บทที่ 26 การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
บทที่ 26 การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม
เฉิงเซี่ยนลิ่งพบกับอู๋ฉีเพียงลำพังด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“อู๋จวงจู๊ เรื่องกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองโจมตีคราวนี้ ข้าต้องขอขอบคุณการแสดงที่กล้าหาญของท่าน เป็นเพราะท่าน…เมืองนี้ถึงสามารถรอดพ้นจากวิกฤตนี้ได้!”
อู๋ฉียิ้มตอบรับคำขอบคุณอย่างสุภาพ
เฉิงเซี่ยนลิ่งกล่าวอีกครั้งว่า "อู๋จวงจู๊เกิดที่เมืองลอู๋ใช่ไหม?"
อู๋ฉีสงสัยว่า…เจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?เจ้าถามข้าอีกทำไม?
แต่ท้ายที่สุด อีกฝ่ายเป็นเซี่ยนลิ่ง(นายอำเภอ) และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ดังนั้นอู๋ฉีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบเขา: "ถูกต้อง… เมืองอู๋"
เฉิงเซี่ยนลิ่งกล่าวอย่างสบายๆ ว่า "ตระกูลอู๋ย่อมมีชื่อเสียงในเมืองอู๋เช่นกัน ตระกูลอู๋ร่ำรวยและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับตระกูลเฉิงในเมืองซูโจว"
อู๋ฉี “หะ?”
ข้าคิดว่า…เจ้ากำลังพยายามมีความสัมพันธ์กับข้างั้นเหรอ?
เฉิงเซี่ยนลิ่งถามอีกครั้งว่า "จงโหวคือบรรพบุรุษของอู๋จวงจู๊หรือเปล่า?"
อู๋ฉีรู้ว่าเพื่อที่จะรวมเขาเข้ากับโลกใบนี้ ระบบได้ให้ตัวตนแก่เขา พร้อมกับตัวตนนี้ก็คือความทรงจำที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษนั่นเอง
ในความทรงจำของเขา ดูเหมือนว่า 'ตัวข้า' คือผู้สืบเชื้อสายของจงโหวอู๋ฮั่นจริงๆ
(侯 Hóu เจ้าพระยา)
อู๋ฮั่นเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดแม่ทัพหยุนไถแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งเขาอยู่ในอันดับที่สอง เขามาจากพื้นเพที่ต่ำต้อย ในช่วงปีแรกๆ เขาทำงานรับใช้ให้เล่าซิ่ว ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งเสี่ยวโหว และช่วยเหลือเล่าซิ่วในสงครามทั้งทางใต้และทางเหนือ หลังจากนั้นเล่าซิ่วขึ้นครองบัลลังก์และสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ เขากลายเป็นจักรพรรดิฮั่นกวังอู่(ฮั่นกองบู๊) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
และเนื่องจากการรับใช้จักรพพรดิ อู๋ฮั่นจึงได้เป็นต้าซือหม่า(ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) และได้รับตำแหน่ง กวงผิงโหว ซึ่งเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และหลังจากการตายของเขา เขายังได้รับตำแหน่งหลังมรณกรรมเป็น จงโหว
แน่นอนว่าแซ่ของอู๋ฉีคืออู๋ ในฐานะบุคคลแห่งศตวรรษที่ 21 เขาอาจเป็นลูกหลานของอู๋ฮั่น เนื่องจากญาติและบรรพบุรุษของเขา
เฉิงเซี่ยนลิ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า "จงโหวมีพื้นเพมาจากหนานหยาง แต่ลูกหลานของเขากระจายออกไปและแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทั่ว หนึ่งในนั้นหยั่งรากในเมืองอู๋ และพวกเขาเป็นบรรพบุรุษของอู๋จวงจู๊นั่นเอง"
เขายังกล่าวอีกว่า "และข้ายังเคยได้ยินมาว่า จงโหวเป็นลูกหลานของอู๋ซี เดิมทีอู๋ซีมาจากแคว้นเว่ย แต่เขาสร้างชื่อทั้งแคว้นเว่ยและแค้วนฉู่ จนชื่อเสียงของเขาได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์!"
