MDB ตอนที่ 388 เทศกาลมังกรหยก
เทศกาลมังกรหยกเป็นวันหยุดตามประเพณีในอาณาจักรมังกรหยก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันแรกของเดือนมีนาคมของทุกปีในฤดูใบไม้ผลิ และการเฉลิมฉลองจะคงอยู่เป็นเวลาเจ็ดวัน นับตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรมังกรหยก ประเพณีนี้ได้รับการอนุรักษ์มานานกว่าสามร้อยปีแล้ว
จุดประสงค์ของเทศกาลมังกรหยกคือการขอบคุณเทพมังกรหยก ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อขอพรจากมังกรหยก
ด้วยเหตุผลนี้เอง ปัจจุบันหลินจินจึงสวมชุดคลุมพิธีการ ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกว่าพิธีกรรมพวกนี้มันดูน่าเบื่อ แถมยังไร้สาระด้วย
เนื่องจาก ก่อนหน้านี้เขาได้ฆ่าเทพมังกรหยกด้วยตัวเอง แต่ถึงกระนั้น เขาก็มาเป็นเจ้าภาพจัดงานที่ชาวเมืองต่างคิดว่าจะได้รับพรจากเทพมังกรหยก
‘ช่างย้อนแย้งอะไรอย่างนี้...’
แม้แต่หลินจินก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของเขาอย่างไร
เขาแค่รู้สึกอยากหัวเราะเท่านั้น
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับการตายของเทพมังกรหยก ทางจักรพรรดิทรงทราบว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ดังนั้น 'เทพมังกรหยก' ที่ชาวเมืองของพวกเขาบูชาจึงเป็น 'เทพมังกรหยก' อีกตัวหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาอธิษฐานไม่ใช่ตนเดียวกับที่หลินจินฆ่า
ในฐานะสัญลักษณ์และเรื่องของความศรัทธา เทพมังกรหยกจึงศักดิ์สิทธิ์และสมบูรณ์แบบ
พูดตรง ๆ เทพมังกรหยกที่หลินจินได้พบนั้นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกัน มีทั้งความโลภ โหดร้าย และเห็นแก่ตัวเป็นคำที่เหมาะสมกว่าในการอธิบายตัวตนของเขา
อย่างไรก็ตาม ชาวเมืองยังบูชาเทพมังกรหยกนี้ในฐานะผู้พิทักษ์อาณาจักรมังกรหยก และความศรัทธานี้ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของพวกเขามาหลายร้อยปีแล้ว เทพมังกรหยกอาจจะดูขลัง แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นเพียงเครื่องมือในการปกครองสำหรับตระกูลเหอ
เนื่องจากสิ่งนี้ดำเนินมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว พิธีอวยพรของงานจึงซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ แทนที่จะเป็นสำนักงานใหญ่ ขบวนแห่จะจัดขึ้นบนถนนสายหลักอันกว้างขวางซึ่งจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงวิหารมังกรหยก
ผู้คนที่นี่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างน่าประหลาดใจเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่า แม้ว่าเทพมังกรหยกยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่อาจให้พรแก่พวกเขาคนใดเลยได้
“ผู้ประเมินหลิน เริ่มได้เลย!” ผู้ประเมินที่อยู่ใกล้ ๆ เตือนเขา
หลินจินพยักหน้าก่อนเริ่มพิธีกรรมที่น่าเบื่อแต่ซับซ้อน
ในอดีต สำนักงานใหญ่สมาคมประเมินอสูรในเมืองหลวงจะเลือกผู้ประเมินเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานอวยพรของเทศกาลมังกรหยก และโดยส่วนใหญ่ ผู้สมัครจะเป็นผู้ประเมินที่ได้รับการคัดเลือกที่ทุกคนคุ้นเคย
แต่ปีนี้แตกต่างออกไป คนส่วนใหญ่สังเกตเห็นว่าเจ้าภาพเป็นบุคคลที่ไม่คุ้นเคย
ไม่เพียงแต่เขาเป็นหน้าใหม่เท่านั้น แต่ชายคนนี้ยังดูค่อนข้างหนุ่ม เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของเขา
สิ่งนี้ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นและความสงสัยในหมู่ฝูงชน ตัวตนของผู้ประเมินรุ่นเยาว์ยังกลายเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเห็นเขาสวมปลอกแขนสามห่วง ในฐานะคนนอก พวกเขาจึงรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ประเมินระดับสามมีน้อยมากในอาณาจักรมังกรหยก ในความเป็นจริง มีน้อยมากที่บางคนสามารถท่องชื่อของผู้ประเมินระดับสามทั้งหมดในอาณาจักรมังกรหยกได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนจำได้ พอผ่านไปครึ่งทางของขบวน หลายคนได้รับรู้จากปากต่อปากว่าเจ้าภาพของงานอวยพรในปีนี้มีชื่อว่า 'หลินจิน' ซึ่งมาจากเมืองเมเปิ้ล และปัจจุบันเป็นผู้ประเมินระดับสามที่อายุน้อยที่สุดในอาณาจักรมังกรหยก
“แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ประเมินระดับสาม แต่เขาก็ดูเด็กเกินไป งานอวยพรของเทศกาลมังกรหยกมีความสำคัญอย่างยิ่ง ชายหนุ่มอย่างเขารับมือไหวหรือ?”
