บทที่ 2 : ศพที่ถูกขโมยไป
"ศพอาจารย์… ถูกขโมย?"เฟยหลินตกใจไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
จากนั้นเขาถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซีดเซียว
"มันขโมยศพอาจารย์ไปทำอะไร? รู้ไหมว่าใครทำ?" เรย์ โรมาโนเป็นคนที่เขาเคารพและเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด ตอนนี้ร่างของอาจารย์ถูกขโมยไป ถึงรู้สึกโกรธแค้นมากขนาดนี้
"ไม่รู้สิ ผมโทรแจ้งตำรวจให้มาสอบสวนเรื่องนี้อยู่" โจซีพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
การเสียชีวิตอย่างกระทันหันของพ่อทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากอยู่แล้ว แถมตอนนี้ศพของพ่อยังถูกขโมยไปอีก ซึ่งทำให้เศร้าใจยิ่งกว่าเดิม
"คุณครับ ผมขอทราบชื่อและความสัมพันธ์คุณกับคุณเรย์ โรมาโนด้วยครับ"
เมื่อเห็นเฟยหลินเดินเข้ามา เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงผมสีน้ำตาลในวัยยี่สิบถามเขา
"ผมชื่อเฟยหลินซุกส์ เป็นลูกศิษย์ของเขา"เฟยหลินตอบกลับ
"คุณเรย์ โรมาโนเคยมีเรื่องกับใครหรือเปล่า? โดยเฉพาะเมื่อเร็ว ๆ นี้" เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงยังคงซักถามต่อไป
"คุณตำรวจสงสัยว่าคนที่ขโมยศพอาจารย์เป็นคู่กรณีเก่าท่านเหรอครับ?"
เฟยหลินรู้ดีถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง จึงอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
"คดียังอยู่ในขั้นตรวจสอบรายละเอียดเลยยังไม่สะดวกเปิดเผยข้อมูล โปรดตอบคำถามเราต่อด้วย" เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงอธิบายอย่างจริงจัง
"ขออภัยด้วยครับ"
เฟยหลินขอโทษและหลังจากนึกได้สักพักก็ตอบกลับ
"ตั้งแต่เริ่มทำงานก็ติดต่อกับอาจารย์น้อยลง เท่าที่รู้… อาจารย์มีมนุษยสัมพันธ์ดีกับคนรอบข้างเสมอ ไม่น่ามีคู่กรณีแบบนั้น"
"เมื่อวานคุณไปงานศพมาหรือเปล่า แล้วคุณเจออะไรผิดปกติไหม?" เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงยังคงถามต่อไป
"ผมไปงานศพเมื่อวานนี้จริง และไม่พบสิ่งผิดปกติเลยในงาน"เฟยหลินส่ายหน้า
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงไม่ได้ถามคำถามเพิ่มเติม ก่อนเดินออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายคนหลังจากนั้นไม่นาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังมองหาเบาะแสเพื่อสืบหาการขโมยศพ
เป็นเพราะว่าจากการสอบถามเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย
เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้แล้วเฟยหลินไม่ได้รีบกลับไปที่ห้องทดลอง แต่มองไปยังโจซีและแนะนำว่า
"คุณโรมาโน ขณะที่ให้ตำรวจกำลังสืบสวน ผมแนะนำให้จ้างนักสืบมาสอบสวนเพิ่มอีกแรงครับ เพราะพวกเขาน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าตำรวจ"
ผู้ที่สามารถทำหน้าที่เป็นนักสืบได้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะตัว ถ้าไม่มีความสามารถเฉพาะตัวก็ไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้
สุดท้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ต้องการค่าจ้างในการทำงานเหมือนที่ทุกคนคิด พวกเขาทำตามหน้าที่ของตนเอง แต่ลึก ๆ แล้วพวกเขายังต้องการค่าจ้าง และค่าจ้างมักไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลย
โจซีครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเห็นด้วยกับคำแนะนำของเฟยหลินและถาม
"คุณเฟยหลินคุณพอรู้จักนักสืบเก่ง ๆ บ้างไหม?"
"ผมไม่รู้จักใครเลย แต่เคยได้ยินเกี่ยวกับนักสืบที่ชื่อแคฟฟี่ โคลอน เขาเชี่ยวชาญสืบคดีเกี่ยวกับการหายตัวไปแบบนี้ ถ้าคุณไม่มีตัวเลือกอื่น ผมขอแนะนำให้จ้างนักสืบคนนี้ครับ"เฟยหลินเสนอ
หลังจากนั้นไม่นานเฟยหลินและโจซีก็ไปเรียกรถม้า หลังจากเดินทางไปครึ่งชั่วโมง รถม้าหยุดที่หน้าสำนักงานนักสืบแห่งหนึ่ง
ก๊อกๆๆ!
