นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 474 - สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป!
เดวิดจ้องมองจุดที่เคยเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ และหันมองไปรอบตัวอย่างพิจารณาอีกครั้ง เมื่อไม่พบร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่าผู้ที่ผ่านการทดสอบมาหลงเหลืออยู่ เขาก็เข้าใจได้อย่างทันทีว่าโลกใบเล็กแห่งนี้ดูดซับศพเหล่านั้นเข้าไป และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานการฟื้นฟูตัวเอง
“อืม! ช่างเป็นพื้นที่ที่น่าอัศจรรย์ใจไม่น้อยเลยจริง ๆ แต่! ทางออกอยู่ตรงไหนกันล่ะเนี่ย?” เดวิดพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อปล่อยคลื่นสมองออกไปครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ในเมื่อหาด้วยสายตาไม่เจอ ก็คงต้องหวังพึ่งการรับรู้ของคลื่นสมองแล้ว และมันก็ได้ผลเสียด้วย!
เขาเงยหน้าหรี่ตาจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้า ตรงนั้นมีวัตถุทรงกลมขนาดไม่ใหญ่มากนักลอยอยู่ สภาพของมันเหมือนกับดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า เพียงแต่ว่าไม่มีแสงนวลส่องสว่างออกมา ทำให้มันถูกกลืนหายอยู่ในความมืดมิดแบบที่แทบจะไม่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย
“แก่นของโลกใบเล็กแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของเดวิดทอประกายออกมา เขานั่งฟังบทสนทนาของลูกศิษย์จาก 4 สำนักใหญ่ทั้ง 2 คนอย่างตั้งใจเป็นอย่างมาก และทำให้รู้ว่าที่นี่คือโลกใบเล็กที่ถูกสร้างขึ้นมา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถเชื่อมโยงสร้างความสัมพันธ์เพื่อครอบครองเอาไว้เป็นตัวเองได้
และจากบทสนทนาพวกนั้น เมื่อเจ้าของเดิม! หรือหมายถึงโอวหยางฟงผู้ชราคนนั้นได้ตายจากไป โลกใบเล็กแห่งนี้ก็จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ใครก็สามารถครอบครองได้อย่างง่าย ๆ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาถกเถียงแย่งชิงกันจนเกือบจะมีการลงไม้ลงมือ เดวิดที่นั่งฟังอยู่ตอนนั้นไม่เข้าใจเรื่องราวเท่าไรนัก แต่ถึงตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงอาณาเขตของโลกใบนี้ และสัมผัสได้ถึงแก่นที่ใช้ควบคุมมันได้แล้ว!
อย่างไม่ลังเลใจ เดวิดกระตุ้นใช้ทักษะท่องสายลมพาตัวเองลอยสูงไปหาวัตถุทรงกลมที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าทันที ขนาดของมันเล็กแค่เพียงฝ่ามือเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะมองผ่านมันไปในตอนแรก
พื้นที่ส่วนใหญ่ของลูกแก้วที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเดวิดนั้นใสราวกับแก้ว รอบพื้นผิวสลักเอาไว้ด้วยลวดลายและตัวอักษรโบราณสีดำสนิท เขาควบคุมตัวเองให้ลอยอยู่กลางอากาศในท่านั่งขัดสมาธิ ก่อนจะยื่นมือออกไปแตะลูกแก้วใบนั้นอย่างแผ่วเบา ค่อย ๆ ปลดปล่อยคลื่นสมองให้ไหลผ่านฝ่ามือออกไปสัมผัสกับพื้นผิวทั้งหมดของลูกแก้ว เป็นไปตามที่คาด! ไม่มีม่านพลังอะไรปกป้องเอาไว้เลยแม้แต่น้อย โลกใบนี้ไร้เจ้าของ สิ่งที่เดวิดต้องทำก็เพียงต้องบรรจุคลื่นสมองของตัวเองเข้าไปตามลวดลายที่ปรากฏอยู่ให้เต็มเปี่ยมเท่านั้น
แม้จะไม่มีม่านพลังอะไรป้องกัน แต่ด้วยความซับซ้อนและช่องว่างที่มีอยู่อย่างมากมาย เดวิดประเมินว่าตัวเองต้องใช้เวลานานเป็นเดือนในการสร้างความเชื่อมโยงในครั้งนี้ เขาจึงตั้งสมาธิหมุนเวียนทักษะวาโยหมุนวนอย่างเต็มที่ พยายามที่จะสร้างคลื่นสมองออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อจะย่นระยะเวลาให้ได้มากที่สุด เดวิดไม่ได้คิดที่จะอยู่ในโลกใบเล็กแห่งนี้นานเกินไปนัก!!
