ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 792 ความอัปยศและความมุ่งมั่น (อ่านฟรี)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 792 ความอัปยศและความมุ่งมั่น (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานกล่าว “ถูกต้อง”
จูเยี่ยนมองศึกษาหลี่ฉิงซานก่อนจะหัวเราะออกมา
“สหาย เหตุใดท่านจึงหัวเราะ?” หลี่ฉิงซานยกคิ้วขึ้น
“ข้าหัวเราะเยาะที่เด็กเหลือขอเช่นเจ้ากล้าเรียกข้าว่าสหาย เจ้าเสียสติไปแล้ว คนโง่เขลาเช่นนี้ถูกเรียกว่าราชาอำมหิตและเจ้าก็คิดว่าตนเองเป็นราชาจริงๆ”
จูเยี่ยนไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเหยียดหยามหลี่ฉิงซาน เปลวไฟบนตัวเขาพุ่งสูงขึ้นขณะที่คลื่นความร้อนโจมตีหลี่ฉิงซานและทำให้เสื้อผ้าของเขากลายเป็นยุ่งเหยิง
ลำดับชั้นของผู้ฝึกตนเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญ ยิ่งการบ่มเพาะสูงเท่าใด ความแตกต่างก็ยิ่งมากเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างความเท่าเทียมระหว่างฝึกฝึกตนสองระดับที่แตกต่างกัน ผู้ฝึกต้นที่ต่ำชั้นกว่าจะต้องแสดงความเคารพต่อผู้ฝึกตนระดับสูง นั่นคือมารยาทรูปแบบหนึ่งในสังคมของผู้ฝึกตน
ราชาต้นไทรบรรพกาลตระหนักถึงโอกาส เมื่อรวมกับนิสัยที่อ่อนโยนของเขา นั่นจึงทำให้เขาเรียกหลี่ฉิงซานว่าสหาย แต่สิ่งนี้ยังทำให้ราชาอาณาจักรเยว่ประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าราชามนุษย์เพลิงไม่เชื่อว่าหลี่ฉิงซานมีสิทธิ์ที่จะยืนหยัดอย่างเท่าเทียมกับเขา
หลี่ฉิงซานเริ่มหัวเราะเสียงดังเช่นกัน
“เจ้าหัวเราะสิ่งใด?” ความรู้สึกเหยียดหยามของจูเยี่ยนหายไปบางส่วนเมื่อเขาเห็นหลี่ฉิงซานยังหัวเราะได้ภายใต้แรงกดดันจากเขา
“หากเจ้าไม่ชอบถูกเรียกว่าสหาย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพ และไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์เป็นสหายกับข้า!” หลี่ฉิงซานกล่าว
“เจ้า!” จูเยี่ยนโกรธมาก เขาต้องประเมินหลี่ฉิงซานใหม่อีกครั้ง เขาชี้หอกเพลิงออกไป “เจ้าช่างกล้าหาญนัก เหตุใดเจ้าต้องสอดแนมภูเขาเพลิงลาวา? หากไม่อธิบายให้ชัดเจน เตรียมกินหอกของข้าได้เลย!”
เผ่ามนุษย์เพลิงเป็นคนอารมณ์รุนแรงและบ้าบิ่น เขาไม่คำนึงถึงภูมิหลังของฝ่ายตรงข้ามและเริ่มคุกคามตั้งแต่ต้น พวกเขาเป็นคนหยิ่งและเลือดร้อนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลี่ฉิงซานเข้าใจดีว่ามันยากที่เรื่องนี้จะจบลงอย่างสงบ โดยไม่ต้องกล่าวถึงความจริงที่ว่าเขาปฏิเสธที่จะโค้งคำนับหรือแม้แต่จะป้องหมัดทักทาย แม้เขาจะเต็มใจ แต่อีกฝ่ายจะยิ่งดูแคลนเขา โดยพื้นฐานแล้วเขาเพียงพยายามทำสิ่งที่เขาทำได้
“ข้าได้ยินว่าภูเขาเพลิงลาวามีต้นอู๋ตงศักดิ์สิทธิ์ ข้าอยากยืมมัน!”
จูเยี่ยนผงะ “มีสิ่งใดผิดปกติกับหัวของเจ้าหรือไม่?”
หลี่ฉิงซานถาม “หูของเจ้าผิดปกติงั้นหรือ?”
จูเยี่ยนเบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะอีกครั้งและวางหอกไว้บนไหล่ เขากล่าวติดตลกว่า “เป็นไปได้ที่เจ้าจะยืมต้นอู่ตงศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้ามีเงื่อนไข”
หลี่ฉิิงซานค่อนข้างประหลาดใจ เขาถาม “เงื่อนไขใด?”
“ไปที่ทะเลใต้และนำศีรษะของราชามนุษย์เงือกมาให้ข้า ด้วยวิธีนี้ข้าจะให้เจ้ายืมต้นอู่ตงศักดิ์สิทธิ์!” จูเยี่ยนหัวเราะ
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้ว คนเลวผู้นี้กำลังล้อเล่นกับเขา เขากล่าวอย่างจริงจัง “หากข้าต้องทำสิ่งนั้น มันคงดีกว่าที่ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าออกมาโดยตรง”
ใบหน้าของจูเยี่ยนกลายเป็นแข็งทื่อ “ในเมื่อเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นก็ไม่ควรมาสร้างปัญหา แต่เมื่อคำนึงถึงความจริงที่ว่าเจ้าทำให้ข้าหัวเราะ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ตั้งแต่นี้ห้ามเจ้าเรียกตัวเองว่าราชาอำมหิตอีกต่อไป หากข้ารู้ ข้าจะเผาภูเขาอำมหิตของเจ้าให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!”
