บทที่ 270 การประเมินของตระกูลไป๋ (ฟรี)
บทที่ 270 การประเมินของตระกูลไป๋
สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงมีผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงระยะปลายจำนวนมากจึงมีหน้าที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ในเวลาเดียวกัน
มิฉะนั้น เมื่อสัตว์อสูรสามารถเข้ามายึดครองเมืองนี้ได้
เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกมันจะค้นพบการมีอยู่ของเส้นชีพจรวิญญาณระดับ 4 ขั้นสูงที่นี่
ในเวลานั้นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่สูญเสียเมืองนี้ไป ราชาปีศาจจำนวนมากจะต้องก่อคลื่นของสัตว์อสูรที่ใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน
มีอีกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้สัตว์อสูรเข้ายึดครองเมืองนี้ได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด นั่นคือด้วยเส้นชีพจรวิญญาณระดับ 4 ขั้นสูงนี้
ความแข็งแกร่งโดยรวมของสัตว์อสูรจะเพิ่มขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอน สิ่งนี้จะเป็นภัยคุกคามต่อโลกแห่งการฝึกฝนของอาณาจักรเหลียงอย่างมากมายแน่ๆ
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว เจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ ก็มีคำถามอื่นในใจ
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญมาก เหตุใดผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคำของทั้งสองนิกายจึงไม่มาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อปกป้องมัน
ราวกับว่าเธอได้คาดเดาคำถามนี้แล้ว ฮวาเหมิงหยูกล่าวต่อว่า
“เหตุผลหลักที่เราถูกขอให้มาปกป้องสถานที่แห่งนี้และไม่ใช้ผู้อาวุโสระดับแก่นทองคำก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการแจ้งเตือนสัตว์อสูรให้รู้หรือระแคะระคายอะไร
มันจะไม่ดูน่าสงสัยเกินไปที่จะมอบหมายให้ผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงสองสามคนคอยปกป้องเมืองต้นกำเนิดโบราณที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์
อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคำมาประจำการอยู่ที่นี่ มันจะกระตุ้นความสงสัยของราชาปีศาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
ข้าเชื่อว่าทุกคนเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดใช่ไหม”
"ใช่"
หลังจากได้ยินคำอธิบายของฮวาเหมิงหยู ทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจทันที
คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลอย่างมาก
การให้ผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงระยะปลายหกคน มาดูแลเมืองนี้ย่อมเป็นการเตรียมการที่ค่อนข้างปลอดภัยอย่างมาก
และด้วยวิธีการนี้ มันจะไม่ดึงดูดความสนใจจากราชาปีศาจมากเกินไป และจะได้ไม่ต้องกังวลใดๆ เกี่ยวกับการที่พลังที่ปกป้องเมืองนี้จะไม่เพียงพอ
“เอาล่ะ”
หลังจากนั้น ฮวาเหมิงหยูกล่าวว่า
“ข้าได้พูดทุกอย่างที่ต้องพูดไปแล้ว
ตอนนี้เพื่อให้แน่ใจว่าความลับของสถานที่นี้จะไม่รั่วไหล ข้าหวังว่าพวกท่านจะสาบานต่อวิถีเต๋าได้”
คำขอของฮวาเหมิงหยูอยู่ในความคาดหมายของทุกคน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ใหญ่มากจนไม่อนุญาตให้มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น
เจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้
ในไม่ช้า พวกเขาทุกคนก็สาบานต่อหน้าฮวาเหมิงหยูและลี่เฟย
หลังจากนั้นไม่นาน
เจียงเฉิงซวนกล่าวว่า “สหายเต๋าฮวา เราเพิ่งมาถึงที่นี่ไม่นานมานี้ เราไม่รู้มากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองต้นกำเนิดโบราณและพื้นที่โดยรอบ
เนื่องจากท่านอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ทำไมท่านไม่บอกเราโดยละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในและสถานการณ์ต่างๆรอบเมืองต้นกำเนิดโบราณแห่งนี้ล่ะ?”
ฮวาเหมิงหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า
“พูดตามตรง ก่อนที่พวกท่านจะมาถึง สัตว์อสูรได้โจมตีเมืองต้นกำเนิดโบราณไปแล้วครั้งหนึ่ง”
"อะไรนะ? พวกมันเคยโจมตีเมืองต้นกำเนิดโบราณมาแล้วครั้งหนึ่งงั้นเหรอ?”
ทุกคนตกใจอย่างมาก
ฮวาเหมิงหยูพยักหน้า
"ใช่แล้ว..
