บทที่ 14 ค่อนข้างจะน่าประหลาดใจ..แต่ก็ไม่มากพอ
บทที่ 14 ค่อนข้างจะน่าประหลาดใจ..แต่ก็ไม่มากพอ
ภายในห้องนั้นผู้เป็นแม่ดูไม่พอใจอย่างมาก ขณะที่เฉินกัวตงนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
เขามองดูฉากนี้ด้วยความงุงงง ในขณะนั้นมีร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตู เขาวิ่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและกอดต้นขาของเฉินฟาน
“พี่ชาย พี่กลับมาแล้ว”
"อืม"
เฉินฟานลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมองไปที่พ่อแม่ของเขาในห้องและถามอย่างสงสัยว่า "พ่อแม่เกิดอะไรขึ้น? ข้าเพิ่งได้ยินพวกท่านพูดถึงคำว่าลี่เจียไจ่ตอนที่อยู่ข้างนอก? เป็นไปได้ไหมที่คนในหมู่บ้านของเราปะทะกับพวกเขา? มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”
“ใจเย็นๆ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”
เฉินกัวตงส่ายหัว
“มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?”
ผู้หญิงคนนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "เหยื่อถูกพวกมันเอาไปอย่างหน้าตาเฉย พวกนี้มันเป็นเพียงแค่กลุ่มโจร!"
“เอาล่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ” เฉินกัวตงขมวดคิ้ว และส่งสัญญาณให้หญิงสาวหยุดพูด เฉินเฉินไม่รู้เรื่อง แต่เฉินฟานนั้นแตกต่างออกไป ถ้าเล่าให้เขาฟังมันมีแต่จะเพิ่มปัญหาเท่านั้น
หญิงสาวจึงพูดว่า “กินข้าวก่อนเถอะ”
เฉินฟานขมวดคิ้วกับสิ่งที่แม่ของเขาพูดให้ฟัง ไม่มีใครสามารถยอมรับการกระทำเช่นนั้นได้
นอกจากนี้เรื่องนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างสำคัญอย่างมาก
“พ่อครับแม่ครับ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าก็เป็นคนในหมู่บ้านด้วยใช่ไหมครับ นอกจากนี้ถ้าแม่รู้เรื่องนี้ก็น่าจะมีคนรู้เรื่องนี้ไม่น้อยนะ ข้าจะถามคนอื่นทีหลังข้าก็รู้อยู่เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่เฉินกัวตงด้วยความขุ่นเคือง ฝ่ายหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาและพูดว่า "เอาล่ะ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังแต่ว่าหลังจากฟังแล้ว เจ้าก็อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นเข้าใจไหม?"
หลังจากฟังคำบรรยายของเขาแล้ว เฉินฟานก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในที่สุด
ปรากฎว่าพ่อของฉันนำทีมล่าออกจากหมู่บ้านไป อันดับแรกพวกเขาไปตรวจสอบกับดักทุกที่ที่พวกเขาได้วางไว้ และพวกเขาก็ไม่ได้รับอะไรเลย
ในขณะที่พวกเขาไปตรวจสอบกับดักอันสุดท้าย บังเอิญมีวัวป่าตัวหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยความหวาดกลัว
วัวป่าชนิดนี้มีความสูงเกือบสองเมตร มันมีชื่อเสียงจากการมีเขาเพียงอันเดียวบนหัว มันเป็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรระดับต่ำ
ในตอนแรกพวกเขามีความสุขอย่างมาก แต่แล้วพวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความตกใจ เนื่องจากพวกเขาได้พบวัวป่าตัวนี้ในขณะที่พวกเขาไม่มีวิธีการโจมตีระยะไกล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย
เมื่อวัวป่าเห็นพวกเขามันก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมากเป็นธรรมดา มันเปลี่ยนทิศทาง และผลก็คือมันตกลงไปในกับดักที่พวกเขาขุดไว้
อย่างไรก็ตาม เฉินกัวตงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เห็นได้ชัดว่าวัวป่าตัวนี้กำลังถูกไล่ล่า บางทีคนที่ไล่ล่าเหล่านั้นอาจอยู่ข้างหลัง แต่เนื่องจากความเร็วที่ช้าของพวกที่ไล่ล่า ทำให้พวกเขาจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลังชั่วคราว
