บทที่ 148: ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้นี้มีจิตสำนึกแล้ว? ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว!
บทที่ 148: ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้นี้มีจิตสำนึกแล้ว? ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว!
ทว่าพวกเขาประเมินผลกำไรของหลินเป่ยฟานต่ำเกินไปอย่างมาก
ในยามราตรี หลินเป่ยฟานนำกลุ่มทหารและตั้งกระโจมด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เริ่มอยากรู้อยากเห็นกันมาก
“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงคนนี้จะทำอะไรอีก?”
“ดูเหมือนว่าเขากำลังตั้งกระโจมอยู่นะ เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นของเรา?”
“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้นี้ใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลังจากกางกระโจมเสร็จแล้ว หลินเป่ยฟานก็เผชิญหน้ากับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์และกล่าวอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม“สวัสดีท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย เราอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบได้ ภายนอกมันทั้งหนาวและมียุงอยู่มากมายนัก การอยู่ด้านนอกย่อมไม่สะดวกสบายนัก ดังนั้นหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าจึงตัดสินใจที่จะไม่เพิกเฉยต่อท่านจอมยุทธ์ทุกท่าน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าส่งคนมาตั้งกระโจม ภายในกระโจมมีเครื่องนอน ผ้าร้อนและน้ำสะอาดกับของอีกมากมาย สิ่งของพื้นฐานมีตระเตรียมไว้แล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจอมยุทธ์จะไม่รังเกียจ”
"โอ้ พระเจ้า! เขาตั้งกระโจมให้เราจริงๆ ด้วย!”
“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้นี้มีจิตสำนึกด้วยงั้นเหรอ?”
"ยอดเยี่ยมนัก! ดูเหมือนว่าเราจะตัดสินเขาผิดไป!”
“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงผู้นี้ไม่ได้แย่เสียทีเดียว!”
ทุกคนเริ่มตื่นเต้น ผู้ใดเล่าจะอยากนอนข้างนอกหากมีโอกาสได้นอนในกระโจม?
“แต่ได้โปรดท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายโปรดอดทนไว้ก่อน ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าว!”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเป่ยฟาน ทุกคนก็สงบลง
หลินเป่ยฟานยังคงยิ้มต่อไป “เราได้ตั้งกระโจมทั้งหมด 100 หลังโดยแต่ละกระโจมรองรับได้ยี่สิบคน เนื่องจากจำนวนมีจำกัด ผู้ใดที่จ่ายเงินก่อนจะได้เข้ากระโจม เพียง 500 ตำลึงสำหรับหนึ่งคืนเท่านั้น!”
"โอ้ พระเจ้า! มันต้องการเงินของเราอีกแล้ว! มันยังคงเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเช่นเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง!”
“500 ตำลึงสำหรับหนึ่งคืนหรือ? ล้อกันเล่นหรือไงกัน? ข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่แพงที่สุดในนครหลวงยังใช้เงินไม่ถึงสิบตำลึงต่อคืนได้ด้วยซ้ำ!”
“ข้าสามารถซื้อเรือนหนึ่งหลังได้ด้วยเงิน 500 ตำลึง!”
“มันต้องการฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้และปล้นเราอยู่!”
ทุกคนต่างโกรธเกรี้ยวอีกครั้ง ก่อนหน้านี้พวกเขาเพียงรู้สึกโกรธมาก แต่ตอนนี้พวกเขาต้องการฆ่าหลินเป่ยฟาน!
“ได้โปรด ท่านจอมยุทธ์อย่าใช้วาจารุนแรงเช่นนี้เลย” หลินเป่ยฟานกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าคำพูดของเขากลับสุภาพมากต่างจากก่อนหน้านี้ “ข้ามีเหตุผลมากพอ ข้าบอกราคาไปแล้วและไม่ได้บังคับพวกท่าน หากท่านต้องการอยู่ในกระโจม ก็จ่ายเงิน ถ้าไม่ต้องการมันก็เป็นทางเลือกของพวกท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่อยู่ที่นี่ มาดูกันว่าเจ้าจะทำอะไรได้บ้าง!”
“ใช่ เราจะไม่อยู่ในกระโจมของเจ้า เราจะไม่ปล่อยให้เจ้ารีดไถเราได้เด็ดขาด เจ้าขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง!”
“ถ้าเจ้าคิดว่าข้าจะให้เงินเจ้า ก็ฝันไปเถอะ!”
