บทที่ 156 เสนาบดีกรมกลาโหมผู้พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง!
บทที่ 156 เสนาบดีกรมกลาโหมผู้พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง!
"ผู้อำนวยการใหญ่หลิน ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อน ทําไมเจ้าไม่บอกข้า? เจ้าจงใจพยายามหาเรื่องข้าหรือ?" เสนาบดีกรมกลาโหม หลี่ไคกวงกล่าวอย่างโกรธเคือง
หลินเป่ยฟานรู้สึกผิดมาก "ท่านหลี่ นั่นไม่ยุติธรรมเลย! เมื่อข้าเสนอการฝึกยุทธวิธีทางน้ำ ข้าก็กล่าวเตือนท่านแล้ว! ใครจะรู้เล่าว่าท่านไม่ได้สนใจคำเตือนของข้าและบอกว่าท่านสามารถจัดการมันได้เอง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้กังวลเรื่องนี้นัก! หากข้ารังแต่จะพูดต่อไป มันก็มีแต่จะทำให้ท่านรำคาญไม่ใช่หรือ?"
“อึก…” หลี่ไคกวงถึงกับพูดไม่ออก
"ฝ่าบาท และขุนนางในกรมกลาโหมทุกท่านสามารถเป็นพยานให้กระหม่อมได้!" หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยความขุ่นเคืองและชอบธรรม
จักรพรรดินีพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของนางและกล่าวว่า "เสนาบดีหลี่ ข้าเองก็ประจักษ์เห็นเช่นกัน ผู้อำนวยการใหญ่หลินเตือนท่านแล้ว มันเป็นเพียงเพราะว่าท่านไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจังและจึงตำหนิเขาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ตรรกะเช่นนี้มันอะไรกัน?"
"ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงสับสนอยู่ชั่วครู่ ได้โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย!" หลี่ไคกวงโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว
"ท่านควรขอโทษผู้อำนวยการใหญ่ ไม่ใช่ข้า!" จักรพรรดินีชี้ไปที่หลินเป่ยฟาน
หลี่ไคกวงไม่เต็มใจอย่างมาก "เสนาบดีกรมกลาโหม ผู้ซึ่งมีตําแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนี้จะคิดเล็กคิดน้อยแค่นี้ได้เช่นไรกัน?" จักรพรรดินีเตือนเขาเสียงดัง “ดูเหมือนว่าท่านคงจะยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนของท่าน หรือต้องการให้ข้าสั่งสอน?”
"ไม่ขอรับ...ไม่จำเป็นเลย!" หลี่ไคกวงหันศีรษะและเผยรอยยิ้มไปทางหลินเป่ยฟาน เขาโค้งคํานับและกล่าวด้วยความหงุดหงิดอย่างยิ่งว่า "ผู้อำนวยการใหญ่หลิน เมื่อครู่ข้าหุนหันพลันแล่นเกินไปและกล่าวโดยไม่ยั้งคิด ข้าต้องขอโทษท่านด้วย”
หลินเป่ยฟานจึงตอบอย่างรวดเร็วว่า "ท่านหลี่ไม่ต้องกงัวล ทุกคนสามารถหุนหันพลันแล่นและสูญเสียสติสัมปชัญญะกันได้ คราวหน้าเพียงระวังให้มากกว่านี้”
หลี่ไคกวงโกรธมากจนปากเบี้ยว จะมีครั้งหน้าอีกหรือ? เขาได้แต่สงสัยว่าทั้งหมดนี้ถูกวางแผนโดยหลินเป่ยฟาน ทั้งหมดเพียงเพื่อวางแผนต่อต้านเขา! ไอ้เจ้าเล่ห์คนนี้! ถ้ามันตกมาอยู่ในเงื้อมมือของข้า ข้าจะทำให้มันต้องชดใช้แน่!
