บทที่ 1 : งานศพ
ช่วงเช้าปลายฤดูใบไม้ร่วง รถราง ม้า และคนเดินตามท้องถนนสไตล์คล้ายยุโรปสมัยใหม่ บรรยากาศดูมีชีวิตชีวา
ม้าเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า
รถให้เช่าบรรทุกผู้โดยสารเหมือนแท็กซี่
ตัวรถตกแต่งอย่างหรูหราและลากด้วยม้าขนสีทึบ ราวกับรถหรูหราส่วนบุคคล
ชายหญิงเดินขนาบสองข้างถนนต่างกระตือรือร้นรีบไปทำงาน
แม่บ้านที่ออกมาซื้อกับข้าวกำลังกลับบ้านพร้อมถุงกระดาษใส่อาหาร
เด็กส่งหนังสือพิมพ์แบกถุงผ้าไว้ข้างหลัง
…
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วเฟยหลินผลักประตู ‘ห้องทดลองเฟยหลิน’ เมื่อเปิดประตูก็พบสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขา
เป็นเวลา 20 ปีแล้วที่เฝ้าดูฉากแบบนี้เรื่อยมา แต่เฟยหลินยังคงรู้สึกไม่เชื่อว่าเป็นของจริง และยังรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
เฟยหลินมีความลับซ่อนอยู่ในใจ คือจิตวิญญาณของเขาไม่ได้เกิดในโลกนี้แต่มาจากดาวเคราะห์สีฟ้า
แต่เขายังไม่สามารถปลุกนิ้วทองคำให้ตื่นขึ้นได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ซึ่งแตกต่างจากผู้อาวุโสในการทะลุมิติหลายคน
แม้เขาจะไม่มีนิ้วทองคำ แต่ด้วยสติปัญญาขั้นต้นของตัวเอง เขาได้เรียนรู้ทักษะบางอย่างจนประสบความสำเร็จแล้วเช่นกัน
ตอนอายุ 20 ปีมีห้องทดลองอัญมณีและของเก่าเป็นของตัวเอง แล้วยังสามารถหาทองคำได้ประมาณ 4 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ทองคำ 1 ปอนด์เท่ากับ 20 ชิลลิง 1 ชิลลิงเท่ากับ 12 เพนนีและ 1 เพนนีเท่ากับประมาณ 4 ดอลลาร์ในชาติที่แล้ว
เมื่อคำนวณแล้ว รายได้ต่อเดือนของเขาเท่ากับประมาณ 15,000ดอลลาร์ ในชาติที่แล้ว
ในคอนสแตนตินมีคนไม่กี่คนที่มีรายได้ระดับนี้ บ้างก็น้อยกว่าทองคำ 4 ปอนด์ซึ่งแทบจะเป็นรายได้สูงสุดในเมือง บ้างก็มากกว่าขั้นต่ำเล็กน้อย และบางส่วนก็อยู่ในระดับกลาง
วันนี้แทนที่จะสวมสูททางการตามปกติ แต่เขาเลือกสวมสูทสีดำ
สีดำแสดงถึงความเคร่งขรึมและความเศร้าโศก ซึ่งเป็นหลักการแต่งกายสำหรับงานศพ
เฟยหลินเลิกงานและกำลังไปร่วมงานศพเขาซื้อดอกเบญจมาศสีขาวพวงหนึ่งที่ร้านดอกไม้ แล้วนั่งรถม้าไปยังสุสานนอกเมือง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าหยุดตรงหน้าทางเข้าสุสานนอกเมือง ในสุสานเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากในชุดสีดำเฟยหลินเดินไปทางกลุ่มคนทางนั้น
หลังจากเดินเข้ามา ท่ามกลางคนในชุดสีดำเฟยหลินเห็นคนรู้จักบางคนและคนรู้จักเหล่านี้ก็จำเขาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายแค่พยักหน้าให้กันเล็กน้อยและไม่ได้เข้าไปพูดคุย เพราะเวลานี้ไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมเท่าไหร่
ในบริเวณหนึ่งของสุสาน มีการขุดหลุมดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและสร้างหลุมฝังศพ
บนศิลาหน้าหลุมฝังศพมีการสลักชื่อและประวัติโดยคร่าวของผู้ตาย
เจ้าของสุสานชื่อเรย์ โรมาโน… เขาเป็นนักโบราณคดีที่อุทิศชีวิตให้กับการขุดค้นความจริงทางประวัติศาสตร์ และยังสร้างคุณูปการอันโดดเด่นแก่ชุมชนโบราณคดีอีกหลายอย่างด้วย