หลังจากเคาะประตูแล้ว ทั้งสองผลักประตูและเข้าไปในสำนักงานนักสืบ
มีทั้งโต๊ะขนาดใหญ่ โซฟา โต๊ะกาแฟ และสิ่งของอื่น ๆ ภายในสำนักงานนักสืบ แม้ห้องไม่ใหญ่มากแต่ก็ตกแต่งอย่างประณีต
เวลานี้มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ ชายวัยสามสิบสวมแว่นตาขอบทอง เสื้อเชิ้ตสีขาว และเสื้อกั๊กสีดำ เนื่องจากอากาศหนาวจึงสวมเสื้อโค้ทสีเทาทับข้างนอกในที่ร่ม
"เชิญนั่งครับ"
ชายคนนั้นขอให้เฟยหลินและโจซีนั่งลงบนโซฟา
ไม่รีบร้อนที่จะถามทั้งสองเกี่ยวกับความตั้งใจที่มาหา แต่หลังจากรินชาดำให้แต่ละคนแล้วเขาก็นั่งบนโซฟาตรงข้ามทั้งสอง ก่อนถามขึ้น
"ผมนักสืบแคฟฟี่ โคลอน ไม่ทราบว่ามาที่นี่มีเรื่องอะไรให้ช่วยครับ?"
"คุณโคลอน ผมชื่อโจซี โรมาโน เมื่อคืนหลุมฝังศพพ่อของผมถูกขุดและศพยังถูกขโมยไปด้วย ผมอยากจ้างวานคุณโคลอนเป็นคนตรวจสอบเรื่องนี้ครับ"
โจซีอธิบายจุดประสงค์ของตัวเอง
"ศพถูกขโมยไป? คุณโรมาโน… ผมยินดีรับงานนี้ แต่ก่อนเริ่มลงมือทำ ผมต้องเตือนคุณก่อนว่าค่าจ้างที่ผมเรียกนั้นสูงมาก ต้องใช้ทองมาถึง 50 ปอนด์" แคฟฟี่อธิบาย
"ไม่มีปัญหา ตราบใดที่คุณหาศพพ่อผมเจอ"
โจซีตอบตกลงโดยไม่ต่อรอง
บางทีหลังจากการเจรจาต่อรองค่าจ้างอาจน้อยลง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดมากให้เสียเวลา
"งั้นตกลงตามนี้ ผมรับสืบเรื่องของคุณ" แคฟฟี่ยื่นมือออกไปจับมือโจซีเป็นการตกลง
สุสานนอกเมืองเฟยหลินโจซี และแคฟฟี่เพิ่งเดินทางมาถึง
เฟยหลินเลือกที่จะติดตามพวกเขามาด้วย เนื่องจากเรย์ โรมาโนเป็นอาจารย์ของเขา คนที่เขาเคารพซึ่งเคยช่วยเหลือตัวเองไว้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตามมาช่วยอีกแรง
สุดท้ายถ้าพบศพ ไม่ว่าจะจับคนขโมยศพหรือจะขนศพกลับก็ต้องใช้กำลังคนมากอยู่ดี แถมเขาต้องการรู้ด้วยว่าใครเป็นคนขโมยศพอาจารย์ไป และอีกฝ่ายขโมยศพไปทำไม?
ทั้งสามเดินเข้าไปในสุสานเพื่อไปยังหลุมฝังศพของเรย์ โรมาโน ยังคงมีอีกาเกาะอยู่บนกิ่งก้านบนต้นที่แห้งกรอบ ราวกับเหมือนเป็นอีกาตัวเมื่อวาน
อีกามองไปทางคนทั้งสามที่เดินเข้ามา ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของพวกเขา
ในสุสานไม่มีใครเลยนอกจากทั้งสาม ท้องฟ้าที่มีเมฆปกคลุมไปด้วยความมืด และบรรยากาศชวนขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูก
"ไอ้เลวนี่!"