อู๋ซีผู้นี้ก็คืออู๋ฉี นักยุทธศาสตร์การทหารที่มีชื่อเสียง "ตำราพิชัยสงครามของอู๋ฉี" ได้รับการสืบทอดสู่โลก ร่วมกับซุนวู เขาถูกเรียกรวมกับซุนวูว่า เป็นหนึ่งในสิบนักปรัชญาของนักยุทธศาสตร์การทหารในยุคต่อมา
เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้ อู๋ฉีไม่ได้พูดอะไรเลย เขารอคำพูดต่อไปของเฉิงเซี่ยนลิ่ง…
เฉิงเซี่ยนลิ่งกล่าวต่อว่า "อู๋จวงจู๊…ท่านมีรูปแบบเหมือนบรรพบุรุษของท่านมาก ไม่เพียงแต่ท่านเหนือกว่าคนอื่นๆ ในกองทัพเท่านั้น แต่ท่านยังมาที่เมืองฟางเฉิงเพียงลำพังตั้งแต่อายุยังน้อย ขยายสาขาและขยายตระกูล แถมยังเพิ่มเกียรติให้กับบรรพบุรุษของท่านอีกด้วย ข้าชื่นชมท่านมาก ส่วนตัวข้า…ผู้แซ่เฉิง เมื่อคิดถึงตัวข้าเอง ข้าออกจากบ้านเกิดและมาที่เมืองฟางเฉิงเพื่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ ... ข้าเองก็คล้ายกับอู๋จวงจู๊เช่นกัน แต่ข้าประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้ารู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง!”
อู๋ฉีกล่าวตอบอย่างเขินอายว่า "ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวแบบนี้ ท่านยังอายุน้อย และความสำเร็จในอนาคตของท่านนั้นไร้ขีดจำกัด ในอนาคต ท่านจะต้องได้รับทั้งตำแหน่งโหวและเสนาบดี ซึ่งคือสิ่งที่ข้าคนแซ่อู๋ควรอิจฉามากกว่า!”
เมื่อได้ยินคำเยินยอ เฉิงเซี่ยนลิ่งแสดงรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ "ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณมากอู๋จวงจู๊…สำหรับคำพูดดีๆ ของท่าน แต่ตอนนี้ มันเป็นโอกาสที่ดีที่ข้าจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง"
อู๋ฉีคิดอย่างรอบคอบว่า "ท่านกำลังพูดถึงความสำเร็จในการปกป้องเมืองในครั้งนี้?"
เฉิงเวี่ยนลิ่งยิ้มและพยักหน้าแต่เขาไม่ได้พูดอะไร
อู๋ฉีเข้าใจแล้ว เขาต้องการใช้ความสำเร็จของข้าเพื่อเลื่อนตำแหน่ง!
เอาล่ะ…เจ้าออกนอกเส้นทางครั้งใหญ่ เจ้าแยกแยะบรรพบุรุษของข้า ยกย่องข้า และสร้างความสัมพันธ์กับข้า นั่นคือจุดประสงค์หลักสินะ!
ไอ้พวกขุนนางพวกนี้…ทำไมเจ้าไม่พูดตรงๆ เจ้าจะเดินอ้อมจนหลงป่าทำเพื่อ!?!
ลืมไปซะ เพราะเขาต้องการบางอย่างจากข้า งั้นก็ให้เขาไปเถอะ!
หลังจากนั้นอู๋ฉีจึงกล่าวว่า "เซี่ยนลิ่ง การที่เราสามารถต้านทานการโจมตีกองทัพโจรของฉู่เอี๋ยนได้ในครั้งนี้ ทั้งหมดนี้ต้องเราขอบคุณคำสั่งและการควบคุมที่ดีของท่าน...ท่านคือผู้ที่มีส่วนร่วมมากที่สุด! สิ่งที่ข้าทำคือ ทำตามคำสั่งของท่าน!”