นอกจากนี้เขาได้บ่มเพาะนักเรียนดีเด่นและส่งต่อความรู้ความสามารถอันโดดเด่นมาสู่รุ่นใหม่ของวงการโบราณคดี
"อาจารย์…"
เฟยหลินพึมพำเบา ๆ และภาพของชายชราตัวเล็กก็ปรากฏขึ้นในใจ เขาเป็นหนึ่งในนักเรียนของเรย์ โรมาโน
และเรย์ โรมาโนเป็นคนสอนความรู้ด้านเครื่องประดับและโบราณวัตถุแก่เขา
เริ่มตั้งแต่การเรียนรู้เครื่องประดับและการประเมินค่าโบราณวัตถุ การเปิดห้องทดลองของเขาเองก็ได้รับการดูแลจากเรย์ โรมาโน เพราะความเอาใจใส่ของผู้เป้นอาจารย์ ทำให้เฟยหลินมีห้องทดลองเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย
แขกมาเพิ่มในงานทีละคน บางคนที่มาเฟยหลินก็รู้จัก และบางคนเฟยหลินก็ไม่รู้จัก
เวลาสิบนาฬิกา ม้าเทียมเกวียนรูปลักษณ์หหรูหราเคลื่อนเข้ามาใกล้ โดยมีโลงศพคลุมผ้าสีดำอยู่ข้างในเกวียนเทียม ร่างของเรย์ โรมาโนนอนอยู่ในโลงศพนั้น
หลังจากม้าเทียมเกวียนเคลื่อนผ่านไป ตามหลังขบวนมาด้วยญาติของเรย์ โรมาโนรวมถึงลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานชาย และหลานสาวของเขา
สำหรับภรรยาของอาจารย์… เธอเสียชีวิตก่อนหน้าเขามานานแล้ว
ฝูงชนหันหน้าเข้าหาโลงศพ ชายชราผู้สูงศักดิ์ยืนอยู่หน้าโลงศพและกล่าวคำสรรเสริญ
"ศาสตราจารย์เรย์ โรมาโน ผู้ซึ่งเป็นนักโบราณคดีผู้ยิ่งใหญ่ที่อุทิศชีวิตให้กับ…"
ความแตกต่างระหว่างโลกนี้กับอดีตและปัจจุบันของยุโรปในชาติก่อน คือไม่มีโบสถ์หรือนักบวชในโลกนี้ และไม่อนุญาตให้มีความเชื่อทางศาสนาด้วย
ใครก็ตามที่เชื่อในศาสนาจะถูกมองว่าเป็นลัทธิและต้องถูกจับกุมโดยอาณาจักร ดังนั้นจึงไม่มีนักบวชในโลกนี้ แต่เป็นคนที่มีฐานะสูงส่งมาทำหน้าที่นี้แทน
หลังจากทำพิธีเสร็จโลงศพก็ถูกฝังตามกระบวนการ ทุกคนออกมาวางดอกไม้สีขาวเพื่อแสดงความไว้อาลัย
เมื่องานศพจบลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเฟยหลินไม่ได้จากไปทันทีแต่ยืนดูหลุมศพอยู่ข้างหลัง
หลังจากพิธีศพเสร็จสิ้น เขาเดินไปหาโจซี โรมาโนหรือลูกชายของเรย์ โรมาโน
"คุณโรมาโน"
"คุณเป็นลูกศิษย์ของพ่อใช่ไหม?"
ดวงตาของโจซีมีสีแดงก่ำเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นเฟยหลินเดินเข้ามาจึงถามขึ้น
"ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของคุณโรมาโน"
เฟยหลินลังเลก่อนถามอีกฝ่าย
"พอดีผมสงสัยอะไรนิดหน่อย พักหลังมาอาจารย์ยังสบายดีอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึง…?"
"เขาเสียชีวิตด้วยโรคร้ายระหว่างทำงานโบราณคดีไม่นานมานี้"
โจซีตอบเสียงเบา
"เป็นไปได้ยังไง… อาจารย์ไม่ได้ไปสุสานมานานแล้ว ทำไมถึงไปที่สุสานอีก"
เมื่อรู้สาเหตุการตายของอาจารย์เฟยหลินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้าและไม่เข้าใจมากขึ้น เพราะอาจารย์ของเขาไม่น่าพลาดท่าด้วยเรื่องแค่นี้
"มันเป็นสุสานจักรพรรดิที่มีคุณค่าทางโบราณคดีมาก พ่อเลยไม่อยากให้มันตกไปเป็นของคนอื่น พ่อจึงตัดสินใจไปที่สุสาน"
โจซีถอนหายใจ
"สุสานจักรพรรดิ?"