เขาหยาบคายมาก แต่เขายังคำนึงถึงตัวตนของหลี่ฉิงซาน มันไม่เกี่ยวกับราชานักบวชแห่งวัดเทวนาคาแต่เกี่ยวกับจักรวรรดิต้าเซี่ย
ในดินแดนแห่งความโกลาหลเช่นภาคใต้ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้ใดสนใจตัวตนของผู้บัญชาการอินทรีย์เงิน แม้เขาจะตาย แต่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็จะไม่ล้างแค้นให้เขา อย่างไรก็ตามมันยังมีข้อยกเว้นบางอย่าง
จักรวรรดิต้าเซี่ยระวังเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่ามนุษย์เพลิง หากผู้บัญชาการอินทรีย์เงินเสียชีวิตบนภูเขาเพลิงลาวา บางทีราชาอินทรีย์อาจเคลื่อนไหวและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจหยั่งรู้ แม้จักรวรรดิต้าเซี่ยจะเริ่มเสื่อมถอยลง แต่จูเยี่ยนไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงเพียงเพื่อฆ่าคนโง่ที่มีบางอย่างผิดปกติกับหัวของเขา
หลี่ฉิงซานเริ่มโกรธก่อนจะกลายเป็นเจตจำนงแห่งการต่อสู้ เขามองจูเยี่ยนด้วยดวงตาสีเข้มที่ค่อยๆกลายเป็นสีแดงเพลิง
จูเยี่ยนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ เขาเริ่มรู้สึกถึงการคุกคามเล็กน้อย “หากเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าจะให้ตามที่เจ้าต้องการ!”
เสี่ยวอันดึงแขนเสื้อของหลี่ฉิงซานและส่ายศีรษะเบาๆ
กลิ่นอายของหลี่ฉิงซานสงบลง เขาป้องหมัดขึ้น “วันนี้ข้าได้เห็นพลังของราชามนุษย์เพลิงแล้ว มันไม่เสียเวลาจริงๆ เนื่องจากท่านไม่ให้ข้ายืม ข้าก็จะไป” โดยไม่คำนึงถึงคำตอบของจูเยี่ยน เขาหันหลังกลับและจากไปด้วยความหงุดหงิด
ในเสี้ยวพริบตานั้นเขาคิดถึงความเป็นไปได้มากมายเช่นการล่อจูเยี่ยนเข้าไปในทุ่งอสูรกายและร่วมมือกับเสี่ยวอันฆ่าเขา อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่ทุ่งอสูรกายจะกักขังตัวตนระดับนี้ไว้ได้เป็นเวลานานและมันก็ยากสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าเขาด้วยการโจมตีเดียว
แท้จริงแล้วมีโอกาสน้อยมากที่ผู้ฝึกตนที่ผ่านภัยพิบัติสวรรค์สามครั้งจะถูกสังหาร เว้นเพียงพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างท่วมท้น อย่างไรก็ตามในโลกใบนี้มีไม่กี่คนที่สามารถบดขยี้จูเยี่ยนด้วยพละกำลังอันล้นหลามหรือสามารถจับกุมเขา อย่างน้อยที่สุดหลี่ฉิงซานก็ไม่มีความสามารถดังกล่าวในเวลานี้
นอกจากนั้นมันยังมีโอกาสที่ภูเขาเพลิงลาวาจะซ่อนผู้ฝึกตนที่ผ่านภัยพิบัติสวรรค์สามครั้งคนอื่นๆเอาไว้ ดังนั้นโอกาสในการฆ่าจูเยี่ยนจึงเป็นศูนย์ ขณะที่หลี่ฉิงซานกับเสี่ยวอันต้องเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนของพวกเขาและถูกสังหาร
ผลคือหลี่ฉิงซานตัดสินใจจากไปโดยไม่ลังเล เขากล่าว “ข้าจะกลับมา...เร็วๆนี้!”
เขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยึดครองต้นอู๋ตงศักดิ์สิทธิ์ เขามีความรู้สึกว่ามันจะมีส่วนสำคัญสำหรับการบ่มเพาะของเขา
การเย้ยหยันและการข่มขู่ของจูเยี่ยนกลายเป็นเรื่องดีสำหรรับเขา มันปลุกปีศาจพยัคฆ์ให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
‘ในเมื่อมนุษย์เพลิงกระหายการต่อสู้ ข้าก็จะให้พวกเขาได้ต่อสู้!’
จูเยี่ยนมองหลี่ฉิงซานจากไปแต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่ภายใน หลี่ฉิงซานเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีในหมู่มนุษย์ เขาบรรลุถึงระดับนี้ตั้งแต่ยังเยาว์ หากเขามีเวลา บางทีเขาอาจก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ครั้งที่สามได้จริงๆ และผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาก็ไม่มีคำใดอธิบายได้ดีกว่าคำว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน
หากพวกเขาประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ นั่นจะหมายความว่า...
ยิ่งเขาคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากเท่านั้น หลังจากก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์ครั้งที่สาม พวกเขาจะรู้สึกถึงโชคชะตาที่เชื่อมโยงถึงกันได้อย่างคลุมเครือแม้พวกเขาจะไม่รู้วิธีทำนายก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ดวงตาของจูเยี่ยนลุกโชนด้วยเปลวไฟ ทันใดนั้นเขาก็จับหอกของเขาไว้อย่างแน่นหนา
‘ไม่ ข้าไม่สามารถปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้ แม้ข้าจะไม่สามารถฆ่าพวกเขา แต่ข้าก็ต้องโจมตีพวกเขาอย่างหนักเพื่อไม่ให้พวกเขากลายเป็นภัยคุกคามต่อภูเขาเพลิงลาวาของข้า!’