บทที่ 144: มีคนไม่มากนักที่เข้าใจวิถีแห่งกระบี่ น้องชาย มาเป็นสหายกันเถอะ!
บทที่ 144: มีคนไม่มากนักที่เข้าใจวิถีแห่งกระบี่ น้องชาย มาเป็นสหายกันเถอะ!
“ตาย พวกเขาตายหมดแล้ว!” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างเฉยเมย
“พวกเขาทั้งหมดตายได้เช่นไร?” เซียนกระบี่ถึงกับตกตะลึง
“ผู้ใดในโลกนี้จะหนีพ้นจากความตายได้? เราไม่ได้เป็นอมตะที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป! แม้ว่าพลังบ่มเพาะของเราจะไปถึงจุดสูงสุด แต่ในท้ายที่สุด เราก็จะกลายเป็นกองดินสีเหลือง นิทราไปบนสวรรค์และโลกา พักเคียงข้างดวงตะวันและจันทรา!” หลินเป่ยฟานได้แต่ถอนหายใจออกมา
"เจ้าพูดถูกต้อง!" เซียนกระบี่ยิ้มอย่างขมขื่น ตัวเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
“ทว่าผู้สืบทอดกระบี่บินปลิดวิญญาณยังมีชีวิตอยู่! บางทีท่านอาจมีโอกาสได้พบกับผู้ที่มีความสามารถน่าทึ่งคนนี้ในอนาคต!”
"จริงงั้นเหรอ?" เซียนกระบี่มีความสุขมาก
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องจริงสิ ข้าไม่มีเหตุผลที่จะหลอกลวงท่านเลย” หลินเป่ยฟานกล่าวออกไป
เขาได้แต่กลั้นหัวเราพภายในใจ เดี๋ยวรอข้าเปิดเผยตัวตนก่อนเถอะ
แล้วเจ้าจะรู้ว่าวิชาใครแข็งแกร่งกว่ากัน!
"ฮ่าฮ่า! นั่นยอดเยี่ยมยิ่งนัก!" เซียนกระบี่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
เขารินเหล้าให้หลินเป่ยฟานอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชาย เจ้าเข้าใจวิถีของกระบี่อย่างแท้จริง! กล่าวตามตรง ตลอดหลายปีที่ข้าเดินทางมาไกล นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับคนอย่างเจ้าที่เข้าใจวิถีของกระบี่ เจ้าคล้ายดั่งจิตวิญญาณที่เป็นสหายของข้า! มีกระบี่ใดอีกบ้างที่เจ้ารู้จัก? รีบบอกข้ามาเถิด ข้าอยากรู้นัก!”
ด้วยน้ำเสียงที่เฉียบแหลม หลินเป่ยฟานก็ตอบโต้ไปว่า “เราไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
“เหตุใดเราจะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน??” เซียนกระบี่อุทาน “เรานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน กินและร่ำสุราด้วยกัน นั่นไม่ได้ทำให้เราเป็นสหายกันเหรอ? แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็น เราก็จะเป็นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป! เจ้าเป็นสหายคนเดียวที่ข้ายอมรับ!”
ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความจริงจัง
หลินเป่ยฟานแย้งกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “ผู้ใดจะสนใจเป็นสหายกับท่านกัน?”
เซียนกระบี่ตกตะลึง อีกฝ่ายไม่ปลื้มงั้นเหรอ?
ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการได้รับการยอมรับและสร้างความสัมพันธ์กับเขา แต่เขาก็ไม่เคยยอมรับผู้ใด!
เหตุใดอุตส่าห์พบผู้ที่เหมาะแก่การเป็นสหาย แต่เขากลับปฏิเสธเช่นนี้กัน?
“น้องชาย จงอย่าปฏิเสธเด็ดขาดเช่นนี้สิ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?” เซียนกระบี่กล่าวด้วยความเย่อหยิ่ง
หลินเป่ยฟานหัวเราะเยาะ “ข้าจะสนใจอะไรเรื่องตัวตนของท่านกัน? กระทั่งเซียนดาบก็อยากเป็นสหายกับข้าอย่างใจจดใจจ่อ แต่ข้ายังไม่ตอบตกลงด้วย! ตัวตนของท่านจะน่าประทับใจกว่าของเขาอีกหรือ?”