………….
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล ตั้งแต่ที่เดวิดตื่นขึ้นมาจากการเรียนรู้ทักษะระดับสวรรค์ ประตูสีดำทั้ง 7 บานที่นำเข้าไปสู่เส้นทางทดสอบก็หายไป ผู้ฝึกฝนทุกคนถูกส่งออกมาจากดวงแห่งการทดสอบแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว พวกเขาต่างรีบกระจายตัวออกตามล่าหาสมบัติในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามปกติอีกครั้ง แต่ไม่ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มได้ยินข่าวลือที่น่าตกตะลึง
มีผู้ประสบความสำเร็จสามารถผ่านการทดสอบสุดท้ายไปได้! ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น รางวัลที่คนผู้นั้นได้รับตอบแทนกลับมาคือทักษะการฝึกฝนระดับสวรรค์! และนี่อาจเป็นทักษะระดับสวรรค์ทักษะเดียวที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้แล้วด้วยซ้ำ
มันเป็นข่าวลือที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกฝนทุกคนตกตะลึง และหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนเกิดกลียุคขึ้นมา เหล่าลูกศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ตั้งเป้าตามล่าผู้ฝึกฝนคนอื่น ๆ เพียงเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ได้รับทักษะระดับสวรรค์เอาไว้ในครอบครอง จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดือนแรกที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเทียบไม่ติด เหล่าผู้อ่อนแอได้แต่ซุกตัวหลบซ่อนอยู่อย่างมิดชิด พวกเขาไม่กล้าที่จะรวมกลุ่มกันออกตระเวนล่าสมบัติแล้วด้วยซ้ำ เพราะเหล่าผู้ที่แข็งแกร่งก็เริ่มจับกลุ่มแล้วเช่นกัน
ทักษะระดับสวรรค์! มันเป็นสิ่งที่ยั่วยวนเกินไปจริง ๆ
......
แสงสว่างเรืองรองฉายออกมากลางอากาศที่ว่างเปล่า ประตูขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำคนหนึ่งที่ก้าวออกมา
“โอ๊ะ!” ร่างของเขาลอยตกลงมาบนพื้นและเซไปมาเล็กน้อย ดวงตาที่ลืมขึ้นมามีอาการสับสนงงงวยอยู่เล็กน้อย
“ให้ตายสิ! นึกว่าฉันจะชินกับการเทเลพอร์ตแบบนี้แล้วเสียอีก!?” เสียงบ่นพึมพำดังออกมาจากปาก พร้อมกับการหลับตานิ่งเพื่อทำสมองของตัวเองให้แจ่มใสอย่างเร็วที่สุด
เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน หลังจากที่เดวิดรู้สึกปลอดโปร่งโล่งหัวแล้ว เขาก็ลืมตาเพื่อเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากที่เห็นว่ามันเป็นสีครามสดใส รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขากลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง อ้าว! แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?
เมื่อเดวิดก้มหน้าลงมากวาดมองไปรอบตัว ก็พบกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เขาขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่ม 3 คนกำลังยืนแยกย้ายกันคุมเชิงผู้หญิงคนเดียวอยู่อย่างเคร่งเครียด ดูเหมือนว่าตัวเองจะถูกส่งออกมาผิดจังหวะไปเล็กน้อยเสียแล้ว
เดวิดกวาดตามองอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขานั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก แล้วก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่มันไม่ใช่ผู้ชาย 3 คนกำลังรุมรังแกสาวน้อยอย่างที่คิดในตอนแรก กลับกัน! บนหน้าผากของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้านั้นดูซีดเผือดและอ่อนล้า ในขณะที่หญิงสาวนั้นยังดูสงบนิ่ง ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนออกมาให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่กระพริบตาถี่เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เดวิดก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “โอ้! ขอโทษด้วยที่มาขัดจังหวะ! ต่อเลย ๆ ไม่ต้องสนใจฉัน รับรองว่าฉันไม่เข้าไปยุ่งด้วยอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบเขาก็เริ่มถอยหลังอย่างช้า ๆ ไม่ต้องการให้การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสร้างความเข้าใจผิดอะไรขึ้นมา เดวิดคิดว่าพอสร้างระยะห่างได้พอสมควรแล้ว เขาก็จะรีบหันหลังแล้วจากไปทันที
“พี่ชาย! ได้โปรดยื่นมือช่วยเหลือพวกเราด้วย นางมารน้อยนี่โหดเหี้ยมเหลือเกิน! มันต้องการจะฆ่าพวกเราทั้งหมดอย่างไม่มีสาเหตุเลย!”
