ตอนที่ 1480 จินอวี้ กรุ๊ป, การประชุมผู้ถือหุ้น..
เว่ย เจี้ยนเซิง รู้สึกว่าเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น เขาแย่เพียงเพราะเมื่อเทียบกับ หลินฟาน เท่านั้น ในความเป็นจริงเขาทําธุรกิจกับพ่อของเขามาตั้งแต่เด็ก และได้รับคําชมมามากมาย เมื่อตอนเขายังเป็นวัยรุ่น บางคนก็เรียกเขาว่า อัจฉริยะทางธุรกิจ..
ต่อมาเขายังได้สร้าง เชอร์รี่ เอนเตอร์เทนเมนท์ ขึ้นมาด้วยมือตัวเอง, ปัจจุบัน เชอร์รี่ เอนเตอร์เทนเมนท์ ติด 1 ใน 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการบันเทิงไปแล้ว!
หากตัดสินจากความสําเร็จของ เว่ย เจี้ยนเซิง เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่.. ทําไมล่ะ? ทำไมต่อหน้า หลินฟาน เขาถึงดูธรรมดาได้ขนาดนั้นกัน?
เว่ย เจี้ยนเซิง เองก็รู้สึกหดหู่ ตัวเขา.. มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นจริงๆ แต่แล้วทำไม?
มัน.. มีเพียงคําตอบเดียวเท่านั้น นั่นคือ หลินฟาน ยอดเยี่ยม และ.. โดดเด่นเกินไป หลินฟาน เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เป็นการดํารงอยู่ที่บดบังอัจฉริยะคนอื่นๆ
เมื่อ หลินฟาน ปรากฏตัว อัจฉริยะคนอื่นๆ สามารถมีชีวิตได้เพียงอยู่ภายใต้เงาของเขา ..เท่านั้น
เว่ย เจี้ยนเซิง ย่อมไม่สามารถกลืนความโกรธ และความเกลียดชังนี้ลงไปได้..
ถ้าเป็นตัวเขาเองที่รู้สึกว่าสู้ หลินฟาน ไม่ได้ ก็คงไม่เป็นไร.. แต่สิ่งที่ เว่ย เจี้ยนเซิง ทนไม่ได้มากที่สุดก็คือ พ่อของเขาเองก็ได้ดูถูกเขาด้วยเพราะเหตุนี้!
ใช่ นับตั้งแต่เป็นศัตรูกับ หยงจิ่ว กรุ๊ป เขาก็ถูกด่ามาไม่น้อย ดูเหมือนว่าในสายตาของ เว่ย เทียนเฉิง เขามันกลายเป็นคนงี่เง่า เป็นไอ้ตัวไร้ค่า ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง..
แล้วเรื่องนี้เขาจะไปทนมันได้ยังไง!
เขาจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงชื่อเสียงของเขา และเขาก็ต้องเอาชนะไอ้เด็กน้อย หลินฟาน ให้ได้ เขาต้องทําให้พ่อประทับใจในตัวเขา แล้วเมื่อนั้นเขาจะกลับมาเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ของพ่ออีกครั้ง
เขาคิดถึงวันเก่าๆ เหลือเกิน, ไปไหนมาไหนก็ได้รับการยกย่องเสมอ คนอื่นๆ อยู่ต่อหน้าพ่อ มักจะยกนิ้วยกย่องว่า พ่อเสือไม่มีทางได้ลูกเป็นสุนัข, จากนั้นพ่อก็แสดงท่าทีเย่อหยิ่ง แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ ..ออกมา
เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเขายังคงทําให้พ่อภูมิใจในตัวเขาได้..