“อืม…” เซียนกระบี่ถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธแม้แต่เซียนดาบ!
ตัวตนของเขานั้นเทียบเท่ากับเซียนดาบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะถูกปฏิเสธ!
ทว่าตัวเขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ!
มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย!
ยิ่งอีกฝ่ายปฏิเสธมากเท่าไร มันก็ยิ่งกระตุ้นความคิดที่ดื้อรั้นของเขามากขึ้นเท่านั้น!
เขารู้สึกรำคาญและละอายใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดว่า “ข้าไม่สนใจ! ข้าแค่อยากเป็นสหายเจ้า เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับวิถีแห่งกระบี่! ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ข้าก็ตัดสินใจแล้ว!”
หลินเป่ยฟานตัวสั่นด้วยความโกรธ “ท่านจะบังคับผู้อื่นเช่นนี้ได้ยังไง?”
เมื่อเห็นท่าทางที่โกรธเกรี้ยวของหลินเป่ยฟาน เซียนกระบี่ก็มีความสุขมากยิ่งขึ้น เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เฮ้! ถึงข้าจะกำลังบีบบังคับเจ้าอยู่ แล้วเจ้าจะทำสิ่งใดได้? ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็มาสู้กับข้าสิ! ฮ่าฮ่า!”
หลินเป่ยฟานยิ่งตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ “เจ้ามันสัตว์เดรัจฉานยิ่ง!”
“น้องชาย อย่าโกรธไปเลย! เจ้าจะรู้สึกผิดมากเมื่อรู้ตัวตนของข้า!” เซียนกระบี่กล่าวด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
“ตัวตนของท่านก็คือเซียนกระบี่โอวหยาง ปาเต๋าไม่ใช่หรือ? คิดจะเสแสร้งต่อหน้าข้าไปอีกนานเพียงใด?” หลินเป่ยฟานถามกลับไปอีกครั้ง
เซียนกระบี่ถึงกับตกตะลึง “เจ้ารู้ได้เช่นไร?”
“ไม่ใช่ว่ามันง่ายมากหรอกเหรอ? ท่านถามเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกระบี่ตั้งแต่ต้นจนจบ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของวิถีกระบี่! ทั้งท่านยังดูอ่อนเยาว์ แต่มีความแข็งแกร่งมหาศาล จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่มันผู้นั่น?” หลินเป่ยฟานได้แต่พ่นลมหายใจออกมา
“เซียนกระบี่โอวหยาง ปาเต๋า!”
"สวรรค์!!!"
ทั้งโม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยต่างประหลาดใจจนหน้าซีดเผือด
เซียนกระบี่ยกนิ้วโป้งขึ้นและยกย่อง “สมแล้วที่เจ้าเป็นสหายที่ไว้ใจได้ การวิเคราะห์ของเจ้าเฉียบขาด! เช่นนั้นมาเถอะมาคุยเรื่องกระบี่กันต่อเถิด! เป็นเรื่องยากที่จะพบกับคนที่เข้าใจวิถีกระบี่เป็นอย่างดี ข้าดีใจมากนัก! หากข้าไม่ได้สนทนากับเจ้าอีก ข้าคงรู้สึกเสียใจครั้งใหญ่!”
หลินเป่ยฟานโบกมือไปมาอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่อยากพูดอีกแล้ว ข้าเหนื่อย”
"ต่อก่อนสิ ยังไม่ถึงเย็นเสียหน่อย จะมีอะไรให้เหนื่อยอีก? เรายังมีเวลาอีกมาก เราค่อยๆ เจาะลึกลงไปในรายละเอียดเถิด!“เซียนกระบี่รินเหล้าให้หลินเป่ยฟานขณะนั่งตัวตรง ก่อนเขาจะพูดว่า”ข้าพร้อมรับฟังแล้ว!”
“ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร มันก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะไม่พูดอีกแล้ว!” หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาอีก
เซียนกระบี่ก็โต้กลับเช่นกัน “ถ้าเจ้าไม่พูด เจ้าก็ไปไหนไม่ได้!”
