใหญ่ของสำนักชิงหยุนเต๋า

หลังจากที่เขาพูดความคิดของเขาแล้ว เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็พยักหน้าทีละคน.

"พวกเราเข้าใจ."

พวกเขาประสานเสียงพร้อมกันอย่างเคร่งขรึม.

ทว่าหลังจากพูดอย่างนั้น ทุกคนก็เงียบลงอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนพูดขึ้น ทำลายความเงียบอีกครั้ง.

“พี่ใหญ่ ข้าสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แต่เราจะโกหกเขาได้อย่างไร? ด้วยระดับการฝึกฝนของเราแล้ว ข้าเกรงว่าเราจะปล่อยให้ตัวนำโชคของเราหลุดมือไปแน่”

ชายผู้ถามคำถามด้วยคิ้วที่ขมวดนั้นมีอายุประมาณ 24 ถึง 25 ปีและมีรูปร่างหน้าตาที่ละเอียดอ่อน.

เขาเป็นพี่รองของสำนัก ซู ลั่วเฉิน.

ซู ลั่วเฉิน ดูสับสนเล็กน้อย.

เขาสามารถสงบสติอารมณ์ได้ และอย่างมากที่สุด เขาก็จะนิ่งและเงียบไว้ ทว่าเขาไม่รู้ว่าจะโกหกคนอื่นอย่างไรจริงๆ

หลังจากที่เขาพูดอย่างนั้น ศิษย์คนอื่นๆ ก็เริ่มมีสีหน้ากังวลเช่นกัน.

พวกเขาอายุยังน้อยและแม้ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์บางอย่างในโลกมาแล้ว แต่จิตใจของพวกเขายังคงบริสุทธิ์และไร้มลทิน พวกเขาอาจโกหกคนอื่นได้ แต่มันยากสำหรับพวกเขาที่จะหลอกคนอื่น.

พวกศิษย์ต่างนิ่งเงียบ.

หลังจากนั้นไม่นาน พี่ใหญ่ของพวกเขา ซู ชางหยู ก็พูดช้าๆ อีกครั้งว่า “อันที่จริง พวกเจ้าทุกคนอาจคิดผิดไป เราไม่จำเป็นต้องหลอกเขาก็ได้ แค่แสดงตัวเองว่าเป็นยอดฝีมือเท่านั้นก็พอ อาจารย์ระบุในจดหมายของท่านว่า น้องชายคนใหม่ของเราเป็นมือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องการฝึกตนเลย”

“เราแค่ต้องพูดเกินจริงเล็กน้อยตอนพูดถึงจุดแข็งของเรา ตัวอย่างเช่น เจ้าสามารถบอกเขาว่าข้าเก่งเรื่อง เต๋ากระบี่ ซึ่งเขาไม่สามารถเข้าใจได้เลย. ศิษย์น้องลั่วเฉิน เจ้าเก่งในการกลั่นยา แค่สอนทักษะการกลั่นยาที่หาไม่ได้ให้เขาก็พอแล้ว.”

“แม้ว่าคำโกหกของเราจะถูกเปิดเผยไม่ช้าก็เร็ว แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาหากปกปิดมันไว้แค่ปีเดียว หลังจากหนึ่งปี สำนักชิงหยุน เต๋าเราจะมีคุณสมบัติในการส่งรายงานการตรวจสอบ เมื่อสำนัก เต๋าของเราก้าวไปสู่ระดับสาม ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น”

เมื่อซูชางหยูพูดถึงการก้าวขึ้นระดับที่ 3เขาไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้เลย.

“พี่ใหญ่ เราเข้าใจแล้ว เราแค่ต้องโกหกเขาเป็นเวลาหนึ่งปี หากเขารู้หลังจากผ่านไปหนึ่งปีและคิดว่ามันรับไม่ได้ เราจะปล่อยให้เขาจากไปด้วยตัวเองสินะ.”

“ถ้าเขาเต็มใจที่จะยอมรับมัน เขาจะได้รับผลประโยชน์เมื่อเราโชคดีและก้าวไปสู่ระดับที่ 3 แล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไม่เขี่ยเขาทิ้งแน่นอน”

ซูลั่วเฉินพูดเช่นนั้นด้วยท่าทางมั่นใจ.