เดวิดต้องกระพริบตาอีกครั้ง เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าชายคนที่ตะโกนออกมากล่าวความจริง แต่ก็เลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว มันไม่มีประโยชน์ที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเลยสักนิด
“โอ้! ไม่ดีมั้ง! ผู้น้องยังเป็นเพียงแค่ผู้ก่อพลังเท่านั้น ในขณะที่ศิษย์พี่ทั้งหลายเป็นผู้ก่อปฐพีกันหมดแล้ว ผู้น้องคงจะช่วยอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน” เดวิดเอ่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ใสซื่อ สายตากวาดมองไปยังเด็กสาวที่ถูกล้อมอยู่อีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเธอกำลังจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ยักไหล่เบา ๆ! เดวิดทำได้แค่นั้น เขาหันหลังเพื่อหมายจะพุ่งจากไปทันที มันเป็นจังหวะที่มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเสียก่อน
“แกจะไปไหน! ต่อให้ช่วยโจมตีไม่ได้ แกก็ยังมีประโยชน์ในฐานะเกราะมนุษย์ กลับมานี่เดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มที่เป็นคนตะโกนออกมาในคราวนี้พุ่งพรวดตามเสียงของตัวเองออกมาด้วย มือของเขายื่นคว้าจับหัวไหล่ของเดวิดเอาไว้ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะไม่ใช่การกระทำที่ถูกต้องนัก แต่นี่อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเขารอดจากนางมารน้อยคนนี้ไปได้
วูซ!! ฉั๊วะ!!
ประกายมีดบินวาบขึ้นมาจากแขนเสื้อของเดวิดแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอียงตัวหลบมือที่ยื่นออกมาแล้วหมุนตัวกลับอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตามเดิม
ตึง!! ตุบ!
ร่างที่ไร้ศีรษะล้มลงกระแทกพื้นก่อน หลังจากนั้นไม่นานศีรษะที่ดวงตาและปากอ้าค้างอยู่จะตกกระแทกตามลงมา ชายคนนั้นยังไม่หมดลมหายใจเลยด้วยซ้ำตอนที่หัวของเขาตกกระแทกพื้น แต่มันก็อยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ชายอีก 2 คนยืนตะลึง! ผู้ก่อพลังกะผีนะสิ! ผู้ก่อพลังที่สามารถสังหารผู้ก่อปฐพีลงในภายในพริบตาเนี่ยนะ! บอกออกไปใครเขาจะเชื่อ!!??
ดวงตาสาวน้อยที่ยืนจ้องอยู่เงียบ ๆ ทอประกายเจิดจ้าออกมา นิ้วมือของเธอขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ประกายสีดำพุ่งออกเป็นสายออกจากแขนเสื้ออย่างฉับพลัน
เป็นชิ้น ๆ! ร่างของ 2 หนุ่มที่ยืนตะลึงอยู่ถูกหั่นออกเป็นร้อย ๆ ชิ้นในพริบตา ประกายดาบบินสีดำนั่นเหมือนกับตาข่ายรวดที่คมกริบพุ่งตัดร่างกายของทั้ง 2 คนพร้อมกัน ชิ้นส่วนร่างกายที่ถูกตัดจนเหมือนลูกเต๋าร่วงลงมากองรวมกันอยู่บนพื้น พวกเขาตายได้น่าอนาถจริง ๆ
คิ้วของเดวิดขมวดแน่นเข้าหากัน แม้ว่าจะเคลื่อนตัวออกมาไกล และไม่ได้หันหลังกลับไปมอง แต่หลังจากที่ดูดกลืนพลังวิญญาณส่วนใหญ่ของโอวหยางฟงเข้าไปในร่างกาย ประสาทสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก เดวิดแทบจะรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรัศมี 1 กิโลเมตรได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องหันมอง มันทำให้รับรู้ได้ว่าแม่สาวน้อยคนนั้นลงมืออย่างไร?
แล้วคิ้วของเขาก็ต้องขมวดแน่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อรับรู้ได้ว่าประกายสีดำกำลังพุ่งเข้ามาหาตนเองอย่างรวดเร็ว…