หลินเป่ยฟานตัวสั่นด้วยความโกรธ “ท่านคือเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านจะทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ได้ยังไง?”
“ตัวข้ามันไร้ยางอายเสียจริง แล้วมันยังไงกันเล่า?” เซียนกระบี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าเป็นสหายคนเดียวที่ข้ายอมรับ ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ และข้าก็ไม่สามารถบังคับเจ้าได้เช่นกัน แต่ข้าสามารถใช้วิธีการที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้ มาดูกันว่าระหว่างเจ้ากับข้า ผู้ใดจะยอมกันก่อน!”
หลินเป่ยฟานได้แต่อุทานออกมา “นั่นไม่ถือว่าเป็นการบังคับข้างั้นหรือ? ไร้ยางอาย!”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณที่เจ้าชมข้าแล้วกัน” เซียนกระบี่กล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า “เจ้าเป็นคนแรกเลยที่เรียกข้าอย่างไร้ยางอาย ผู้ที่เรียกข้าเช่นนัน้ทุกคนล้วนได้ไปเยือนยมโลกแล้ว! แต่คำสบประมาทของเจ้ากลับทำให้ข้ารู้สึกสบายใจและมีความสุขยิ่ง! สบประมาทอีกสองสามครั้งเถิด ข้าอยากได้ยิน!”
หลินเป่ยฟานพ่ายแพ้ต่อความไร้ยางอายของเซียนกระบี่ผู้ไม่สนใจศักดิ์ศรีเสียแล้ว!
เมื่อปรมาจารย์ผู้นี้ไร้ยางอาย ก็คงไม่มีทางเลยที่จะจัดการอีกฝ่ายลงได้!
เขาคิดอย่างขมขื่น รอจนกว่าวันที่ข้าจะไม่ต้องซ่อนความแข็งแกร่งอีกต่อไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าเอง!
ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจความหมายของ...
ความโหดร้าย!!!
และความหมายของ...
ความไร้ยางอายอันแท้จริง!!!
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยฟานจึงได้แต่อธิบายขอบเขตทางทฤษฎีของกระบี่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ขอบเขตกระบี่เหล็ก ขอบเขตกระบี่อ่อน ขอบเขตกระบี่หนัก ขอบเขตกระบี่ไม้ ไร้ขอบเขต...
เซียนกระบี่ฟังด้วยความประหลาดใจ เขาอุทานอย่างตื่นเต้น "สุดยอด! ขอบเขตของกระบี่ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ขอบเขตแต่ละแห่งมีรากฐานที่ดีและชัดเจน เป็นข้อมูลที่เบิกโลกแก่ข้ายิ่ง! ฮ่าฮ่า ช่างเบิกโลกให้ข้านัก!”
หลังจากพูดจบ เขาก็รินเหล้าและดื่มมันอย่างต่อเนื่อง
หลินเป่ยฟานรู้สึกไม่พอใจ จึงหยิบขวดเหล้าขึ้นมาดื่มทันทีและกลืนน้ำลายลงคอ แสดงให้เห็นเลยว่าเขาอารมณ์เสียเพียงใด
เขาไม่สนใจแล้วว่าเสื้อผ้าของเขาจะเปียกเลย เพราะเขาไม่สนใจอะไรอีกแล้วทั้งนั้น
โม่หรูซวงขมวดคิ้ว “ขอบเขตเช่นนี้ไฉนมันถึงฟังดูคุ้นเคยนัก? ข้ารู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง…นายท่าน นี่ไม่ใช่ขอบเขตแห่งวิถีดาบที่เราเคยฟังมาก่อนหรือ?”
หลินเป่ยฟานยังคงนิ่งสงบและตอบไปว่า “เป็นเช่นนั้น! เส้นทางที่ยิ่งใหญ่มีมากมาย แต่สุดท้ายล้วนมาบรรจบกัน! ไม่ว่าเจ้าจะศึกษาวิถีดาบหรือวิถีของกระบี่ ระยะเริ่มต้นอาจแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดพวกมันก็ไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน!”
ทันใดนั้นโม่หรูซวงก็ตระหนักได้ “สิ่งที่นายท่านพูดนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง!”
