บทที่ 17 ขอให้ข้าลองดู
บทที่ 17 ขอให้ข้าลองดู
สายลมพัดมาและอากาศก็มีกลิ่นของดิน เมื่อมองไปรอบๆ ก็มีดินแดนรกร้างที่ล้อมรอบด้วยหญ้าป่าอันเขียวชอุ่มสูงเท่าลูกวัว
นอกจากนี้ยังมีดอกไม้และพืชบางชนิดที่มีผลไม้ป่าบางชนิดที่ไม่รู้จักและมีสีสันสวยงาม สิ่งนี้ทำให้เฉินฟานปลุกความทรงจำเลวร้ายบางอย่างในใจของเขาขึ้น
นอกจากวัชพืชแล้วยังมีพุ่มไม้ที่เชื่อมต่อกันอีกด้วย ไม่ไกลออกไปมีต้นไม้กระจัดกระจายและดูเหมือนจะมีตอไม้อยู่บ้างข้างๆ มันสามารถเข้าใจได้ง่ายว่าต้องถูกตัดทิ้งเพื่อสร้างบ้านหรือใช้เป็นเชื้อเพลิง
และไกลออกไปก็มองเห็นโครงร่างของภูเขาได้ไม่ชัดเจน
“นั่นคือทิศทางของเมืองอันซาน”
ชายหัวล้านพูด
“เมืองอันซาน?”
เฉินฟานมองเขาอย่างสงสัย
“เมืองเล็กๆ ที่สร้างบนภูเขา และแข็งแกร่งดุจทองคำ ฉันได้ยินมาว่ามีผู้อเวคอยู่ในเมืองนั้นด้วย ทำให้เป็นสถานที่นั้นเป็นที่ๆหลายคนใฝ่ฝันถึง”
ดวงตาของชายหัวโล้นก็แสดงความปรารถนาออกมาเช่นกัน
“ผู้อเวคงั้นเหรอ?”
เฉินฟานพยักหน้า ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันเป็นสถานที่ใฝ่ฝันของทุกคน แต่ใครๆ ก็จินตนาการได้ว่าการเข้าไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
“ใช่ ถ้าวันหนึ่งเจ้ากลายเป็นผู้อเวค เจ้าจะเข้าไปได้ ไม่ใช่แค่คนเดียวแม้แต่ครอบครัวของเจ้าและคนอื่นๆ ด้วย ฮ่าๆ”
ชายหัวล้านพูดติดตลก
เฉินฟานกลอกตามาที่เขา แม้ว่าเขาจะเดินทางมาที่นี่ไม่นานมานี้ แต่เขายังคงมีสามัญสำนึกเกี่ยวกับโลกนี้อยู่บ้าง
ยิ่งความสามารถของผู้อเวคตื่นเร็วขึ้นเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งอายุมากขึ้นแม้ว่าจะพูดไม่ได้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่มันก็มีโอกาสน้อยมาก นอกจากนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่คนเหล่านั้นมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณที่สูงอย่างมาก
เขาดูแต้มจิตวิญญาณของเขาแล้ว และเขายังคงมีความรู้จักประมาณในตนเองอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกันนั้น ทุกคนก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับจับตาดูสภาพแวดล้อมในทิศทางของตนเอง
บรรยากาศความสุขแต่เดิมค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา และมีความตึงเครียดเข้ามาแทน
ในขณะนั้นก็ร่างดำทะัมึนปรากฏขึ้นไม่ไกลนัก
เฉินกัวตงซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าก็เปลี่ยนสีหน้าทันที และยื่นมือออกไปเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด
“นั่นแรดหุ้มเกราะงั้นหรือ?”
ท่ามกลางฝูงชนก็มีเสียงอุทานออกมา
เฉินฟานมองอย่างตั้งใจ และตกตะลึงในใจ ขนาดตัวของมันใกล้เคียงกับรถบรรทุกขนาดใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ?