นอกจากนี้เขายังได้ยินมาว่าพี่ชายคนโตของเขา เว่ย จี้เซิง ดูเหมือนจะวางแผนอะไรบางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ เขารู้จุดประสงค์ของ เว่ย จี้เซิง คือการกลับมายืนอยู่เคียงข้างพ่อ ..อีกครั้ง
ท้ายที่สุดแล้ว เว่ย จี้เซิง เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเว่ย ตามสถานการณ์โดยทั่วไป มรดกของตระกูลเว่ย จะต้องได้รับการสืบทอดโดยบุตรชายคนโต เว้นเสียแต่บุตรชายคนโตคนนี้ไม่ได้ความ และเป็นตัวไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ เว่ย จี้เซิง เคยได้ทํางานเคียงข้าง เว่ย เทียนเฉิง แต่เป็นเพราะ เว่ย จี้เซิง ไม่มีความสามารถในการจัดการกับ หลินฟาน และถูก เว่ย เทียนเฉิง ลดตําแหน่งไป เว่ย เจี้ยนเซิง จึงได้ถือโอกาสขึ้นมาครองตําแหน่งแทน
และมันมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าสิ่งที่ เว่ย จี้เซิง กำลังวางแผนเมื่อเร็วๆ นี้.. น่าจะเกี่ยวข้องกับ หลินฟาน และเว่ย จี้เซิง คนนี้ก็แอบวางแผนกำจัด หลินฟาน อยู่ ..อย่างลับๆ!
เมื่อ เว่ย จี้เซิง ประสบความสําเร็จ เขาก็จะได้รับความไว้วางใจจาก เว่ย เทียนเฉิง อีกครั้งอย่างแน่นอน จากนั้น เว่ย เจี้ยนเซิง ก็จะต้องตกอยู่ในอันตราย
แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้พี่ใหญ่ทำมันสำเร็จ!
เว่ย เจี้ยนเซิง คิดในใจว่าเขาต้องเอาชนะ จินอวี้ กรุ๊ป มาให้ได้โดยเร็วที่สุด และเขาต้องไม่ทําให้พ่อของเขาผิดหวัง ..ได้อีก
ความทะเยอทะยานของ เว่ย เจี้ยนเซิง นั้นยิ่งใหญ่มาก เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่เพียง เชอร์รี่ เอนเตอร์เทนเมนท์ เท่านั้น สิ่งที่เขาต้องการคือการสืบทอด กลุ่ม วั่นกู่ และกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน
อุปสรรคทั้งหมดที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาจะต้องถูกขจัดออกไป รวมถึง หลินฟาน และพี่ชายคนโตของเขา เว่ย จี้เซิง ด้วยเช่นกัน!
หลังจากออกจากสํานักงานของ เว่ย เทียนเฉิง แล้ว เว่ย เจี้ยนเซิง ก็กลับไปที่สํานักงานของเขา และโทรออกไปหา หลี่ เจี้ยนสุ่ย ซีอีโอของ จินอวี้ กรุ๊ป ทันที
แต่เขากลับติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้..
เว่ย เจี้ยนเซิง ดูเวลา ณ จุดนี้ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน บริษัทด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์อย่าง จินอวี้ กรุ๊ป ใช้ระบบเวลาทำงาน 996 นั้นก็ดูเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
แต่นี่ ..หลี่ เจี้ยนสุ่ย กำลังทำอะไรอยู่?
หางโจว, จินอวี้ กรุ๊ป
หลี่ เจี้ยนสุ่ย ได้กําลังประชุมกับผู้ถือหุ้นอยู่..
หลี่ เจี้ยนสุ่ย ได้กล่าวว่า เขาต้องการขาย จินอวี้ กรุ๊ป ซึ่งนี่คือวิธีสุดท้ายในการจะกอบกู้ จินอวี้ กรุ๊ป เอาไว้ได้
ตอนนี้มีคำถามว่า จินอวี้ กรุ๊ป จะถูกขายไปให้กับใคร? และสิ่งที่ทําให้ผู้ถือหุ้นของ จินอวี้ กรุ๊ป ต้องประหลาดใจก็คือ บริษัท ของพวกเขาที่ใกล้จะล้มละลายถึงกลับทําให้กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่สองอันดับแรกในเจียงหนาน ให้ความสนใจไปในเวลาเดียวกัน..