“ท่านเซียนกระบี่ แล้วยามนี้ท่านอยู่ในขอบเขตใดหรือ?” กัวเส้าส้วยจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
เซียนกระบี่ตอบอย่างสุภาพว่า “ข้าใกล้จะไปถึงขอบเขตกระบี่ไม้แล้ว ทว่าก็ยังไม่ใช่เสียทีเดียว”
“ส่วนผู้อาวุโสที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้ที่ใช้กระบี่ไม้ เขาคงน่าจะไปถึงขอบเขตกระบี่ไม้แล้ว! นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถใช้กระบี่ไม้เอาชนะกระบี่อสูรและเหนือกว่าตัวตนเดิมของเขาได้!”
“ส่วนผู้อาวุโสกระบี่ฟ้าคนนั้น เขาต้องไปถึงขอบเขตไร้กระบี่! ไม่มีกระบี่อยู่ในมือของเขา แต่จิตใจของเขาเต็มไปด้วยกระบี่ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถทิ้งทุกสิ่งนอกเหนือจากกระบี่ ไล่ตามความบริสุทธิ์อันสูงสุดในเส้นทางของกระบี่! เป็นจุดสูงสุดของวิถีแห่งกระบี่!”
“ส่วนผู้อาวุโสคนสุดท้าย กระบี่บินปลิดวิญญาณ…”
เซียนกระบี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “ข้าเชื่อว่าเขาน่าจะไปถึงขอบเขตในตำนาน ขอบเขตไร้ขอบเขต! เพราะเขาละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว กระทั่งการเพิกเฉยต่อกระบี่! มีเพียงความเชื่อในตัวของตนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ความเชื่อที่จะสามารถชนะทุกสิ่งใด! ด้วยความเชื่อนี้ เขาละทิ้งทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์ มุ่งมั่นเพื่อความเร็วสูงสุด ปลดปล่อยวิชาอันเลิศล้ำ!”
“การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่แค่กระบี่อีกต่อไป มันบ่งบอกถึงความเชื่อของเขา!”
เซียนกระบี่ถอนหายใจ “นี่เป็นการโจมตีที่ไร้เทียยมทานอย่างแท้จริง ข้าอยากเห็นมันด้วยตาของข้าเองจริงๆ!”
หลินเป่ยฟานพยักหน้า เขาเข้าใจดีว่ามีดบินปลิดวิญญาณของลี้คิมฮวงคือที่สุดแล้ว!
มันคือการโจมตีที่ควบแน่นแก่นแท้และจิตวิญญาณของร่างกายทั้งหมด!
มันเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความเชื่อแห่งชัยชนะและการละทิ้งทุกสิ่ง!
ด้วยการโจมตีครั้งนี้ ไม่เจ้าตายก็ข้าจะต้องพินาศ!
วิชานี้ไม่มีข้อจำกัด ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไร มีดบินนี้ก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่า!
ด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิดของหลินเป่ยฟาน หากเขาปลดปล่อยการโจมตีนี้ออกย่อมไม่มีสิ่งใดหยุดอยู่!
กระทั่งปรมาจารย์ก็สามารถถูกฆ่าตายได้ทันที!
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจัดอันดับวิชานี้ให้อยู่อันดับแรก!
ทันใดนั้น ก็เกิดความโกลาหลขึ้นข้างนอกพร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมาก
สีหน้าของเซียนกระบี่เปลี่ยนไป “เราอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ทางการคงพบตัวเราแล้ว! สหายหนุ่ม การสนทนาของเราในวันนี้ทำให้ข้าได้รับประโยชน์อย่างมาก! ไว้เรามาพบกันอีกครั้งในวันต่อไป ฮ่าฮ่า!”
ขณะที่เขาพูด ร่างกายของเขาก็หายไปจากจุดนั้น
เย็นวันนั้น ข่าวการมาถึงของเซียนกระบี่โอวหยาง ปาเต๋าในนครหลวงได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งนครอย่างรวดเร็ว
“เซียนกระบี่ก็มาที่เมืองหลวงเช่นกัน!”
“ปรมาจารย์ทั้งสองได้มารวมตัวกันในนครหลวงแล้ว การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาเสียที!”