ทุกคนตะโกนพร้อมกันด้วยความโกรธ
จากนั้นเอง ชายหนุ่มผิวขาวผู้สง่างามคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและถามด้วยความเคารพว่า “ขอโทษด้วยนะท่านหลิน ข้าขอเช่ากระโจมจากท่านได้หรือไม่?”
"แน่นอนว่าย่อมได้! ตราบใดที่ท่านสามารถจ่ายได้ ท่านสามารถเช่ากระโจมทั้งหมดได้เลย!” หลินเป่ยฟานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ชายคนนั้นหยิบแท่งเงินออกมาทันทีและส่งให้พวกเขา “ท่านหลิน นี่คือเหรียญเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ได้โปรดบอกทางด้วย”
หลินเป่ยฟานรับเงินอย่างมีความสุขและชี้ไปที่กระโจมแถวหลังเขา “ท่านเป็นลูกค้ารายแรกของเรา เลือกกระโจมที่ท่านชอบได้ตามสบาย”
“ขอบคุณมากท่านหลิน!” ชายคนนั้นมองกลับไปที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเหยียดหยามราวกับว่าเขากำลังดูถูกพวกเขา
จากนั้นเขาก็ไปเลือกกระโจมของเขาอย่างหยิ่งผยอง
ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายตกตะลึง! พวกเขากล้าใช้กระโจมราคาแพงเช่นนี้ได้ง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? มันดูไม่มีเหตุผลเลยสักนิดเดียว
หลินเป่ยฟานมองทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าเขาคาดการณ์สถานการณ์นี้ไว้ทั้งหมดแล้ว ผู้คนชอบโอ้อวด โดยเฉพาะพวกคนรวย พวกเขาใส่ใจกับใบหน้าของพวกเขามากกว่าเงินของตน!
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี ตราบใดที่คนอื่นไม่สามารถจ่ายได้ พวกเขาก็จะซื้อมันด้วยตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเหนือกว่าอย่างมาก
พวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาเพียงต้องการสิ่งที่แพงที่สุด!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันเป็นเรื่องความต้องการทางจิตวิทยาแห่งการโอ้อวด!
มีโอกาสไม่มากที่จะอวดตนต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นทำไมไม่อวดตอนนี้เล่า?
ด้วยเหตุนี้กระโจมทั้งหลายจึงขายได้อย่างรวดเร็ว!
ในท้ายที่สุดจากกระโจม 100 หลัง ก็มีกระโจมที่ถูกเช่าไปแล้ว 90 หลัง
“ท่านจอมยุทะ์ เราเหลือกระโจมแค่ 10 หลังและเตียงอีก 200 ผืน มีผู้ใดต้องการมันหรือไม่? ถ้าไม่ข้าจะเก็บพวกมันและจะไม่ทำให้พวกท่านเสียเวลาอีก!” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างพอใจ
“เดี๋ยวก่อน ข้าต้องการกระโจมตีหนึ่งหลัง!” ทันใดนั้นผู้หญิงงดงามผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะอายุประมาณ 30 ปีก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลินเป่ยฟาน
นางเป็นยอดฝีมือขอบเขตต้นกำเนิดและยังเป็นคนที่รักสะอาดมาก นางจึงไม่สามารถทนต่ออะไรหลายอย่างได้
เมื่อเห็นว่าเหลือกระโจมเพียง 10 นางก็รู้สึกว่าไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ต่อให้เป็น 10,000 ตำลึง นางก็สามารถจ่ายมันได้
(เนื่องจาก 1 กระโจมรับรองคนได้ 20 คน 500x20 จึง = 10,000 ตำลึง)
แทนที่จะอยู่ข้างนอกอย่างสกปรกและไม่เรียบร้อย ไฉนไม่ใช้เงินไปกับการนอนในกระโจมที่สะอาดและเตรียมพร้อมที่จะดูการต่อสู้ที่ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึงในอีกสองวันให้หลังล่ะ?
หลินเป่ยฟานรับเงินของนางและกล่าวว่า “เชิญเลยท่านหญิง”
หญิงสาวพยักหน้าและเลือกกระโจมที่สะอาดเพื่อเข้าพัก
เหลือเพียง 9 กระโจม ไม่มีเวลาให้รีรออีกต่อไป!
คนบางคนก็รอไม่ได้อีกแล้ว!
“ท่านหลิน ข้าก็อยากได้กระโจมเหมือนกัน!”
“ท่านหลิน มอบมันให้ชายชราผู้นี้ที!”