เมื่อเห็นหลุมฝังศพที่ถูกขุดขึ้นมา สีหน้าของโจซีซีดเซียว กำปั้นกำแน่น พยายามระงับความโกรธในใจ
สีหน้าเฟยหลินดูไม่พอใจเหมือนกัน เรย์ โรมาโนเป็นชายที่เขาเคารพ แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตและดันเกิดเรื่องแบบนี้เฟยหลินไม่สามารถอยู่เฉยได้
"คุณโคลอน ได้โปรดช่วยหาศพพ่อผมให้เจอเร็ว ๆ ที" โจซีระงับความโกรธที่รุนแรง ก่อนหันไปพูดกับแคฟฟี่
"วางใจได้ นี่คืองานของผมครับ" แคฟฟี่พยักหน้าและเริ่มเข้าสู่โหมดทำงาน
อันดับแรก เขามองดูหลุมฝังศพที่ถูกขุดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินวนรอบหลุมฝังศพและมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ
แม้ค่าตัวจะสูงแต่เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะตัว ในไม่ช้าเขาก็ได้เบาะแส
"มาทางนี้!" เขาหันกลับไปเรียกเฟยหลินและโจซีให้เดินตามมา
"รอยเท้านี้ยังใหม่มาก ไม่น่าใช่รอยเท้าที่มีนานแล้ว สงสัยจะเป็นรอยเท้าที่โจรปล้นสุสานทิ้งไว้" แคฟฟี่พูดพร้อมกับชี้นิ้วไปตรงรอยเท้าบนพื้น
"เป็นไปได้ไหมว่าเป็นรอยเท้าคนทำความสะอาดสุสาน?"เฟยหลินมองรอยเท้าและถามอย่างสงสัย มีแค่รอยเท้าซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าทำไมแคฟฟี่ถึงคิดว่ารอยเท้านี้ถูกทิ้งไว้โดยโจรปล้นสุสาน
"มีวัชพืชขึ้นอยู่ทางนั้น และถนนก็เดินได้ลำบาก ถ้าเป็นคนทำความสะอาดจะไม่เดินออกจากสุสานทางนี้แน่"
"นอกจากนี้ ดูจากรอยเท้าแล้ว ช่วงเวลาที่มันถูกทิ้งเอาไว้ยังผ่านมาไม่นานนัก ถึงจะไม่แน่ใจ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่รอยเท้านั้นจะถูกทิ้งไว้โดยโจรปล้นสุสาน" แคฟฟี่อธิบาย
"เป็นแบบนี้นี่เอง"
หลังจากฟังคำอธิบายของแคฟฟี่ ทั้งเฟยหลินและโจซีต่างตกตะลึง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอการค้นพบเบาะแสใหม่
แคฟฟี่ใช้รอยเท้านี้เป็นเบาะแสและเริ่มติดตาม เนื่องจากไม่มีฝนตกในช่วงหลายวันมานี้ รอยเท้าจึงไม่สอดคล้องกันและไม่สามารถติดตามรอยเท้าได้ตลอดทาง
แต่เขามีวิธีการติดตามที่ดีมาก
บางครั้งเขาใช้วัชพืชที่โดนเหยียบย่ำเป็นทางเดิน
บางครั้งใช้กิ่งไม้ที่ตายแล้วมาเขี่ยหาเบาะแสที่อาจทิ้งไว้บนพื้น
บางครั้งสังเกตจากใยแมงมุมที่ฉีกขาดเป็นเบาะแส
…
เฟยหลินและโจซีเหมือนได้เปิดหูเปิดตา ในสายตาของพวกเขาสิ่งธรรมดา ๆ มักจะกลายเป็นเบาะแสให้แคฟฟี่ติดตามหาตัวคนร้าย
ทั้งสามคนออกจากสุสานจากด้านข้างเข้าไปในป่าใกล้สุสาน และเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
หลังจากเดินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ซากสัตว์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา ทั้งสามเดินไปด้านข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ นี่คือซากสัตว์ขนสีขาวหงอกยาวสี่ฟุต มีกองเลือดแห้งอยู่ข้างใต้
"ทำไมมีหมาตายอยู่ที่นี่?" โจซีอุทานด้วยความประหลาดใจ
"ไม่ มันไม่ใช่หมา แต่เป็นศพของหมาป่า" แคฟฟี่ส่ายหน้าและพูดต่อ
"หมามักจะมีหูห้อยลงมา ในขณะที่หูของศพนี้ตั้งขึ้นในแนวตั้ง"
"เมื่อเทียบกับหมาแล้ว จมูกของมันยาวและแหลมกว่า ปากมีความกว้างกว่าด้วย ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของหมาป่า"
"เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะถูกฆ่าโดยโจรปล้นสุสาน?"เฟยหลินถาม
แคฟฟี่ไม่ตอบทันที แต่นั่งลงและมองดูศพหมาป่าและบริเวณโดยรอบ