มีบางคนเอ่ยถาม
หลายคนมีความคิดแบบเดียวกัน
ในขณะที่ขบวนยังคงดำเนินต่อไป ประชาชนจำนวนมากกว่าหมื่นคนก็รวมตัวกันเป็นกระแสมนุษย์ขณะที่พวกเขาติดตามขบวนแห่อวยพรเข้าไปในวิหารมังกรหยก
เนื่องจากเป็นเทศกาลประจำปีที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรมังกรหยก ขุนนางในพระราชวังจำนวนมากจึงเข้าร่วมการเฉลิมฉลองด้วย นอกจากพวกเขาแล้ว แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็มาชมงานด้วย
ในขณะนั้น ภายในวิหารมังกรหยก เหล่าขุนนางแต่งกายเรียบร้อย ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งอย่างเคร่งขรึม ข้างในคือสมาชิกของราชวงศ์เหอ
ในฐานะจักรพรรดิ เหอเฉียนปรากฎตามปกติ และเขามาพร้อมกับลูก ๆ หลาน ๆ ที่ยืนอยู่รอบตัวเขา
มีองค์หญิงหลายพระองค์เข้าร่วมงานด้วย รวมทั้งองค์หญิงหกและองค์หญิงเจ็ด
เหอฉิงเกือบจะเบื่อหน่ายพิธีกรรมอันแสนน่าเบื่อแล้ว เนื่องจากเธอเป็นมีนิสัยอยู่ไม่สุข หากเธอสบโอกาส เธอคงจะออกไปข้างนอกเพื่อเที่ยวเล่นอย่างแน่นอน
ตรงกันข้ามกับพี่สาวของเธอ เหอหยู่ เธอชอบความสงบและเงียบงันภายในบริเวณพระราชวัง ดังนั้น การเฉลิมฉลองประเภทนี้จึงน่าอึดอัดใจสำหรับเธอ เธอจึงมักจะอยู่ห่าง ๆ ไว้
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างเปลี่ยนใจเธอในปีนี้ แถมเธอยังขอร้องเหอเฉียนให้เธอเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองด้วย สาเหตุมันมาจากเหอฉิงกระซิบบางอย่างข้างหูของเธอ
“ข้าได้ยินมาว่าผู้ประเมินหลินจะเป็นเจ้าภาพจัดงานอวยพรเทศกาลมังกรหยกในปีนี้ด้วยล่ะ”
นี่คือเหตุผลที่เหอหยู่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นขบวนแห่ เธอชะเง้อมองออกไปข้างนอกราวกับว่าเธอกำลังรอใครบางคนอยู่
เหอฉิงที่ยืนอยู่ข้างเธอหัวเราะเบา ๆ และกระซิบว่า
“ท่านพี่มันยังไม่ถึงเวลาเลยนะ ใจของท่านพี่ดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ท่านพี่อยากจะพบกับผู้ประเมินหลินมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ใบหน้าของเหอหยู่กลายเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเหอชิง แต่เธอกลับแสดงสีหน้าขุ่นเคืองในเวลาถัดมา
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ผู้ประเมินหลินช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ข้ายังไม่มีโอกาสขอบคุณเขาเลย ข้าแค่อยากจะขอบคุณเขาด้วยตนเองเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว อย่างนี้นี่เอง” เหอฉิงตอบ
พวกเธอกระซิบกันอย่างเป็นกันเองซึ่งผิดกับบรรยากาศโดยรอบที่แสนจะตึงเครียด
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเทศกาลมังกรหยกครั้งนี้ ก่อนหน้านี้นั้น ผู้ดูแลวิหารจะเป็นกล่าวคำอธิษฐานของจักรพรรดิ แต่ในปีนี้ พระองค์ไม่ทรงเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมเดิม แต่เขากลับเลือกที่จะรอ
เขากำลังรอให้เจ้าภาพของสำนักงานใหญ่สมาคมประเมินสัตว์วิเศษมากล่าวอวยพรในครั้งนี้
ในอดีตเคยมีข้อยกเว้นที่คล้ายกัน แต่ก็พบไม่บ่อยนัก ผู้ดูแลวิหารผู้รอบรู้ทราบดีว่าเหตุผลเบื้องหลังมีสาเหตุมากจากผู้ประเมินหลิน
นอกจากนี้ เหตุการณ์นั้นเมื่อคืนก่อนยังสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้ว การออกไล่ล่าหยางฉิงซื่อทำให้ได้เห็นการระดมพลของทหารรักษาเมืองหลายพันนาย
แม้จะเป็นไปตามคำสั่งของแม่ทัพเฟิง แต่ผู้ที่สั่งให้ทำเช่นนั้นแท้จริงแล้วคือจักรพรรดิ
มีการสืบหาและการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหลินจินในหมู่ชนชั้นปกครองมาพักใหญ่แล้ว และพวกเขาก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน นั่นก็คือหลินจินมีความสามารถสูงและได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่สงวนความคิดเห็นว่าแท้จริงแล้วผู้ประเมินหลินจินนั้นเก่งกาจแค่ไหน พวกเขาจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการอวยพรนี้จะเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับหลินจินที่จะพิสูจน์ตัวเอง
ในช่วงสุดท้ายของการเฉลิมฉลอง สัตว์วิเศษของผู้โชคดีจะถูกเลือกโดยการสุ่ม และจะได้รับการเลื่อนระดับสู้ระดับถัดไป นี่เป็นกิจกรรมที่ท้าทายสำหรับผู้ประเมิน ไม่มีผู้ประเมินระดับหนึ่งหรือระดับสองมีความมั่นใจอย่างเต็มร้อยในการยกระดับสัตว์วิเศษระดับหนึ่งให้เป็นระดับสอง
นอกจากนั้น การยกระดับสองเป็นระดับสามก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก ความพยายามดังกล่าวเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ประเมินระดับหนึ่ง และสำหรับระดับสอง มันขึ้นอยู่กับโชคเป็นหลัก
แม้แต่ผู้ประเมินระดับสามก็พบว่ามันยากที่จะบรรลุอัตราความสำเร็จหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อพัฒนาสัตว์วิเศษระดับสองไปสู่ระดับสาม แต่พวกเขามีความมั่นใจสำหรับสัตว์วิเศษระดับต่ำกว่า นอกจากนี้ ฝูงชนส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยคนธรรมดาสามัญ และสัตว์เลี้ยงของพงกเขามีแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา สัตว์วิเศษเกือบทั้งหมดที่ถูกเลือกคือระดับหนึ่งที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับสอง ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือสายพันธุ์ของสัตว์วิเศษเท่านั้น
ถึงกระนั้น การสุ่มเลือกสัตว์วิเศษและเลื่อนระดับจากระดับหนึ่งถึงระดับสองถือเป็นความท้าทายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับผู้ประเมิน แม้จะเป็นผู้ประเมินระดับสองก็ตาม
ดังนั้นถ้าหากหลินจินสามารถแสดงความสามารถออกมาได้ มันจะพิสูจน์ได้ว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ประเมินระดับสามอย่างแท้จริง