…
พวกเขาทั้งหมดเป็นยอดฝีมือขอบเขตต้นกำเนิด
ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมไม่ขาดเหลือเงินทอง
เหลือเพียงเก้ากระโจม มันคงน่าอึดอัดใจหากทระนงตนโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซื้อมันทันที
จากนั้นพวกเขาก็เช่ากระโจมทั้งหมด 100 หลัง!
เขาได้รับ 1 ล้านตำลึงอย่างง่ายดาย!
หลินเป่ยฟานนับเงินด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ตกตะลึงและกล่าวว่า “ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย กระโจมขายหมดแล้ว แต่พรุ่งนี้จะมีอีก! อีกอย่างหนึ่ง ข้าลืมบอกท่านไปว่าข้าสังเกตดาวเมื่อค่ำคืนนี้ จึงรู้ว่าคืนนี้อาจมีฝนตกหนัก โปรดเตรียมพร้อมสำหรับฝนและพายุด้วย!”
พอกล่าวจบ เขาจึงตบก้นและเดินจากไป
บางทีอาจจะเป็นเพราะโชคของหลินเป่ยฟาน จู่ๆ สภาพอากาศก็เปลี่ยนไปในยามราตรีที่ทุกคนเกือบจะหลับไป
เมฆดำปกคลุมท้องฟ้า สายลมร้องโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยวจากนั้นฝนก็พัดพาเทลงมา
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายตกตะลึง!
"บัดซบ! ขุนนางคนนั้นพูดถูก คืนนี้ฝนจะตกหนัก!”
“ขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหลินผู้นั้นช่างกล่าวได้แม่นยำนัก โชคร้ายอะไรขนาดนี้!”
"แล้วเราจะทำเช่นไรต่อดีเล่า? ที่นี่ไม่มีที่หลบฝนหรือลมเลยสักนิดเดียว!”
"เราจะทำอะไรได้? มีแต่ต้องทนเอาไว้!"
…
ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้จึงตัวเปียกโชกไปด้วยสายฝนที่โปรยปราย
ผู้คนที่อยู่ในกระโจมก็ตื่นขึ้นมาเพราะสายฝนที่ตกลงมา
พวกเขาโผล่หัวออกมาและเห็นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ข้างนอกตัวสั่นเทาท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย พวกเขาต่างรู้สึกโชคดีมากที่เลือกซื้อกระโจม ความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างมากปรากฏขึ้น พวกเขามองไปยังผู้คนข้างนอกอย่างเหยียดหยาม ก่อนที่จะนอนลงในกระโจมของพวกเขาอย่างสบายใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเป่ยฟานมีรอยยิ้มประดับใบหน้าของเขาในขณะที่คนรับใช้นำชามข้าวต้มมาให้แขกที่พักในกระโจม
“เมื่อคืนข้าไม่คิดเลยว่าจะมีฝนตกหนัก! ดังนั้นข้าจึงเตรียมโจ๊กที่มีกลิ่นหอมรัญจวนที่ทำจากสมุนไพรจีนต่างๆ ให้พวกท่าน ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่อร่อยและหวานเท่านั้น แต่ยังช่วยขจัดความหนาวเย็นได้อีกด้วย เชิญเพลิดเพลินกับมันเถิด!” หลินเป่ยฟานกล่าว
“ขอบคุณคุณมากท่านหลิน!” ผู้เข้าพักต่างยิ้มออกมาและรับโจ๊กอุ่นๆ ซึ่งทำให้ท้องของพวกเขารู้สึกพึงพอใจยิ่ง
พวกเขาชอบการเปรียบเทียบนัก เมื่อเทียบกับยอดฝีมือหลายคนที่ต้องตัวเปียกโชกเพราะฝนคืนก่อน พวกเขากลับกำลังเพลิดเพลินกับการดูแลจากสวรรค์ จึงรู้สึกพึงพอใจกันอย่างมาก
ถึงขั้นทำให้พวกเขาคิดกับตัวเองว่าเงินที่ใช้ไปนี้คุ้มค่า!
ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ มองมาที่พวกเขาอย่างอิจฉาริษยา
พวกเขาต่างหากที่เป็นคนที่เปียกโชกเพราะสายฝน เป็นคนที่ต้องการโจ๊กอุ่นๆ เพื่อขจัดความหนาวเย็น หาใช่คนกลุ่มพวกนี้ที่นอนในกระโจม
คนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าชวนน้ำลายไหลก็ถามว่า “ท่านหลิน หากข้าจ่ายจะขอซื้อชามนั่นได้หรือไม่?”