“ข้ารอการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ไหวแล้ว!”
“ใครแข็งแกร่งกว่ากัน เซียนกระบี่หรือเซียนดาบ?”
…
ทั้งนครตกอยู่ในความโกลาหล!
ทว่าทางราชสำนักของจักรพรรดิกำลังตื่นตัว ทั้งนครอยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา!
ว่ากันว่าในการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่นี้ ราชสำนักได้ส่งกองทัพทหารและม้า 100,000 นายเข้ามาในเมือง
ในหมู่พวกเขา มียอดฝีมือทั่วไป 3,000 คน ยอดฝีมือกว่า 30 คนที่อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิด มีแม้กระทั่งระดับปรมาจารย์สองคน
แต่แม้จะมีกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้ ราชสำนักก็ยังรู้สึกประหม่าและกังวล
เพราะพลังนี้อาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับปรมาจารย์สองคน
มันอาจจะหยุดได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
หากทั้งสองมุ่งมั่นที่จะสร้างความโกลาหลและหลบหนี ก็คงไม่สามารถหยุดพวกเขาได้เลย
โดยเฉพาะสองคนนี้ คนหนึ่งคือเซียนดาบและอีกคนหนึ่งคือเซียนกระบี่ ทั้งคู่ต่างมีความสามารถในการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุด เป็นยอดฝีมือของแต่ละด้าน พวกเขาแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ทั่วไปถึงสามเท่า ทำให้ยากยิ่งกว่าที่จะหยุดพวกเขา
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยฟานเลย เขาเป็นเพียงขุนนางและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของโลกแห่งวรยุทธ์
ทว่าวันหนึ่ง ประตูเรือนของเขาก็ถูกเปิดออก
“ท่านกั๋ว หายากมากเลยนะที่จะได้พบท่าน อะไรนำท่านมาที่นี่งั้นเหรอ...?” หลินเป่ยฟานรู้สึกประหลาดใจยิ่ง
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือกั๋วเตาเซีย หัวหน้าสำนักพิทักษ์คุณธรรม ผู้จัดการเรื่องราวในโลกวรยุทธ์และเป็นขุนนางระดับสามของราชสำนัก
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงขุนนางระดับสาม แต่เขาก็มีความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์โดยกำเนิดระดับสี่ ทั้งยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่โดดเด่นยิ่ง
กระทั่งข้าราชการระดับสองของราชสำนักก็ต้องแสดงความเคารพและพูดกับเขาว่า “ท่านกั๋ว”
แต่ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยฟานจึงประหลาดใจมาก
เพราะเส้นทางของพวกเขาแตกต่างกัน คนหนึ่งมุ่งเน้นอักษรในหนังสือ ในขณะที่อีกคนหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ คนหนึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แล้วเขาจะมาหาทำไม?
“ท่านหลิน ข้าช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ในเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมาหาท่านเพื่อขอความช่วยเหลือ!” กั๋ว หัวหน้าสำนักพิทักษ์ธรรมกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
หลินเป่ยฟานประหลาดใจมากยิ่งขึ้น “ท่านกั๋ว มีอะไรที่ท่านรับมือไม่ได้ด้วยหรือ? ท่านมีสายสัมพันธ์ทั้งในราชสำนักและโลกแห่งวรยุทธ์ ใครจะไม่ให้หน้าท่านกัน? ถ้าท่านแก้ปัญหาไม่ได้ ตัวข้าจะทำสิ่งใดได้?”
“ท่านเท่านั้นที่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้! ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครอีกแล้ว!” กั๋วยืนกราน
“ท่านกั๋ว เช่นนั้นได้โปรดเข้ามานั่งก่อน มาดื่มชาและพูดคุยกันเถิด!” หลินเป่ยฟานก้าวออกไปพร้อมกับเชิญอีกฝ่ายเข้ามาข้างใน
“ขอบคุณท่านหลิน!” กั๋ว ผู้เป็นหัวหน้าสำนักพิทักษ์ธรรมกล่าวขอบคุณหลินเป่ยฟานด้วยการจี๋ไป้ (กำปั้นประกบแบมือ)