เฟยหลินแสดงสีหน้าตกใจ อาจารย์ที่บอกว่าจะวางมือเรื่องค้นสุสานเพื่อลูกหลาน ทำไมถึงยอมเสี่ยงแบบนี้ ทั้งที่ปล่อยให้เหล่าลูกศิษย์ทำเองได้
ในยุคนี้ อาณาจักรไฮเดลเบิร์ก อาณาจักรเออร์คาโน และอาณาจักรปอร์โตที่เขาอาศัยอยู่มีความขัดแย้งกัน ซึ่งเรียกว่ายุคจักรวรรดิ
ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 600 ปีที่แล้ว มีอาณาเขตมากมายซึ่งอาณาเขตหลายสิบแห่ง ใหญ่และเล็ก ถูกเรียกว่ายุคอาณาเขต ย้อนลึกลงไปอีกเมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน มีอาณาจักรแห่งเดียวซึ่งถูกเรียกว่าจักรวรรดิ
นั่นคืออาณาจักรที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ปกครองอาณาเขตทั้งสามในอดีตซึ่งคือสามอาณาจักรในปัจจุบัน เป็นประวัติศาสตร์การปกครองยาวนานนับพันปี
แต่วันหนึ่งจักรวรรดิที่มีอำนาจดังกล่าวก็ล่มสลาย
การล่มสลายยังคงเป็นปริศนาลึกลับที่ยังไม่ได้ไขให้กระจ่าง ในโลกโบราณคดี เหตุการณ์นี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่นักโบราณคดีแทบทุกคนต้องการสำรวจและไขความจริง
อาจารย์ในฐานะนักโบราณคดี เมื่อเขาพบสุสานเก่าแก่แบบนี้ เขาจะต้านทานหัวใจตัวเองไม่ให้ออกไปสำรวจสุสานได้อย่างไร
"ไม่นานหลังจากที่เขาไปสุสาน หนึ่งในกลุ่มไอเป็นเลือดและเสียชีวิต"
"พ่อและพวกที่เหลือรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติเลยรีบออกจากสุสาน"
"แต่จะรีบหนีออกมาก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายพวกพ่อก็ไม่รอด"
"เหมือนกับคนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พ่อเองก็มีอาการไอเป็นเลือด"
"เราเรียกตัวเภสัชกรมาช่วยดู แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานพ่อและพวกที่เหลือก็ทยอยเสียชีวิตกันหมด"
โจซีเล่าด้วยสีหน้าโศกเศร้า
"อาจารย์กับคนอื่นได้สัมผัสกับสิ่งที่เป็นพิษในสุสานหรือเปล่า?"
เฟยหลินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ในสุสานมีการปิดตายมานานและยังมีการเน่าเปื่อยของศพด้วย เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดสารพิษสูงภายใน
ต่อให้เป็นสัตว์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเข้าไป ถ้าเผลอสัมผัสกับสิ่งรอบข้างในสุสานก็มีโอกาสติดเชื้อตายได้เหมือนกัน
เนื่องจากสารพิษบางชนิดไม่ได้อยู่ในลักษณะก๊าซ แต่อาจเป็นตะไคร่น้ำบนผนัง หรืออาจเป็นเชื้อราที่มองไม่เห็น
"ผมไม่รู้" โจซีส่ายหน้า
"ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ!"เฟยหลินปลอบโยนโจซีก่อนจากไป
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าเป็นสีเทาและมองไม่เห็นแสงแดด ทั้งที่อยู่ในเวลากลางวันแต่ดูเหมือนเป็นเวลาพลบค่ำ
"ฟิ้ว…"
ในฤดูนี้ต้นไม้จำนวนมากในสุสานต่างผลัดใบร่วงโรยปลิวไปตามสายลม
อีกาหรือตัวแทนแห่งลางร้ายสองสามตัวยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่เปลือยเปล่า ทำเสียงหวีดแหลมคมแสบแก้วหู
ดวงตาสีเลือดของพวกมันจ้องมองสุสานด้านล่างโดยไม่กะพริบ
ในเวลาปกติที่ไม่น่ามีใครเข้ามาในสุสาน กลับมีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
…
เช้าวันรุ่งขึ้นเฟยหลินออกไปทำงานตามกิจวัตรปกติ
งานของผู้ประเมินราคา ตามชื่อของอาชีพคือการประเมินเครื่องประดับและของเก่า
ส่วนใหญ่ได้รับความไว้วางใจให้ไปที่บ้านของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งและขุนนาง เพื่อประเมินราคาเครื่องประดับโบราณอย่างมืออาชีพ
เมื่อออกจากบ้านของนักธุรกิจผู้มั่งคั่งเฟยหลินก็กลับมาที่ห้องทดลองด้วยรถม้า
"บ้านพักอาจารย์อยู่ข้างหน้า…" ขณะผ่านไปตามถนนในเมืองเฟยหลินมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ในฐานะลูกศิษย์ของเรย์ โรมาโน เขาไปที่บ้านพักของอาจารย์หลายครั้งและตั้งอยู่บนถนนสายนี้
"ยังไงเนี่ย… ทำไมมีตำรวจอยู่หน้าบ้านอาจารย์ล่ะ?"
ชายในชุดเครื่องแบบตำรวจหลายคนยืนอยู่หน้าบ้าน ขณะนั้นโจซีกำลังพูดคุยกับพวกเขา
สัญชาตญาณบอกเฟยหลินว่าอาจมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น ในฐานะลูกศิษย์ของเรย์ โรมาโน เขาไม่สามารถเมินเฉยได้ จึงรีบขอให้คนขับหยุดรถม้าที่หน้าประตูบ้านเรย์ โรมาโน
"คุณโรมาโน เกิดอะไรขึ้นครับ?" เมื่อมองไปทางโจซีเฟยหลินก็รีบถาม
"เมื่อเช้านี้ คนดูแลสุสานพบว่าหลุมฝังศพของพ่อถูกขุด แถมตอนนี้ศพพ่อก็หายไปแล้ว" โจซีพูดด้วยสีหน้าโกรธจัด