“เอาล่ะ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว” จักรพรรดินีโบกมือเพื่อยุติเรื่องนี้
ถัดมา หลินเป่ยฟานจึงได้ตรงกลับไปที่สำนักศึกษาหลวง
ช่วงนี้หลินเป่ยฟานรู้สึกยินดียิ่ง การสอบประจำเดือนได้หวนกลับมาอีกครั้ง เขาสามารถรีดไถเงินจํานวนมากจากกลุ่มบัณฑิตที่ร่ำรวยเหล่านี้ได้
ท่านหญิงน้อยก็ดีใจมากเช่นกัน ในอดีต นางสามารถกลั่นแกล้งบัณฑิตได้เพียงไม่กี่โหล ทว่ามันก็ยังไม่น่าพอใจพอ แต่ตอนนี้นางสามารถกลั่นแกล้งบัณฑิตที่ร่ำรวยจากทั่วอาณาจักรได้! นางสามารถจัดการใครก็ได้ที่นางไม่ชอบ มันสนุกมากจริงๆ!
ไม่ควรเรียกว่าการกลั่นแกล้งสิ ต้องบอกว่ามอบวินัยให้ด้วยความรัก! นางถือกระดาษทดสอบและตบลงบนใบหน้าของเกาเทียนหยู เอามือวางบนสะโพกและกล่าวออกมาด้วยความโกรธว่า "ดูผลการสอบของเจ้า ครานี้ก็ตกอีกครั้ง! นี่เป็นครั้งที่สิบสามแล้วนะ มันไม่ใช่แค่น่าอับอายสำหรับเจ้า แต่ยังน่าอับอายสำหรับข้าที่เป็นอาจารย์ประจำห้องของเจ้าด้วย!”
นางยกกําปั้นเล็กขึ้นและถามว่า "เจ้าคิดว่าวินัยแห่งความรักของข้าไม่เพียงพอหรือ? เจ้าต้องการที่จะถูกชกอีกสักสองสามหมัดหรือไม่?”
ใบหน้าของเกาเทียนหยูเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาพูดอย่างอ่อนแรงว่า "ท่านหญิงน้อย ข้าพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว! จากผลงานของข้าในการสอบประจำเดือนครั้งก่อน ข้าจะผ่านแน่นอน แต่ใครจะรู้กันเล่าว่าคราวนี้การสอบมันจะยากมากจนข้าไม่อาจทำอะไรได้!"
“ใช่ มันยากเกินไปแล้ว เพียงอ่านก็แทบทำให้ข้าสิ้นชีวาไปด้วยซ้ำ”
"กระทั่งบัณฑิตจากห้องอื่นก็ยังไม่ผ่านการสอบเลย!"
“ข้าปวดหัวจะแย่แล้ว!”
…
ทุกคนเริ่มบ่น
“มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้วิธีทำข้อสอบกันแน่!” ท่านหญิงน้อยกล่าวออกมาอย่างกับเป็นผู้มากประสบการณ์ "การสอบเช่นนี้มักมีรูปแบบอยู่ เจ้าต้องนึกถึงเจตนาของผู้สร้างข้อสอบ! ลองคิดดูว่าทำไมพวกเขาถึงตั้งคำถามแบบนี้และกำลังทดสอบอะไรอยู่! เมื่อเจ้าคิดออก การตอบคําถามจะกลายเป็นเรื่องง่าย!"
“ข้าคิดออกแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้!” เกาเทียนหยูดูสิ้นหวัง ดวงตาของเขาฉายแววไร้ชีวิตชีวา
ท่านหญิงถึงกับสับสน "ถ้าเจ้าคิดออกแล้ว ทําไมเจ้าไม่รู้วิธีตอบ"
"เพราะเขาต้องการให้ข้าตายไงเล่า!" เกาเทียนหยูกัดฟันแน่น
“อุ๊บ!” ท่านหญิงน้อยระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กอดท้องของนางไว้แน่น "เจ้าพูดได้ตรงเผง!"
บัณฑิตคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อุ๊บ!”
"ท่านหญิงน้อย ท่านช่วยข้าโน้มน้าวให้ผู้อำนวยการใหญ่หยุดตั้งคําถามที่ยากเช่นนี้ได้ไหม? ตระกูลของข้ายากจนมากจริงๆ จวนแทบจะล้มละลายแล้ว ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด!"