“เดินอ้อมไป และพยายามอย่าให้มันหันมาสนใจเรา”
เฉินกัวตงพูดด้วยเสียงต่ำโดยมองไปที่เฉินฟาน ในเวลาเดียวกันก็อธิบายว่า "แรดหุ้มเกราะนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเกราะชั้นหนึ่งและการป้องกันของมันก็น่าทึ่งมาก และมันถูกจัดให้อยู่ในสัตว์อสูรที่ดุร้ายที่สุดก็ตาม แต่มันก็เป็นประเภทที่รับมือได้ยากที่สุด เมื่อเราเจอมันเราก็ควรเลี่ยงดีกว่า”
เฉินฟานพยักหน้าและมองดูคันธนูและลูกธนูในมือของเขา เขายังรู้สึกด้วยว่าด้วยสิ่งนี้เขาอาจจะไม่สามารถเจาะทะลุการป้องกันของมันได้ มันเป็นเหมือนกับชายร่างใหญ่คนหนึ่งพุ่งเข้าไปปะทะกับรถบรรทุกคันใหญ่นั่นเอง
ทั้งกลุ่มเดินไปรอบๆ เป็นวงกลมใหญ่ และพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อผ่านพ้นรัศมีของมันแล้ว
“มันไม่ใช่แค่แรดหุ้มเกราะเท่านั้น” เฉินกัวตงกล่าวเสริม "และตราบใดที่เราพบกับสัตว์อสูรระดับกลางขึ้นไป เราก็ไม่ควรปลุกพวกมันและเบี่ยงเลี่ยงมันจะเป็นการดีที่สุด ไม่เช่นนั้นแม้ว่าเราจะฆ่ามันได้ เราก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล"
"อืม"
เฉินฟานได้ตอบกลับ
สิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรระดับกลางนั้นเป็นเพียงการจำแนกประเภทคร่าวๆ ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ต้องใช้ความพยายามร่วมกันของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่หลายคนในการฆ่า
มันเป็นไปได้ที่จะฆ่าได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียม
มันเหมือนกับการล่าแรดหุ้มเกราะนั่น ต้องมีคนไปเผชิญหน้ากับมัน ไม่อย่างนั้นไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะโจมตีเลย พวกเขาจะสามารถหลบหนีได้หรือป่าวก็ยังไม่รู้ และคนที่ไปรับมือกับมันนั้นถึงแม้จะมีโล่ป้องกันอยู่ แต่เกรงว่าจะมีโชคร้ายมากกว่าโชคดี
สัตว์อสูรระดับต่ำหมายถึงสัตว์ประเภทหนึ่งที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งสามารถเอาชนะได้ขณะถืออาวุธ และมีโอกาสอย่างมากที่มันจะหลบหนีหรือทำให้ผู้ใหญ่คนนั้นบาดเจ็บได้เช่นกัน ถึงแม้บางตัวอาจไม่ก้าวร้าวและจะวิ่งหนีเมื่อตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถล่ามันได้พร้อมกับคนอื่นๆ
“จริงๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เจ้าจะชินกับมันหลังจากได้เห็นมากกว่านี้”
ชายหัวล้านยิ้มและให้กำลังใจเขา
คนอื่นๆ ก็หันมายิ้มให้เขาเช่นกัน
เฉินฟานยังยิ้มให้พวกเขา โดยบอกว่าตอนนี้เขาสบายมาก
"ไปกันเถอะ ไปที่กับดักแรกกันก่อน และหวังว่าวันนี้เราจะได้รับอะไรบางอย่างกลับไปบ้าง"
เฉินกัวตงพูดแล้วเดินไปข้างหน้า
คนอื่นๆ ก็ตามมาทีละคน ขณะที่เฉินฟานได้รับการปกป้องอยู่ตรงกลาง
หลังจากเดินไปประมาณสองหรือสามนาที เฉินกัวตงที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุดอีกครั้งและชี้ไปที่ด้านหน้า
ทุกคนมองอย่างตั้งใจ และเห็นกระต่ายรกร้างในหญ้าอันเขียวชอุ่มกำลังเล็มหญ้า ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่สังเกตเห็นพวกเขาเลย
“นั่นคือกระต่ายรกร้าง”
ชายหัวโล้นลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า “สัตว์อสูรตัวนี้มีสายตาไม่ดีนัก มันสามารถมองเห็นได้แต่สิ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบถึงยี่สิบเมตรเท่านั้น ถ้าอยู่ไกลออกไปมันก็จะเห็นเป็นภาพพร่ามัว แต่กระต่ายตัวนี้มีการได้ยินที่ดีมากมันวิ่งเร็วและระมัดระวังอย่างมาก”
ราวกับจะยืนยันคำพูดของเขา จู่ๆ กระต่ายรกร้างก็ยืนตัวตรง ราวกับว่ามันตระหนักรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสถานการณ์โดยรอบ
“กระต่ายตัวนี้ค่อนข้างตัวใหญ่มาก”
เฉินฟานอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา มันตัวใหญ่พอๆกับสุนัขในชีวิตก่อนของเขา ไม่สิมันใหญ่กว่านั้นอีกด้วยซ้ำ เพราะร่างมันใหญ่และดูอ้วนท้วนมาก
“ส่งธนูมาให้ข้า”
ชายหัวล้านกระซิบ
"...?"
เฉินฟานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ลุงหลิว ท่านก็สามารถยิงธนูได้งั้นหรือ?"
“ไม่หรอก แต่ในเวลานี้แม้ว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะข้ามีโอกาสที่จะยิงมันโดนมากกว่าเจ้าไงล่ะ”
ชายหัวล้านพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แม้จะยิงไม่โดน..แต่ขอแค่ให้ได้ยิงลองดูก็ไม่เสียหายอะไร เพราะเมื่อทุกคนก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว กระต่ายตัวนี้ก็จะหายไปในพริบตา
เฉินกัวตงก็มองไปที่เฉินฟานด้วยความคาดหวังในใจ แต่เขาก็ไม่กล้าคาดหวังมากเกินไป
“ลุงหลิว ให้ข้าลองเอง”
เฉินฟานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
"เอ่อ..อืม เจ้าสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้"
ชายหัวล้านแข็งตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าให้เขายิง
เฉินฟานถือธนูไว้ในมือซ้ายแล้วยกขึ้นไว้ข้างหน้าเขา และหยิบลูกธนูออกมาจากตะกร้าลูกธนูเบา ๆ ในเวลาเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นเร็วอย่างมาก
เพราะท้ายที่สุดนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปล่าสัตว์ในป่าและได้พบกับเหยื่อเช่นนี้ ถ้าเขายิงโดนเขาก็จะได้รับอาหารให้กับคนทั้งหมู่บ้านและเขาจะได้รับแต้มค่าประสบการณ์จากการกินมันอีกด้วย แต่ถ้าพลาดก็จะพลาดไม่เห็นเป็นไร แค่ทำให้พ่อเขาผิดหวังเล็กน้อยเท่านั้น
เขาพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมร่างกายตัวเอง และสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจากใจของเขา ดังนั้นตอนนี้แม้แต่แขนขวาที่ถือลูกธนูก็ยังสั่นไหวอย่างประหม่า
ฉากนี้อยู่ในสายตาของคนอื่นๆ และพวกเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างลับๆ
อย่างไรก็ตามนี่ก็สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ ใครไม่ใจสั่นเมื่อออกจากหมู่บ้านครั้งแรกและได้โจมตีสัตว์อสูรครั้งแรก?
เฉินกัวตงก็ถอนหายใจอยู่ในใจ ถือว่าลองใช้มันเป็นใช้ฝึกฝนให้กับเสี่ยวฟานก็แล้วกัน เขาน่าจะดีขึ้นถ้าได้ทำเช่นนี้อีกสักสองสามครั้ง
อย่างไรก็ตามทันทีที่เฉินฟานวางลูกธนูลงบนสายธนู ความคิดที่พุ่งซ่านในใจของเขาก็หายไป เขาชี้ลูกศรไปที่เหยื่อแล้วดึงสายธนูออกช้าๆ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูเหมือนจะได้รับการฝึกฝนหลายพันครั้ง มันเป็นส่วนของการแสดงออกตามความจำของกล้ามเนื้อ
ฟังดูแม้ยาวนาน แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เมื่อดึงสายธนูจนสุดและมีเสียงกึกพร้อมกับมีเสียง “ฟิ้ว” และลูกธนูก็ลอยออกไป
กระต่ายรกร้างดูเหมือนจะรู้สึกถึงอันตราย หูของมันสั่นระริกและขาหลังของมันแข็งขึ้นและพยายามจะยันไปที่พื้นเพื่อกระโดดขึ้นฟ้าวิ่งหนีไป
ข่าวดีก็คือว่ามันกระโดดขึ้นได้ แต่ข่าวร้ายก็คือมันถูกลูกธนูยิงทะลุหัวของมันและลอยออกไปภายใต้แรงเฉื่อยที่รุนแรง
หลังจากลอยออกไปประมาณสามหรือสี่เมตร มันก็ตกลงบนพื้น จากนั้นกระต่ายรกร้างก็กระตุกขาหลังมันสองสามครั้งแล้วหยุดนิ่งไป
ในขณะนี้เฉินกัวตงและคนอื่นๆต่างนิ่งเงียบ ปากของพวกเขาอ้ากว้างราวกับจานรองและร่างแข็งทื่ราวกับหิน