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต้องนำเหยื่อออกจากกับดักโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดได้
น่าเสียดายที่เมื่อพวกเขากำลังทำงานได้ครึ่งทาง ผู้คนจากหมู่บ้านลี่เจียไจ่ก็ปรากฏตัวขึ้น และทั้งสองฝ่ายก็ทะเลาะกันด้วยเหตุนี้ อีกฝ่ายเชื่อว่าวัวป่าจะต้องตกเป็นของพวกเขา แต่แน่นอนว่าพวกเฉินกัวตงไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้คนในหมู่บ้านลี่เจียไจ่ค่อยๆตระหนักรู้ว่าจำนวนคนของพวกเฉินกัวตงไม่เพียงน้อยลงเท่านั้น แม้แต่พี่น้องแซ่เว่ยดูเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ? สิบสี่กับแปด พวกเขามีมากกว่าเกือบสองเท่า
ดังนั้นพวกหมู่บ้านลี่เจียไจ่จึงต้องการเอาพวกมันทั้งหมดโดยปฏิเสธที่จะแบ่งเนื้อสัตว์ให้พวกเขา สมัยก่อนทั้งสองฝ่ายมีกำลังเท่าเทียมกันและถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้วัวป่าตัวนี้อาจถูกแบ่งครึ่ง
แต่ตอนนี้พี่น้องแซ่เว่ยไม่อยู่และพวกเฉินกัวตงมีคนไม่มากนัก หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ และด้วยการที่คู่ต่อสู้ยังมีนักธนูหมู่บ้านของพวกเขาจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน และสุดท้ายพวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับเหยื่อเท่านั้น แต่อาจจะได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
ในโลกที่ราวกับกลับไปสู่ยุคหินเช่นนี้ ความหมายของการบาดเจ็บนั้นชัดเจนในตัวเอง ไม่นอนซมเป็นเดือนก็ตายด้วยแผลติดเชื้อ
ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงได้แต่เฝ้าดูในขณะที่อีกฝ่ายทำลายกับดักและเดินออกไปพร้อมกับเหยื่ออย่างช่วยไม่ได้ ก่อนออกไปฝ่ายตรงข้ามยังหันมาหัวเราะให้ด้วยซ้ำ
“ที่เรื่องเป็นแบบนี้ต้องโทษข้านี้แหล่ะ” เฉินกัวตงถอนหายใจออกมา ตอนแรกเขาไม่ได้วางแผนที่จะพูดถึงเรื่องนี้หลังจากที่เขากลับมา เพราะมันทำลายขวัญกำลังใจของครอบครัวเขาและคนในหมู่บ้านอย่างมาก
แต่คนในทีมล่ารู้สึกโกรธอย่างมากและพูดระบายออกมาให้หลายคนรู้
ผู้คนจำเป็นต้องระบายออกเสมอถ้ารู้สึกอัดอั้นตันใจ และเขาก็เข้าใจเรื่องนั้นดี
“พ่อ ข้าคิดว่าท่านทำถูกแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เฉินฟานพยักหน้า “ถ้าเราปะทะกับพวกเขาในเวลานั้น มันคงจะดีสำหรับเราทั้งคู่ที่จะประสบความสูญเสียเท่ากัน แต่ข้าว่าเป็นไปได้มากที่กองกำลังทั้งหมดของเราจะถูกกวาดล้าง หากไม่มีพวกท่านคนที่เหลือในหมู่บ้านก็คงจะไม่สามารถอยู่รอดได้อย่างแน่นอน”
เขาถอนหายใจยาวออกม ในโลกนี้เราต้องต่อสู้ไม่เพียงแต่กับสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับมนุษย์ด้วย และบางทีมนุษย์อาจมีอันตรายมากกว่าสัตว์อสูรอีกด้วยซ้ำ
เฉินกัวตงเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดว่าเฉินฟานคงจะรู้สึกโกธรอย่างมาก และตะโกนออกมาและต้องไปจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างสิ้นหวัง
แม้แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆก็เงียบไปเหมือนกัน ทำไมเธอไม่เข้าใจความจริงเรื่องนี้ แต่ถึงแม้จะเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ การดุด่าออกมาเพื่อระบายอารมณ์ก็ยังจำเป็น แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ก็ตาม
“เอาล่ะ เรามาข้าวกันก่อน เจ้าฝึกมาทั้งวันแล้ว”
เฉินฟานพยักหน้าและนั่งลงรอบโต๊ะอาหารกับน้องชายของเขา
อาหารเย็นยังคงเหมือนเมื่อวาน ชามโจ๊กและจานเนื้อหั่น
“เสี่ยวฟาน กินให้มากหน่อย”
เฉินกัวตงหยิบเนื้อขึ้นมาสองสามชิ้นและอยากจะใส่มันลงในชามของเฉินฟาน แต่เฉินฟานก็หยุดเขาด้วยตะเกียบ "พ่อครับ ท่านกินเถอะ เอาให้ข้าหนึ่งหรือสองชิ้นก็เพียงพอแล้ว ข้ากินไปแล้วชิ้นหนึ่งด้วย..