"ใช่ ท่านหญิงน้อย ได้โปรดช่วยข้าโน้มน้าวผู้อำนวยการใหญ่ด้วย! ข้าเรียนหนักมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทําให้ความรู้ข้าพัฒนาไปมาก! แต่ใครจะรู้เล่าว่าคําถามที่เขาคิดขึ้นมาจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ข้าสิ้นหวังแล้ว!”
"ท่านหญิงน้อย ข้าเปลี่ยนตัวข้าไปแล้ว ได้โปรดอย่าทรมานข้าอีกต่อไปและให้โอกาสข้าด้วย!"
"ท่านหญิงน้อย ถ้าข้าสอบผ่าน ข้าจะทำทุกอย่างตามที่ท่านร้องขอ!"
ทุกคนต่างขอร้องให้นางช่วย
ท่านหญิงดูพึงพอใจอย่างมาก ซึ่งนางก็โบกมือตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก "ได้ ข้าจะไปคุยกับเขาและขอให้เขาหยุดตั้งคําถามที่ยากเช่นนี้ในครั้งต่อไปเอง! แต่ข้าไม่สามารถรับประกันอะไรได้!"
เหล่าบัณฑิตดีใจมาก “ขอบคุณท่านหญิงน้อย!”
ท่านหญิงน้อยจึงไปหาหลินเป่ยฟานอย่างมีความสุข
“ท่านหญิงน้อย ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ?” หลินเป่ยฟานวางเอกสารในมือลงและยิ้มให้
"หลินเป่ยฟาน เจ้าช่วยหยุดทําข้อสอบในครั้งถัดไปให้ยากขึ้นได้หรือไม่? เหล่าบัณฑิตของข้าเริ่มสงสัยในชีวิตของพวกเขาแล้ว!" ท่านหญิงตรงเข้าประเด็นทันที
หลินเป่ยฟานไม่เข้าใจ “มันยากขนาดนั้นเลยหรือ? แม้นหลับตาข้าก็ยังสามารถทำมันได้เลย!”
ท่านหญิงหงุดหงิด "ก็แน่ล่ะสิ คำถามเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายสําหรับบัณฑิตระดับสูงเยี่ยงเจ้าที่สอบผ่านด้วยคะแนนสูงสุด แต่สําหรับบัณฑิตของข้าต่างกำลังดิ้นรนด้วยชีวิต พวกเขาก้าวหน้าไปมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่มันก็ยังยากมากอยู่ดี โปรดให้โอกาสพวกเขาด้วยเถอะ มิฉะนั้นข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะคิดฆ่าตัวตายเอาจริงๆ"
"ย่อมได้ คราวหน้าข้าจะไม่ทําให้คําถามยากขนาดนี้แล้ว!" หลินเป่ยฟานตอบตกลงทันที เพราะเขารู้แนวคิดของ “การตกปลาจากบ่อทีละขั้น” เขาต้องให้ความหวังกับพวกเขาสักหน่อยและค่อยๆ ผูกมัดพวกเขาเอาไว้ เมื่อพวกเขาอ้วนขึ้นแล้ว เขาจึงสามารถฆ่าพวกเขาได้
"ขอบคุณเจ้ามาก!" ท่านหญิงน้อยยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับว่าหลินเป่ยฟานทําเช่นนี้เพื่อนาง
นางหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่ดูประณีตออกจากกระเป๋าของนางด้วยความลังเลและความคาดหวัง "หลินเป่ยฟาน นี่คืออาหารอันโอชะที่ข้าชอบ มากินด้วยกันเถิด!”