โชคดีที่การโจมตีนั้นเป็นเพียงการทดสอบความตื่นลึกของเมืองนี้เท่านั้น แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรจำนวนมาก แต่ไม่มีสัตว์อสูรที่อยู่เหนือระดับ 2 ปรากฏขึ้นเลย
และเมืองต้นกำเนิดโบราณก็ไม่ได้ถูกคุกคามอะไรเลย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงเฉิงซวนและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้ามันเป็นเพียงการโจมตีแบบสำรวจความแข็งแกร่ง มันก็ไม่นับว่ามีอะไรเลย
อย่างไรก็ตามหากเป็นการโจมตีเต็มกำลังของคลื่นสัตว์อสูร นั่นอาจเป็นปัญหาที่แท้จริง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพูดถึงตัวเลขมนุษย์ยังด้อยกว่าของพวกสัตว์อสูรมากมายนัก
ในเมืองต้นกำเนิดโบราณทั้งหมดนี้ พวกเขาสามารถรวบรวมคนได้มากที่สุดเพียงสองสามพันคนเท่านั้น
ในขณะที่พวกสัตว์อสูรสามารถรวบรวมสัตว์อสูรนับหมื่นตัวได้ตลอดเวลา
แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงระดับปราการม่วงระยะปลายแล้ว แต่การทำสงครามที่ยืดเยื้อกับสัตว์อสูรนับหมื่นตัว แม้แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกดดันอย่างมากเช่นกัน
ในเวลานั้น มันยากที่จะบอกว่ากองกำลังปกป้องเมืองจะยืนยัดอยู่ได้นานแค่ไหน
เมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติแล้ว ทั้งสองก็ไม่อยู่อีกต่อไปและพากันออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
ภายนอกนั้นเจียงเฉิงซวนและเฉินหรู่หยานถูกฮวาเหมิงหยูพาไปยังถ้ำของพวกเขาด้วยตัวเอง
ไป๋ซีซวนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะที่เธอมองดูเจียงเฉิงซวนและคนอื่นๆที่กำลังจากไป
เธอมองไปที่พี่ชายและบรรพบุรุษของเธอแล้วพูดว่า “ท่านปู่เจ็ดและพี่ใหญ่ ตระกูลเจียงเป็นเพียงตระกูลที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาใหม่ พวกเขามีสิทธิ์อะไรที่จะมีความเท่าเทียมกับตระกูลไป๋ของเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ซีซวน ไป๋หมิงซานและไป๋หยวนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะสบตากัน
จากนั้นไป๋หยวนเฉินก็พูดว่า “ซีซวน เจ้าคิดอย่างไรกับเจียงเฉิงซวน และเฉินหรู่หยาน?”
"พวกเขางั้นหรือ?"
ไป่ซีซวนจมอยู่ในความคิดอันลึกซึ้ง จากนั้นเธอก็พูดว่า
"พวกเขาควรจะเป็นผู้ฝึกตนระดับปราการม่วงระยะปลายที่เพิ่งทะลวงผ่านมาสู่ระยะปลายใช่ไหม?
ข้าไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากพวกเขามากนัก
ทำไม คู่บำเพ็ญเต๋าคู่นี้มีปัญหางั้นเหรอ?”
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะมองดูพี่ชายและท่าปู่ของเธออย่างจริงจัง
ไป๋หยวนเฉินส่ายหัวแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากพวกเขาเลย เพราะความแตกต่างระหว่างเจ้ากับพวกเขานั้นมากมายเกินไป
เช่นเดียวกับมดที่ไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามของเสือ”
“เอ่อ…”
ดวงตาของไป๋ซีซวนเบิกกว้าง
“เรื่องนี้เป็นไปได้ยังไง?”
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้"
ไป่หยวนเฉินกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ปู่ที่เจ็ดและข้าสัมผัสได้ชัดเจนมากเมื่อกี้นี้ เรารู้สึกถึงแรงกดดันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากเจียงเฉิงซวนและภรรยาของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น…”
ณ จุดนี้ไป๋หยวนเฉินอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนดำเนินการต่อ
“เฉินหรู่หยาน ภรรยาของเจียงเฉิงซวนอยู่ที่ระดับปราการม่วงขั้นที่เก้าเรียบร้อยแล้ว”
"อะไรนะ? ระดับปราการม่วงขั้นที่เก้างั้นหรือ?”
ใบหน้าของไป๋ซีซวนเต็มไปด้วยความตกใจทันที
ต้องรู้ว่าบรรพบุรุษของตระกูลไป๋ ไป๋หมิงซานซึ่งถูกเรียกว่าท่านปู่เจ็ดนั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปราการม่วงขั้นที่เก้าเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังอยู่ในระดับนี้เป็นเวลาร้อยปีแล้ว
แต่เฉินหรู่หยานยังเด็กมาก แต่เธอก็ยังอยู่ที่ระดับปราการม่วงขั้นที่เก้าแล้วงั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ไป๋ซีซวนดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่าง เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่พวกเขาทั้งสองอีกครั้งและพูดว่า
"พี่ใหญ่ ท่านปู่เจ็ด เนื่องจากเฉินหรู่หยานอยู่ที่ระดับปราการม่วงขั้นที่เก้าแล้ว สามีของเธอ เจียงเฉิงซวนจะเป็นได้ไหมว่าเขา…?"