หลินเป่ยฟานได้แต่ส่ายศีรษะของเขาไปมา “ขอโทษด้วย! นี่สำหรับผู้เข้าพักที่น่าเคารพนับถือเท่านั้น พวกเจ้าไม่รวมอยู่ด้วย!”
เหล่าผู้เข้าพักที่จ่ายเงินต่างมีความรู้สึกที่เหนือกว่าอีกครั้ง!
“ท่านหลิน โจ๊กชามนี้อร่อยมาก ขออีกชามได้ไหม!”
“ข้าก็อยากได้เหมือนกัน!”
…
หลินเป่ยฟานหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล มีเพียงพอสำหรับทุกคน กินให้เต็มที่เลย!”
ฉากนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง!
เหตุใดความแตกต่างระหว่างทั้งสองจึงมากมายเพียงนี้?
พวกเขาเองก็อยากพักแรมภายในกระโจมอันแสนอบอุ่น กว้างและสะดวกสบาย!
พวกเขาเองก็อยากนอนลงไปยังผ้าน่วมที่แสนอบอุ่น!
พวกเขาเองก็อยากเปลี่ยนอาภรณ์อันเปียกโชกของพวกเขา!
พวกเขาเองก็ต้องการดื่มโจ๊กอุ่นๆ!
พวกเขาเองก็ต้องการที่จะเพลิดเพลินไปกับการดูแลระดับสูงเช่นนี้!
ในที่สุด ผู้ฝึกยุทธ์บางคนก็ทนไม่ได้และพูดกับหลินเป่ยฟานว่า “ท่านหลิน ข้าต้องการจองกระโจมสำหรับคืนนี้!”
“ขออภัยด้วย พวกมันถูกเช่าหมดแล้ว!” หลินเป่ยฟานยักไหล่
อีกฝ่ายตกตะลึงและคนอื่นๆ ก็เช่นกัน “พวกมันจะถูกเช่าหมดได้ยังไงกัน? ท่านยังไม่ได้ขายเลย!”
“ใครบอกว่าข้ายังไม่ได้ขายเลยกัน? ทันทีที่ข้ามา ลูกค้าประจำภายในกระโจมก็ซื้อพวกมันทั้งหมดแล้ว!” หลินเป่ยฟานชี้ไปที่กระโจม
“ท่านหลิน ท่านทำแบบนี้ได้ยังไง? อย่างน้อยท่านก็ควรดูแลพวกเราสิ!” อีกฝ่ายเริ่มกังวล
“คำพูดของท่านช่างไม่สมเหตุสมผลนัก ทำไมข้าต้องดูแลพวกท่านด้วย?” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างไร้น้ำใจ “คนที่อยู่ในกระโจมจ่ายเงินทันทีและเป็นลูกค้าประจำ ถ้าข้าไม่ดูแลพวกเขา ข้าควรดูแลคนยากจนอย่างพวกท่านหรือไม่?”
ทุกคนพูดไม่ออก ในใจต่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
พวกเขาได้แต่สาปแช่งอย่างเงียบๆ “ไอ้เจ้าขุนนางฉ้อราษฏร์บังหลวงบัดซบ!”
ในวันรุ่งขึ้น หลินเป่ยฟานก็หาวิธีที่จะดึงเงินจากผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มนี้ ทุกครั้งที่เขาทำสำเร็จ มันจะทำให้ทุกคนโกรธ หงุดหงิดและแทบทนไม่ไหว
พวกเขาได้แต่หวังว่าการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า พวกเขาไม่ต้องการถูกเอารัดเอาเปรียบจากขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงคนนี้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธ์ก็เริ่มมาถึงมากขึ้น พวกเขาพร้อมแล้วที่จะเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ระดับตำนาน!
หลินเป่ยฟานรีดไถพวกเขาทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด
ทุกคนเกลียดเขา และถ้าไม่ใช่เพราะพระชราที่คอยหนุนหลัง คนพวกนี้คงคงโจมตีเขาไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน กองเงินของหลินเป่ยฟานก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาทำเงินได้มากกว่า 30 ล้านตำลึงและกำลังจะไปถึง 40 ล้านตำลึงแล้ว!
“เหล่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ช่างอ้วนกันจริงๆ ข้าจะหาโอกาสถอนขนพวกมันอีกทีภายหลังแล้วกัน!”
ทันใดนั้นยามราตรีก็มาเยือน พระจันทร์เต็มดวงได้ปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า
การต่อสู้ในตำนานที่ทุกคนต่างคาดหวังกำลังจะเริ่มขึ้น!