รั่วฟาน แคปปิตอล ของ หลินฟาน คนที่ร่ำรวยที่สุดในหยุนเฉิง และวั่นกู่ กรุ๊ป ของ เว่ย เทียนเฉิง คนที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน ต้องการจะเข้าซื้อกิจการบริษัท ..ของพวกเขา!
สิ่งนี้ทําให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทตกอยู่ในข้อพิพาท
บางคนมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับ หลินฟาน และบางคนเห็นด้วยที่จะขายมันไปให้กับ เว่ย เทียนเฉิง
หลี่ เจี้ยนสุ่ย เป็นคนหลัง ทั้งเขายังได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะขายบริษัทนี้ไปให้กับ เว่ย เทียนเฉิง
“ทําไมเราถึงต้องขายบริษัทนี้ให้กับ คุณเว่ย? ผมมีเหตุผลที่ดี ท้ายที่สุดแล้ว เมืองหางโจวนี้เป็นใคร? และนั่นแน่นอนว่าต้องเป็นของ คุณเว่ย โดยธรรมชาติอยู่แล้ว! หลังจากขายให้กับ วั่นกู่ เราก็จะได้รับการสนับสนุนจาก วั่นกู่ ตึกที่อยู่ใกล้ริมน้ำ ย่อมได้เห็นแสงจันทร์ก่อน ที่นี่เราก็จะได้รับชีวิตใหม่อย่างแน่นอน!” หลี่ เจี้ยนสุ่ย กล่าว
“เหตุผลที่สองคือ พวกเราเป็นคนเมืองหางโจว ไม่ว่าจะเป็นจุดศูนย์ถ่วงของชีวิต หรือจุดศูนย์ถ่วงของอาชีพการงาน พวกเราที่อยู่ที่เมืองหางโจว ทำให้ใครขุ่นเคืองก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับตระกูลเว่ย ผมอยากขอถามทุกคนในที่นี่ว่า ..พวกคุณอยากให้ตัวเองมีปัญหากับ คุณเว่ย หรือไม่?”
“และแทบไม่ต้องพูดถึงเหตุผลในข้อที่สาม ทาง วั่นกู่ เสนอราคามาไม่ต่ำไปกว่า หยงจิ่ว ในเมื่อสองกลุ่มธุรกิจใหญ่ต้องการเข้าซื้อ แน่นอนว่าผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดจะได้รับมันไป และใครๆ ก็ต้องคิดถึงจำนวนเงินมากๆ เอาไว้ก่อน ..จริงไหม?”
หลี่ เจี้ยนสุ่ย รู้สึกว่าเหตุผลสามประการของเขาค่อนข้างเพียงพอแล้ว และทุกคนจะต้องยินยอมอย่างแน่นอนที่จะให้เขาขายบริษัทนี้ให้กับ วั่นกู่
“ประธานหลี่ คุณพูดมีเหตุผล แต่ผมก็ยังอยากพูดความคิดเห็นของตัวเองบ้าง!” ผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง กล่าวว่า : “จากความเข้าใจของผมเกี่ยวกับบริษัททั้งสองแห่งคือ หยงจิ่ว และวั่นกู่ ผมคิดว่า หยงจิ่ว มีอนาคตมากกว่า.. หยงจิ่ว เป็นบริษัทเทคโนโลยี ตรงกับลักษณะของบริษัทของเรา และหยงจิ่ว ในฐานะบริษัทใหม่ ความแข็งแกร่งของนวัตกรรมนั้นชัดเจนมากสําหรับทุกคน ผมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าหลังจากที่เราขายให้กับ หยงจิ่ว แล้ว เราจะมีอนาคตที่สดใส แต่ในทางตรงกันข้าม วั่นกู่ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มันยากสําหรับผมที่จะจินตนาการว่า วั่นกู่ จะนําอะไรมาให้กับเราได้ และผมได้ยินมาว่า รั่วฟาน แคปปิตอล ได้สนใจเราเป็นอันดับแรก”
หลี่ เจี้ยนสุ่ย ไม่เห็นด้วยทันที : “วั่นกู่ จะนําอะไรมาให้เราได้? ในเรื่องนี้ยังต้องให้ผมพูดอีกไหม? และนั่นแน่นอนว่ามันต้องเป็นเงิน! นี่ยังไม่พออีกเหรอ? คุณลองคิดดูสิ ยังไงเราก็คิดที่จะขายมันออกไปเหมือนกัน ทําไมไม่ขายใกล้ๆ ล่ะ ถ้า หยงจิ่ว กรุ๊ป จะสั่งให้เราย้ายบริษัทไปยังเมืองหยุนเฉิง คิดดูว่ามันจะยุ่งยากแค่ไหน? แล้วต่อไปเวลาจะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้น พวกคุณทุกคนเองก็คงต้องวิ่งไปยังเมืองหยุนเฉิง..”
ผู้ถือหุ้นคนเมื่อกี้นี้ พูดว่า : “ประธานหลี่ ผมหมายถึง อย่างอื่นล้วนไม่สําคัญ สิ่งสําคัญคือการพัฒนาในอนาคตของบริษัท…”
หลี่ เจี้ยนสุ่ย ได้พูดขึ้นขัดจังหวะเขา : “ไม่ต้องพูดให้มากแล้ว ช่างเรื่องการพัฒนาในอนาคต สถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทพวกคุณเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แล้วยังจะมาพูดถึงการพัฒนาอะไรอีก การขายบริษัทโดยเร็วที่สุดถึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง ผมขอแนะนําพวกคุณว่า หลังจากบริษัทขายออกไปให้กับ วั่นกู่ แล้ว ก็ถอนเงินออกไปโดยเร็วที่สุด อย่าได้คิดที่จะมาผูกคอตายกับเรื่องนี้ และการหลุดพ้นจากเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดนั้นมันถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง!”
เมื่อผู้ถือหุ้นคนนั้นได้ยินคำพูดเมื่อกี้ ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมา : “ประธานหลี่ คุณพูดแบบนี้ไม่ดูมากเกินไปหน่อยหรือไง? บริษัทนี้เป็นความตั้งใจตลอดชีวิตของ ประธานใหญ่หลี่ และมันก็ไม่ใช่เศษเหล็กที่สามารถขายออกไปได้ทันทีที่คุณบอกว่าจะขายมัน!”
หลี่ เจี้ยนสุ่ย ยิ้มเยาะ : “แล้วตอนนี้นี่มันไม่ใช่เศษเหล็กหรือยังไง? ถ้าพี่ชายของผมยังอยู่ เขาก็จะต้องเห็นด้วยกับวิธีการ และแนวทางของผม ดังคำที่ว่า เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ ก็ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด! ถ้าพวกคุณไม่มีอะไรแล้ว ก็เซ็นชื่อลงในเอกสารที่อยู่ต่อหน้าพวกคุณ เพื่อตกลงที่จะยอมขายบริษัทนี้ให้กับ วั่นกู่!”
ต่อหน้าผู้ถือหุ้นทุกคนมีเอกสารที่เหมือนกัน ซึ่ง หลี่ เจี้ยนสุ่ย ได้เตรียมเอาไว้นานแล้ว ครั้งนี้เขามุ่งมั่นที่จะขายบริษัทจริงๆ
“ถ้าพ่อของฉันยังอยู่ เขาจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของคุณอย่างแน่นอน!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่ง ..ดังขึ้น
ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ตกใจ เมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียง และกำลังคิดว่าตัวเองหูฝาดไป
เสียงนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว.. มันช่างรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก และนี่ไม่ใช่ว่าเป็นเสียงของ หลี่ จื่อเสีย หรอกเหรอ?
สีหน้าของ หลี่ เจี้ยนสุ่ย ได้เปลี่ยนไปแล้ว และเขาได้หันหลังกลับไปอย่างกะทันหัน
และก็ได้เห็น หลี่ จื่อเสีย เดินเข้ามาจากข้างนอก..
“จื่อเสีย!” หลี่ เจี้ยนสุ่ย ตกใจมาก ที่จู่ๆ หลี่ จื่อเสีย ก็กลับมา!