เฉิงเซี่ยนลิ่งหัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินสิ่งนี้ เขาโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ท่านไม่สามารถพูดอย่างนั้นได้ อู๋จวงจู๊เป็นผู้มีส่วนร่วมหลัก และผู้แซ่เฉิงก็แค่ทำสิ่งที่น้อยนิดเพื่อทำหน้าที่ของข้าให้สำเร็จ!"
อู๋ฉีแอบสาปแช่งความหน้าซื่อใจคดของคนแซ่เฉิงผู้นี้จริงๆ
หลังจากนั้น เฉิงเซี่ยนลิ่งได้เรียกเสมียนเทศมณฑล และเขาเริ่มร่างหนังสือกราบทูลเพื่อรายงานเหตุการณ์นี้ต่อราขสำนัก ในระหว่างกระบวนการ เขาถามอู๋ฉีเป็นครั้งคราวว่า "ใช้ได้ไหม? "
แน่นอนว่าอู๋ฉีเห็นด้วยอย่างสุดใจ และเขาจะทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูด…
จริงๆ แล้ว ในฐานะเซี่ยนลิ่งประจำเทศมณฑล เขาสามารถตัดสินใจเองได้ในการเขียนหนังสือกราบทูลถึงราชสำนัก และแน่นอนว่า เฉิงเซี่ยนลิ่งคือผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าใครจะได้รับความดีความชอบนี้ไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอู๋ฉีคือบุคคลที่มีชื่อเสียงและเขามีชื่อเสียงระดับ "เป็นที่รู้จักในมณฑลและเทศมณฑล" เฉิงเซี่ยนลิ่งย่อมไม่กล้าที่จะรับความดีความชอบจากอู๋ฉี สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้อู๋ฉีขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังเป็นการรุกรานคนส่วนใหญ่ด้วย แต่เนื่องจากอู๋ฉีเห็นด้วยกับความดีความชอบในครั้งนี้ ต่อไปในอนาคต เขาก็ต้องพยายามสนับสนุนอู๋ฉีเพื่อตอบแทนอย่างแน่นอน
ส่วนอู๋ฉีเขาไม่สนใจความดีความชอบนี้จริงๆ…
ประการแรก…เขามีระบบอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาอยากจะครองโลกและปรารถนาที่จะครองบัลลังก์ในอนาคต ดังนั้นเขาจะสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?
ประการที่สอง เขารู้บางอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสามก๊ก และเขาก็รู้ด้วยว่าหลังจากกบฏโพกผ้าเหลือง มันจะมีการสู้รบนับไม่ถ้วนที่จะต่อสู้ในอนาคต และเขาสามารถบรรลุความสำเร็จมากมาย รวมถึงงานนี้ด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น...
อู๋ฉียิ้มและพูดว่า "เฉิงเซี่ยนลิ่ง แม้ว่าผู้นำโจรฉู่เอี๋ยนจะถูกจับกุมแล้ว แต่ด้วยความโกลาหลของพวกโจรโพกผ้าเหลือง เรายังผ่อนคลายไม่ได้!"
ผู้พิพากษาเฉินพยักหน้ากล่าวว่า "อู๋จวงจู๊กล่าวถูกต้อง!"
อู๋ฉีพูดต่อ "ดังนั้น ข้าจึงต้องเตรียมการเพิ่มเติม เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยเหลือเมืองได้ดีขึ้นในช่วงสงครามครั้งต่อไป และรักษาเมืองฟางเฉิงให้ปลอดภัย!"
เฉิงเซี่ยนลิ่งไม่เหมือนอู๋ฉี เขาคุ้นเคยกับการพูดเป็นวงกลม เขาเดาได้ทันทีว่าอู๋ฉีหมายถึงอะไร และพูดทันทีว่า "อู๋จวงจู๊ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากสำนักงานประจำเทศมณฑล"
อู๋ฉียิ้มและตอบว่า “ช่างตีเหล็กและม้า!”
เมื่ออู๋ฉีกลายเป็นเจ้าของหมู่บ้านสกุลอู๋ครั้งแรกเมื่อครึ่งปีที่แล้ว เขายังคิดที่จะขอให้ช่างตีเหล็กสร้างอาวุธ ชุดเกราะ ฯลฯ หลังจากนั้นจึงหาม้าเพื่อสัมผัสกับการเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่สมัยโบราณ!