..และข้ามีบางอย่างจะบอกท่านด้วย”
เฉินฟานพูดออกมาอย่างจริงจัง
เฉินกั๋วตงผงะเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นลูกชายของเขาพูดกับเขาด้วยสีหน้าจริงจังเช่นนี้ เขาจึงชักตะเกียบกลับออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”
“ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ข้าจะออกไปล่าสัตว์กับทีมล่าด้วย”
"อะไรนะ?"
เฉินกัวตงและภรรยาของเขาแทบจะอุทานพร้อมกัน
จากนั้นหญิงสาวก็พูดออกมาอย่างเด็ดขาด "ไม่! เจ้าพึ่งอายุเท่าไหร่กัน? รู้ไหมว่าข้างนอกนั้นมันอันตรายแค่ไหน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น?"
เฉินกัวตงเหลือบมองผู้หญิงของเขา และพยักหน้าเห็นด้วยพร่อมกับพูดว่า "เสี่ยวฟานข้าเข้าใจว่าาเจ้าต้องการช่วยเหลือหมู่บ้าน เจ้าฝึกยิงธนูทั้งวันทั้งคืนในช่วงสองวันที่ผ่านมา แต่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้นเหรอ? รอให้เจ้าฝึกซ้อมอีกสักเดือนหรือสองเดือนแล้วค่อยออกไปพร้อมกับพวกเราก็แล้วกัน”
ริมฝีปากของผู้หญิงคนนั้นขยับ และเธอก็กลืนคำพูดที่ออกจากปากของเธอกลับไปเมื่อได้ยินสามีเธอพูดอย่างนี้
“พี่ชายอย่าไปนะ ข้างนอกมันอันตรายมาก” น้องชายเฉินเฉินมองดูเฉินฟานอย่างกระตือรือร้น แม้แต่เด็กเล็กๆ คนนี้ก็ยังรู้ว่าการออกไปข้างนอกหมายความว่าอย่างไร
เฉินฟานส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยวและพูดตรงๆ "พ่อครับ ข้ามีความมั่นใจจึงพูดแบบนี้ออกมา หลังอาหารท่านสามารถจะไปที่โกดังพร้อมกับข้าแล้วท่านจะเข้าใจทุกอย่างเอง"
รอหนึ่งหรือสองเดือนงั้นหรือ?
เขาสงสัยจริงๆว่าสถานการณ์ของหมู่บ้านจะรอเขาได้นานขนาดนั้นหรือป่าว?
เฉินกัวตงและผู้หญิงคนนั้นมองหน้ากัน
เสี่ยวฟานเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน? ทำไมเขาถึงพูดเช่นนี้ออกมา? เขาเรียนยิงธนูในเวลาเพียงสองหรือสามวันเท่านั้นมิใช่หรือ? และแม้ว่าเขาจะเรียนรู้มันอย่างหนักหน่วงเพียงใด แต่เวลาแค่สองวันมันก็น่าจะเรียนได้เพียงผิวเผินใช่ไหม?
ในที่สุดเฉินกัวตงก็พยักหน้า เขาก็ต้องการเห็นด้วยตาของตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจ
หลังจากที่ครอบครัวทานอาหารเย็นแล้ว เฉินฟานก็พาเฉินกัวตงไปที่โกดัง ผู้หญิงคนนั้นเป็นกังวลอย่างมากเหมือนกัน เธอจึงพาเฉินเฉินไปด้วย ทำให้ตอนนี้ครอบครัวทั้งสี่คนเดินไปที่โกดังด้วยกัน
ชายพิการแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้
สถานการณ์นี้มันคืออะไร? ทำไมพวกเขาต้องยกมาทั้งครอบครัว?
เฉินฟานแค่มาฝึกยิงธนูไม่ใช่เหรอ?
ทำไมต้องพาคนมาเยอะขนาดนี้?
เฉินฟานยิ้มให้เขาและหยิบธนูแรงดึงหกสิบปอนด์ขึ้นมา
ในขณะนี้เฉินกัวตงหรี่ตาลงเล็กน้อย และใบหน้าของเขาก็แสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมา
ถ้าเขาจำไม่ผิด ธนูที่เสี่ยวฟานใช้ในการฝึกซ้อมเมื่อวานนี้คือธนูแรงดึงสี่สิบปอนด์เองไม่ใช่เหรอ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเปลี่ยนมาเป็นธนูแรงดึงหกสิบปอนด์กัน?
หากว่ากันว่าการล่าสัตว์อสูรระดับต่ำด้วยธนูแรงดึงสี่สิบปอนด์ยังคงยุ่งยากเล็กน้อย แต่หากเป็นหกสิบปอนด์มันก็เพียงพอที่จะยิงและฆ่าสัตว์อสูรระดับต่ำส่วนใหญ่ได้ และแม้แต่สัตว์อสูรระดับกลางบางตัวก็สามารถฆ่าได้ด้วยซ้ำ
เขายอมรับว่าเฉินฟานทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