ตรงคอของหมาป่าตัวนี้มีบาดแผลฉกรรจ์ที่เผยให้เห็นเนื้อและเลือดข้างใน พบว่ามีเนื้อชิ้นใหญ่หายไป ซึ่งน่าจะเป็นบาดแผลร้ายแรง รอบข้างมีร่องรอยถลอกเหมือนกลิ้งไปกับพื้นจนเกิดแผลเละเทะ
เขาสันนิษฐานและอธิบาย
"มันอาจไม่ได้ถูกฆ่าโดยโจรปล้นสุสาน เว้นแต่ว่าเขาจะชอบต่อสู้เหมือนสัตว์ร้ายที่มีนิสัยชอบกินเนื้อและเลือดดิบ ๆ" ทั้งสามคนยังคงเดินหน้าต่อไป เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มสลัว และอีกไม่นานจะมืดแล้ว
"กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก "
ในป่ามีเสียงนกที่ไม่รู้จักตัวหนึ่งส่งเสียงร้อง ท้องฟ้าที่กำลังมืดลง ช่างสร้างบรรยากาศน่ากลัวที่ไม่ธรรมดาเลย
ต้นไม้หนาทึบโดยรอบภายใต้การพัดของลมยามเย็น แกว่งไกวเป็นครั้งคราวราวกับมีบางอย่างอยู่ระหว่างนั้น
เฟยหลินรู้สึกขนลุกเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล อดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้โจซีและแคฟฟี่มากขึ้น ดูเหมือนโจซีจะไม่สบายใจเล็กน้อย เขามองไปทางซ้ายและขวาและพูดกับแคฟฟี่
"คุณโคลอน นี่เริ่มมืดแล้วทำไมเราไม่กลับเข้าเมืองก่อนและตรวจสอบอีกทีวันพรุ่งนี้"
"คุณโรมาโน คุณเป็นนายจ้าง ถ้านี่เป็นการตัดสินใจของตัวเองผมยินดีทำตาม แต่อยากเตือนคุณว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้ศพกลับคืนมาจะน้อยลงเท่านั้น" แคฟฟี่หยุดและพูดกับโจซี
"งั้น… ไปกันต่อเถอะครับ" โจซีกัดฟัน แม้จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ตัดสินใจสืบสวนมาถึงขั้นนี้แล้ว
"อืม" แคฟฟี่พยักหน้า สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังไว้มากว่าจะจบงานในวันนี้
พวกเขาเห็นแคฟฟี่หยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากเสื้อโค้ทสีเทา หลังจากบิดมันไปมาก็กลายเป็นคบเพลิง
แสงสีส้มส่องไปทั่วทางข้างหน้า
แคฟฟี่ถือคบเพลิงไว้ข้างหน้า แล้วทั้งสามก็ค้นหากันต่อไป แสงจากคบไฟส่องไปที่ต้นไม้รอบ ๆ ทำให้เกิดเงาดำตัวสูงยาว
เฟยหลินซึ่งเดินอยู่ท้ายแถว เมื่อมองไปที่เงาดำจากแสงคบเพลิงที่ส่องมา ไม่เพียงแต่เขาไม่ผ่อนคลายขึ้นเท่านั้น แต่ยังขนลุกมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อคบเพลิงขยับเงาดำจะเปลี่ยนไป ราวกับว่ามันมีชีวิตขึ้นมา ทำให้เขากังวลว่าจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในเงามืดเหล่านี้หรือไม่ และมันจะกระโดดออกมาเมื่อไหร่
"ใครน่ะ…?"
แคฟฟี่ซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างหน้าก็ตะโกนขึ้นเฟยหลินรีบถอนสายตาจากเงาดำแล้วหันไปมองตามเสียง
ทั้งสามเห็นคนกำลังก้มหน้าก้มตาท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ชายคนนั้นเหมือนก้มหน้าลงและกินอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นแผ่นหลังของคนคนนี้ เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้ ราวกับว่าเขาเคยเห็นแผ่นหลังที่คล้ายกันที่ไหนสักแห่ง
เขาไม่เห็นแต่โจซีซึ่งอยู่ข้างหน้าในเวลานี้ ดูเหมือนจะเห็นฉากที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งและใบหน้าก็เป็นเปลี่ยนซีดเผือด
เฟยหลินอาจยังคิดไม่ออกว่าเคยเห็นคนนั้นที่ไหน แต่โจซีจำคนตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว ด้านหลังของชายคนนี้คล้ายกับพ่อของเขามาก หรือแทบจะเหมือนกันทุกประการ
ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าที่ชายคนนี้สวมก็เหมือนกับเสื้อผ้าที่ศพพ่อสวมใส่ก่อนถูกฝัง