แต่ข้าไม่เคยคาดหวังว่า ที่ผ่านมาตัวเอกในนิยายต่างๆ มักจะได้รับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลย!
เพราะว่าในสมัยโบราณ สิ่งของทั้งสองนี้เป็นวัตถุทางการทหาร มันคืออาวุธสำคัญของประเทศ และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของโดยสามัญชนทั่วไป!
ก่อนอื่นเลย…ช่างตีเหล็ก หากเจ้าต้องการขอให้ช่างตีเหล็กทำเครื่องมือในฟาร์ม นั่นย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าอยากได้ดาบหัวแหวน เจ้าก็ต้องลงทะเบียนในทะเบียนประวัติเพื่อบันทึกว่า…ซื้อเมื่อไรและซื้อมาเพื่ออะไร ถ้าเจ้าทำดาบหาย เจ้าจะต้องรายงานต่อราชสำนัก
แต่ถ้าเจ้าต้องการสร้างชุดเกราะ หอก ธนูหรือหน้าไม้ หรืออะไรทำนองนั้น ช่างตีเหล็กจะเรียกเจ้าหน้าที่มาจับกุมเจ้าทันที!
เพราะการถือครองสิ่งเหล่านี้เป็นการส่วนตัวถือว่าเป็นการกบฏ!
แล้วม้าล่ะ?
ถ้าเป็นแค่ม้าเกวียนธรรมดาหรือม้าไถนาก็ไม่มีปัญหา แค่ซื้อเท่าไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
แต่ถ้าจะใช้เพื่อจุดประสงค์ทางทหาร มันก็ต้องเป็นม้าที่แข็งแกร่งเพียงพอ
มันไม่ได้หมายความว่าแค่มีม้าก็สามารถใช้เป็นม้าทหารได้ ถ้าม้าไม่สูงพอหรือแข็งแรงพอ ไม่เพียงแต่จะแบกทหารที่สวมชุดเกราะหนักไม่ได้เท่านั้น แต่มันยังไม่สามารถวิ่งเร็วและเข้าชาร์จไม่ได้อีกด้วย!
ถ้าเจ้าเป็นเจ้าของม้าที่แข็งแรงสองตัว ราชสำนักจะเข้ามาถามเจ้า...ด้วยประโยคเดิม เจ้าอยากจะเป็นกบฏใช่ไหม?
ดังนั้น…เรื่องแบบนี้ต้องได้รับอนุมัติจากราชสำนักนั่นเอง
ในสถานการณ์ปัจจุบันของอู๋ฉี เขาไม่เคยขาดแคลนทหาร เพราะเขาเชี่ยวชาญทักษะโปรยถั่วสร้างทหาร ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เขาได้สร้างทุ่งนาเพิ่มขึ้น ทั้งปลูกและซื้อถั่วจำนวนมาก และอาหารก็เพียงพอสำหรับทหารถั่ว
แต่ทหารถั่วเหล่านี้ล้วนเป็นทหารมือเปล่า ไม่มีอาวุธ อุปกรณ์ หรือม้า พวกเขาสามารถใช้เพื่อต่อสู้กับโจรทั่วไปได้เท่านั้น เช่นพวกโจรหมู่บ้านเฮยเฟิง…
แต่ทว่า……
กองทัพโจรในกองทัพกบฏโพกผ้าเหลืองล่ะ? ไม่มีทางสู้!
อู๋ฉีไม่เชื่อว่ากบฏโพกผ้าเหลืองสามารถกวาดล้างประเทศได้ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่มีพวกชนชั้นสูงในหมู่พวกเขา!
ดังนั้น เขาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
เมื่อได้ยินคำขอนี้ เฉิงเซี่ยนลิ่งพยักหน้า "สิ่งที่อู๋จวงจู๊พูด มันสมเหตุสมผล งั้นก็..."
ในตอนนี้เอง เจ้าหน้าที่เทศมณฑลมารายงานว่า "รายงานเซี่ยนลิ่ง ฉู่เอี๋ยนตื่นแล้ว!"