"ยินดี!" หลินเป่ยฟานพยักหน้าและยิ้มออกมา
จากนั้นทั้งสองก็ปีนขึ้นไปที่จุดสูงสุดของสำนักศึกษาหลวงและนั่งเคียงข้างกันบนขอบรั้ว เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่งดงามในระยะไกลในขณะที่กินอาหารอันโอชะ
อาหารเลิศรสมีไม่นานนัก กัดเพียงสองหรือสามก็หมดลง แต่ภาพตรงหน้างดงามมากจนไม่อยากจากไป
เมื่อถึงยามนี้ ดวงอาทิตย์ก็ได้ตกลงแล้ว ส่องแสงสีทองอันอบอุ่นให้แก่พวกเขา ไม่รุนแรง แต่ค่อนข้างสบาย
พออาบด้วยแสงแดดสีทอง พวกเขาก็ส่องแสงเหมือนดั่งเทพเจ้าและเทพธิดา
"ทิวทัศน์นี้งดงามมาก ข้าได้แต่หวังว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป!" ท่านหญิงน้อยแกว่งขาสั้นของนางอย่างเบื่อหน่าย เท้าคางไว้บนมือของนางเอง “ทำให้ข้าตระหนักได้ทันทีว่าชีวิตนั้นแสนสั้น เรามักจะใช้เวลาไปกับการนิ่งเฉยโดยไม่รู้ว่าทำไม หรือบางทีกลับพลาดสิ่งสวยงามเช่นนี้ไป! บางครั้งเราก็ควรหยุดตัวเองให้ช้าลงบ้าง บางทีเราอาจค้นพบหลายสิ่งที่แตกต่างออกไป! หลินเป่ยฟาน เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
“เป็นเช่นนั้น ท่านกล่าวถูกอย่างยิ่ง!” หลินเป่ยฟานพยักหน้าทันที
จากนั้นท่านหญิงตัวน้อยก็หันหัวไปมองหลินเป่ยฟานและถามคําถามเชิงปรัชญาทันทีว่า "เช่นนั้นแล้วหลินเป่ยฟาน จุดประสงค์ของการมีชีวิตคืออะไร?"
"เพื่อเงินตราและสตรี!" หลินเป่ยฟานตอบโดยไม่ลังเล
ท่านหญิงน้อยชกเขาด้วยหมัดเล็กๆ และกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าเป็นขุนนางระดับสูงคนใหม่ที่สอบได้คะแนนสูงสุดและยังเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงด้วย เจ้ากล่าววาจาหยาบคายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
"เพื่อการงานและความรัก!" หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงสูงส่ง...
"ดี!" ท่านหญิงน้อยพยักหน้าด้วยความพอใจ แต่แล้วก็สับสนในวินาทีถัดมา “เดี๋ยวก่อน มันเหมือนกันเลยไม่ใช่หรือ?”
“มันต่างออกไปเลยต่างหาก!” หลินเป่ยฟานกล่าวอ้าง
"มันต่างกันตรงไหน?" ท่านหญิงน้อยเอ่ยถามออกมาด้วยความโกรธ
หลินเป่ยฟานจึงให้เหตุผลกับตัวเองว่า "เงินนั้นฟังดูหยาบคาย ส่วนอาชีพนั้นมีเกียรติ! ความรักคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่วนสตรี..."
“สตรีมันอะไร?” ท่านหญิงขยับเข้ามาใกล้ด้วยหมัดเล็กๆ ของนาง
“สตรีทั้งหลายนั้นน่ารัก!” หลินเป่ยฟานยังคงให้เหตุผลต่อ "ผู้คนสามารถอยู่ได้โดยปราศจากเงิน แต่พวกเขาไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาชีพ! ผู้คนสามารถอยู่ได้โดยปราศจากสตรี แต่พวกเขาไม่สามารถอยู่ได้ไร้ซึ่งความรัก!"
ท่านหญิงดูสับสนอีกครั้ง "ถ้าไม่มีสตรี แล้วจะมีความรักได้เช่นไร?"
"ท่านหญิงน้อย ท่านช่างสายตาไม่กว้างไกลนัก!" หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมา “ความรักนั้นยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ก้าวข้ามขอบเขตของอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังสามารถข้ามผ่านเพศและเชื้อชาติไปได้! ท่านไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ? ความรักระหว่างบุรุษคือความรักที่แท้จริง ส่วนความรักระหว่างบุรุษและสตรีมีไว้เพื่อสืบลูกหลานเท่านั้น!”
ท่านหญิงหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ "เจ้าคิดจะเอาชนะข้าด้วยเรื่องไร้สาระของเจ้าอีกแล้วสินะ!"