เขากำลังปลอบใจตัวเองจริงๆ เพราะยังไงเสียมันก็ยังเป็นเรื่องโกหกอยู่ดี.

ทว่าเขาไม่มีทางเลือกเนื่องจากสำนักชิงหยุนเต๋ายากจนและน่าสมเพช เพื่อการดำรงชีวิตที่ดีของสำนัก เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว.

“พี่ชายและพี่สาวไม่ต้องกังวล บางทีศิษย์ใหม่อาจเป็นอัจฉริยะและสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่เราสอนเขาได้ก็ได้. หากเป็นเช่นนี้ เราไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เข้าฟังเลย”

ศิษย์น้องหญิงที่เด็กสุดกล่าวเช่นนั้น.

เธอพยายามปลอบใจทุกคนเพื่อมิให้พวกเขารู้สึกผิด

คำพูดของเธอทำให้ทุกคนยิ้มได้.

อัจฉริยะเหรอ?

พูดตามตรง คนเราจะมีความสามารถขนาดไหนหากพวกเขาเลือกที่จะเข้าร่วมสำนักชิงหยุนเต๋า?

เหตุใดผู้มีพรสวรรค์จึงอยากเข้าร่วมสำนักชิงหยุนเต๋า?

ไม่ต้องพูดถึงโลกเซียนเลย แค่ภายในเขตของ ชิงโจว เพียงแห่งเดียว มีหลายสำนักขนาดใหญ่ที่จะจัดงานรวมตัวเซียนเป็นประจำทุกปีเพื่อเลือกศิษย์บางคนและส่งศิษย์ที่มีอยู่จำนวนมากเพื่อไปรับสมัครสมาชิกที่มีชะตาจะได้เป็นเซียน.

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้สมัครทุกคนสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของพวกเขา เพราะยังไงเสีย แค่ลองเฉยๆก็ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และพวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ทรัพย์สินแก่ผู้สมัครมากด้วย มันเป็นการเลือกอย่างเสรี แล้วจะมีอะไรแย่ล่ะ?

เหตุนี้ โอกาสที่สำนักเล็กๆ จะรับสมัครผู้มีความสามารถจึงแทบจะเป็นศูนย์.

แล้วถ้าสำนักนั้นสามารถผลิตผู้มีพรสวรรค์ได้ล่ะ?

สำนักเซียนอื่น ๆ จะพยายามแย่งชิงผู้มีพรสวรรค์ทันทีเมื่อพวกเขาได้รับข่าว ก่อนอื่นพวกเขาจะล่อผู้มีพรสวรรค์ด้วยทรัพย์สินมากมาย จากนั้นก็สัญญาเขาหรือเธอด้วยอำนาจ และจากนั้นก็ส่งศิษย์ที่หน้าตาน่าดึงดูดของสำนักมาล่อลวงพวกเขา.

พูดตามตรงใครล่ะจะต้านทานสิ่งนั้นได้?

ดังนั้น ความเป็นไปได้ของสำนักชิงหยุนเต๋าในการสรรหาอัจฉริยะจึงเป็นศูนย์ เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น.

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น้องชายคนใหม่ของเราจะมาถึงตอนเที่ยงพรุ่งนี้ นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายของข้าสำหรับพวกเจ้าทุกคน”

"นิ่งไว้! นิ่งไว้! เจ้าต้องใจเย็น! เจ้าต้องทำตัวหยิ่งและแสดงความไม่ใส่ใจตลอดเวลาเข้าไว้. ยิ่งเจ้าทำแบบนั้นมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเชื่อมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเจ้าต้องทำให้มันดูเหมือนเรื่องปกติเข้าไว้ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถ แต่เจ้าต้องวิพากษ์วิจารณ์เขาและทำให้เขาดูเหมือนคนไร้ค่า”

“อีกอย่าง เราจะต้องไม่เข้าหาเขาก่อน มันจะต้องกลับกัน ดังนั้นจากนี้ไปเราจะทำแผนตามนั้น เข้าใจนะ?”

ซูชางหยูเน้นย้ำอีกครั้ง.

"พวกเราเข้าใจ."

ทุกคนพยักหน้าโดยไม่โต้แย้งใดๆ

จากนั้น พวกเขาทั้งเจ็ดก็ค่อยๆออกจากห้องโถงใหญ่ไป.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด