ตอนที่ 11 ทำซีพีอาร์
เสี่ยวเทียนบินมาข้างเย่อันผิง มองศพไหม้เกรียมบนพื้น จำได้ว่าเป็นกลิ่นของผู้บ่มเพาะมารที่โจมตีเฟิงหยูเตี๋ย
หลังจากนั้น มันก็มองเพ่ยเหลียนเสวี่ยที่กำลังทำสมาธิและอันผิงที่ยังเก็บข้าวของ
สองผู้บ่มเพาะน้อยในอาณาจักรหลอมลมปราณ…สู้กับผู้บ่มเพาะมารครึ่งก้าววิญญาณแรกก่อตั้ง
ทั้งสองไม่บาดเจ็บเลย ส่วนผู้บ่มเพาะเช่นนั้นกลับกลายเป็นกองถ่าน
นี่เป็นไปได้ไง?!หรือว่าผู้บ่มเพาะคนนั้นที่ร่ายคาถาจะไปแล้ว และสองคนนี้เผอิญผ่านมา?
เสี่ยวเทียนยอมเชื่อทางนี้กว่าเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เด็กสองคนจะฆ่าผู้บ่มเพาะมารของสำนักพิษมารได้ ไม่ต้องพูดถึงความต่างชั้น ความสามารถของทั้งสองยังด้อยกว่าเฟิงหยูเตี๋ยด้วยซ้ำ
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขามาจากสำนักชั้นสาม สำนักร้อยดอกบัว พวกเขาจะไปมีวิชาหรืออาวุธวิเศษที่ทรงพลังพอจะฆ่าผู้บ่มเพาะมารได้ไง?!
ไม่ หยุด!ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามเรื่องนี้ หยูเตี๋ยยังรอให้คนไปช่วยนาง!
โดยไม่คิด มันวิ่งไปหาเพ่ยเหลียนเสวี่ยและดึงผมนาง
“ยัยหนู!นี่ ยัยหนู!”
แต่เพ่ยเหลียนเสวี่ยที่ทำสมาธิแค่รู้สึกเหมือนมีลมอ่อนพัดหู นางจึงหันไปมองรอบๆ
ทั้งหมดที่นางรู้สึกคือลมที่พัดหน้า แต่มันก็ยังน่าขนลุก
“พี่ มันแปลกๆ”
เย่อันผิงมองเจ้าตัวน้อยที่ดึงผมน้องสาวเขาด้วยอารมณ์ต่างๆ
เจ้าตัวน้อยนี่ดูไม่ฉลาดเลยนะ?
“มีอะไรเหรอ?”เย่อันผิงตอบ ทำท่างง
“มีบางอย่างไม่ถูก ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”เพ่ยเหลียนเสวี่ยขมวดคิ้ว คว้ากระบี่อีกครั้ง “พี่ ผู้บ่มเพาะมารคนนั้นยังมีชีวิตอยู๋หรือเปล่า?”
“เขาตายแล้ว.”
“แต่ข้ายังรู้สึกเหมือน…มีอะไรข้างข้าเลย..”
เสี่ยวเทียนรีบพยักหน้าและตะโกน“ใช่ ข้าอยู่ข้างเจ้า!รีบรู้ตัวเร็ว!!พระเจ้า ได้โปรด ให้นางเห็นข้า แค่สักเดี๋ยวเดียวก็ยังดี!”
“ไม่ต้องห่วง”แม้เขาจะได้ยินเสียงร้องของเจ้าตัวน้อย สีหน้าของเย่อันผิงก็ยังไม่เปลี่ยน เขาเมินมัน“กลับเมืองกัน มันได้เวลากลับไปสำนักร้อยดอกบัวแล้ว พ่อของข้าน่าจะระเบิดแล้ว”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยรีบเก็บของ“ใช่ ท่านประมุขกับคนอื่นต้องกังวลมากแน่ เราจะต้องถูกลงโทษเมื่อเรากลับไป”
“ไม่ต้องห่วง”เย่อันผิงยักไหล่ นำป้ายหยกของอู่โหยวออกมา“เมื่อเจ้าแสดงป้ายของผู้บ่มเพาะมารให้เขา เขาจะไม่ลงโทษเจ้า แถมยังตบรางวัลให้ด้วยซ้ำไป”
“แต่ก่อนเราจะมา ข้าเพิ่งโดนแม่ของท่านต่อว่า”
“หะ?”
“ครั้งนี้แม่ของท่านจะต้องตีข้าแน่”
“แม่ของข้าโอ๋ข้ามาก ข้าจะเอาตัวบังเจ้าเอง กลับกันเถอะ”
“อืม”
เย่อันผิงพยักหน้า สะบัดไล่ และด้วยคาถาดิน ศพก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินไปทางเมือง
เพ่ยเหลียนเสวี่ยลังเล จากนั้นก็จับมือเขาโดยตรง
“เอ๊ะ?”
“คือ..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยก้มหัวอายๆ“ไปกันนะ?”
“อย่าไป!อย่าไป!”
พอเห็นนางแบบนี้ เย่อันผิงก็ยิ้ม“เจ้าเพิ่งบ่นอยู่เลยว่าข้าทำเหมือนเจ้าเป็นเด็ก แต่ตอนนี้เจ้ายังอยากจับมือพี่ใหญ่?”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยพองแก้ม“แค่จับมือข้าไปเถอะน่า”
“อย่าไปนะ!”เวลานี้ เสี่ยวเทียนดึงผมของเย่อันผิงสุดแรง
เย่อันผิงเมิน“ก็ได้ จับมือกัน ตอนเราเป็นเด็ก ข้าก็จับมือเจ้าไปลานฝึกแบบนี้ทุกวัน”
“อืม ฮี่ๆ..”
ทั้งสองเดินไปทีละก้าว ส่วนเสี่ยวเทียนก็ยังแหกปากตามหลังไม่หยุด พยายามให้ทั้งสองรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน
“ช่วยหยูเตี๋ยด้วย!ทำไม!ทำไมพวกเจ้าไม่เห็นข้า?!”
“ฮึก ทำไมการหาใครสักคนที่สามารถคุยกับข้าได้ถึงยากนัก..”
พอฟังเจ้าตัวน้อยร้องไห้ข้างหู เย่อันผิงก็หลับตา พ่นลมหายใจเบาๆและหยุด
“เอ๊ะ?”เพ่ยเหลียนเสวี่ยหันไปมองและถาม“มีอะไรเหรอ?”
“ก่อนหน้ามีมังกรทองปรากฏใช่ไหม?”
“ใช่ ทำไมเหรอ?’
‘ไปดูกัน เราอาจเจอโอกาสอะไรก็ได้”
“อืม”
พอได้ยินคำพูดของเย่อันผิง ตาที่บวมเป่งของเสี่ยวเทียนก็เป็นประกาย มันเงยหน้ามองเขา สายตาทั้งสองสบกัน
ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม มันรู้สึกว่าชายคนนี้มองมันหลายครั้ง มันคิดว่าบังเอิญ แต่ตอนนี้..
“เห้ เจ้า!เจ้าเห็นข้าใช่ไหม?!”
“..น้องพี่ กระบี่บินของเจ้าอยู่ไหน?”
“ข้าเหนื่อยแล้วพี่ พี่อุ้มข้าและบินได้ไหม”
“เห้ เจ้าหนู!เห็นข้าไหม?”
เย่อันผิงยังเมินและถอนหายใจ“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?ข้าต้องทำยังไงกับเจ้ากันเนี่ย”
“ข้าเหนื่อยแล้ว กอดข้านะ”
เย่อันผิงส่ายหัว จากนั้นก็โอบแขนรอบเอวของเพ่ยเหลียนเสวี่ย พานางขึ้นกระบี่บิน มุ่งหน้าไปทางป่าไผ่ที่เฟิงหยูเตี๋ยอยู่
เพราะมันไม่ไกลมาก กระบี่บินจึงลงพื้นแทบจะทันทีที่ขึ้นบิน แม้เย่อันผิงจะคิดไว้ว่าเฟิงหยูเตี๋ยต้องอยู่ในสภาพน่าสมเพชมาก แต่ตอนเห็นสถานการณ์นาง เขาก็ขมวดคิ้ว
ใบหน้านางไม่ต่างจากศพ เบ้าตาซูบ มีจุดดำบนผิว ปากกับหน้าอกมีเลือดแดงและดำ
เย่อันผิงรีบตรวจสอบนางด้วยจิตสัมผัสและเห็นว่าหัวใจนางหยุดเต้น
“อะไรกัน???”
เขารีบกระโดดออกกระบี่บิน วิ่งไปทางเฟิงหยูเตี๋ย คุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบชีพจรนางด้วยนิ้ว
การสรุปของจิตสัมผัสไม่ผิด แม้พลังปราณและวิญญาณนางจะยังอยู่ แต่หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว ซึ่งทำให้นางเหมือนศพ
อีกไม่กี่นาที วิญญาณนางคงสลาย เย่อันผิงกวาดมองรอบๆและขมวดคิ้วพอพบว่าไม่มีใครมาช่วยนาง
หรือว่าพล็อตจะเปลี่ยน?
มันเพราะพวกเขาฆ่าอู่โหยว?หรือการฝึกของเขาและเพ่ยหลียนเสวี่ยทำให้เกิด’ผลกระทบต่อเนื่อง’ที่เปลี่ยนพล็อตเรื่องที่เขารู้จักไป?
“นี่คือคนที่เราเจอในโรงเตี๊ยมนี่..”
“ใช่”เย่อันผิงพยักหน้า“เอายาที่ทำให้เลือดแข็งตัวมา”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยรีบหยิบเม็ดยาออกมา “พี่ นางกินไม่ได้หรอกนะ”
“ข้าจะเคี้ยวมันให้นาง และคายใส่ปากนาง จากนั้นก็จะทำซีพีอาร์”พอพูด เย่อันผิงก็นำยาเข้าปาก เคี้ยวมัน จากนั้นก็บีบปากของเฟิงหยูเตี๋ยและก้มหัวลง
พอเห็นการกระทำของเขา เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็สูดหายใจลึก ก้าวไปข้างหน้าและกระชากเขา
“พี่!!!”
“มีอะไร?”
“ข้า..ข้าจะทำเอง”
เย่อันผิงพยักหน้า หลบไปข้างๆก่อนเตือนนาง“เป่าปากสองที กด 30 ที เหมือนที่ข้าสอนเจ้า แต่อย่ากดด้วยแรงเดียวกับที่เจ้าเคยใช้ ตอนข้าสอนเจ้า เราใช้หมู ถ้าเจ้ากดแบบนั้น เจ้าจะหักกระดูกนาง เบามือด้วย”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยสูดหายใจลึก เคี้ยวเม็ดยาอีกเม็ด จากนั้นก็เปิดปากเฟิงหยูเตี๋ย
“ถุย—”
เย่อันผิง“?”