นางชกต่อยหลินเป่ยฟานเบาๆ อีกสองสามครั้ง และทั้งสองก็ยังคงเพลิดเพลินกับภาพพระอาทิตย์ตก
ท่านหญิงน้อยหันศีรษะเล็กน้อยและมองดูหลินเป่ยฟาน นางไม่รู้ว่าทําไม แต่ทันใดนั้นนางกลับคิดว่าเขาดูมีเสน่ห์และหล่อเหลายิ่ง นางเบือนหน้าหนีและเท้าคางลงบนมือของนางต่อไป “หลินเป่ยฟาน ข้ามีคำถามจะถามเจ้าอีก!”
"เชิญเลย ข้าจะตอบท่านทุกอย่างที่ข้ารู้เอง!"
ดวงตาของท่านหญิงน้อยคล้ายมีหมอกบางเบาปรากฏ "ข้าได้ยินมาว่าเมื่อมีคนตกอยู่ในอันตราย คนผู้นั้นมักจะตะโกนชื่อหนึ่งออกมา ซึ่งชื่อที่ตะโกนออกมาคือคนที่สำคัญที่สุดในหัวใจของคนผู้นั้น! หากว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะตะโกนชื่อผู้ใดออกมางั้นหรือ?”
หลังจากถาม นางก็มองไปทางหลินเป่ยฟานอย่างคาดหวัง
"ชื่อที่ข้าตะโกนออกมา..." หลินเป่ยฟานคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์และไม่ตอบสิ่งใดกลับมา
ท่านหญิงน้อยอดไม่ได้ที่จะถามว่า "เป็นชื่อบิดามารดาของเจ้าหรือไม่?"
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาไปมา "ไม่"
ท่านหญิงน้อยถามอีกครั้งว่า "เป็นชื่อพี่น้องของเจ้าหรือไม่?"
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาไปมา "ไม่ ข้าไม่มีพี่น้อง!"
ท่านหญิงน้อยถามอีกครั้งว่า "เป็นชื่อศิษย์พี่ของเจ้าหรือ?"
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาไปมาอีกครั้ง "ไม่ใช่"
ท่านหญิงน้อยถามอีกครั้ง “เป็นชื่อของพี่สาวซือซือหรือไม่?”
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาไปมาอีกครั้ง "ไม่"
หลังจากถามไปอีก หลินเป่ยฟานก็ยังไม่ตอบ
ท่านหญิงน้อยเริ่มโกรธ "แล้วเป็นผู้ใดกัน?"
หลินเป่ยฟานขมวดคิ้ว "ข้าไม่รู้! หากเป็นยามนั้นข้าคงคิดได้แค่ 'บัดซบอะไรกันเนี่ย?' ข้าคิดว่าข้าคงตะโกนสิ่งนี้ออกมาเมื่อข้าตกอยู่ในอันตราย!”
"บัดซบอะไรกันเนี่ย!" ท่านหญิงอุทานออกมาเช่นกัน
"ท่านหญิงน้อย ท่านก็เหมือนกันกับข้าสินะ!" หลินเป่ยฟานดูเหมือนจะพบเจอกับสหายแห่งจิตวิญญาณ เขากล่าวออกมาอย่างมีความสุข
"ไปให้พ้นเลยไป! ใครมันจะเหมือนเจ้ากัน? ไอ้บ้าบอที่ไหนจะตะโกนคำเช่นนี้เมื่อตกอยู่ในอันตราย?“ท่านหญิงน้อยต่อยเขาอีกครั้งและกล่าวพลางหัวเราะว่า”เจ้ากําลังพยายามทําให้ข้าหัวเราะจนตายนะ...พอใจแล้วหรือยังล่ะ?"
ที่จริงภายในใจนั้น นางรู้สึกสุขใจยิ่ง!
บุรุษผู้นี้เป็นอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้นางมีความสุขได้เสมอ!
นางหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดกาล!
ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นคนสวมชุดเกราะขี่ม้าสีดำกำลังพุ่งทะยานไปตามถนนด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
อีกฝ่ายขี่อย่างดุร้ายเหมือนดั่งกระทิงที่ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
ใบหน้าของหลินเป่ยฟานและท่านหญิงน้อยเปลี่ยนไป
"สารด่วนจาก 800 ลี้! มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!"