ตอนที่ 7 กระป๋องอาหาร
เย่อันเผิงจำได้ว่าเฟิงหยูเตี๋ยคือตัวละครหลักของ’กระบี่สวรรค์แฟนตาซี’ตอนนางเดินมาคุยกับพวกเขา
จริงๆแล้ว เขาสังเกตเห็นนางตั้งแต่ก้าวแรกที่นางก้าวเข้าโรงเตี๊ยม มันยากจะไม่สังเกตเห็นผมสีเงินเช่นเดียวกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
แต่ เย่อันผิงยังมีคำถาม
ร่างสีทองน้อยๆที่ดูเหมือนกระป๋องอาหารซึ่งลอยข้างนางคืออะไร?ในเกม ไม่มีสิ่งเช่นนี้
และมันดูเหมือนว่าเพ่ยเหลียนเสวี่ยจะมองไม่เห็น ไม่งั้น นางคงเอ่ยปากถามเองไปแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีแค่เขาที่เห็น?
ขณะที่เย่อันผิงกินข้าว จิตใจก็พยายามนึกถึงอุปกรณ์ที่นางมีในเกม นางควรมีของชิ้นเดียวที่เรียกว่า’คัมภีร์เต๋าสวรรค์’
คัมภีร์เต๋าสวรรค์ไม่ได้มีรายละเอียดมากในเกม พล็อตบอกแค่ว่ามันอยู่ในการครอบครองของเฟิงหยูเตี๋ย และบันทึกเหตุการณ์ของภพสวรรค์โจวซิงเมื่อหมื่นปีก่อน เหมือนสารานุกรม
หรือว่ากระป๋องอาหารนี้จะคือคัมภีร์เต๋าสวรรค์?
แต่ทำไมเขาถึงเห็นมัน?
เพ่ยเหลียนเสวี่ยเห็นว่าเขาเอาแต่คีบข้าวเล่น นางจึงวางเนื้อลงจานเขา“พี่ กินเนื้อด้วยสิ เราต้องเก็บแรงไว้สู้นะ”
“อืม”เย่อันผิงได้สติและพยักหน้า
พอได้ยินคำพูดของเพ่ยเหลียนเสวี่ย เฟิงหยูเตี๋ยก็จำใจความได้และถาม“สหายเต๋า พวกเจ้าจะไปสู้เร็วๆนี้?สู้กับใคร?ให้ข้าช่วยไหม?”
ขณะพูด นางก็เหลือบมองเพ่ยเหลียนเสวี่ย ยิ่งนางมอง นางยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายสวย
เพ่ยเหลียนเสวี่ยเลิกคิ้ว“แม่นางเฟิง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกันไม่ใช่หรือ?”
“เราเป็นสหายเต๋าที่เดินบนวิถีเซียน เราควรช่วยเหลือกันไม่ใช่เหรอ?”เฟิงหยูเตี๋ยพองแก้มและยิ้มให้“และทันทีที่เราพบกัน ข้าก็รู้สึกเหมือนข้าเคยเจอเจ้ามาก่อน น้องสาว”
“หะ?เคยเจอกันมมาก่อน?ที่ไหน?”
เฟิงหยูเตี๋ยพูด“อืม บางทีอาจเป็นในฝัน น้องสาวเพ่ยเคยฝันถึงคนเช่นข้าไหม?”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ“ข้าไม่คิดงั้น ผมสีเงินของพี่สาวเฟิงโดดเด่นมาก”
“ข้าเกิดมาเป็นแบบนี้”เฟิงหยูเตี๋ยยิ้ม จับผมหางม้าตัวเองไปให้เพ่ยเหลียนเสวี่ย“อยากจับดูไหม?”
เวลานี้ เย่อันผิงวางตะเกียบเสียงดัง แทนที่จะมองเฟิงหยูเตี๋ย เขาถามเพ่ยเหลียนเสวี่ยโดยตรง“น้องพี่ เจ้ากินอิ่มหรือยัง?”
“อา..’เพ่ยเหลียนเสวี่ยรีบยัดเนื้อหมูเข้าปากหลายชิ้นและพยักหน้า”อืม!”
“งั้นก็ไปกัน”
“อืม!”
เย่อันผิงเช็ดปาก นำเหรียญเงินออกมาจากแขนเสื้อ และหลังวางบนโต๊ะ เขาก็ก้มหัวให้เฟิงหยูเตี๋ยและออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมเพ่ยเหลี่ยนเสวี่ย
หลังออก เขาก็มองเพ่ยเหลียนเสวี่ยทีม่เดินตามหลังเขา และถอนหายใจ ดูจากท่าทีของเพ่ยเหลียนเสวี่ย นางคงไม่รู้ว่าเฟิงหยูเตี๋ยกำลังจีบนาง
เรื่องราวรักแสนโหดร้ายของเฟิงหยูเตี๋ยมากเกินไปจริงๆ ‘ฝันถึงข้าเนี่ยนะ…”
เขาได้ยินมันมานับไม่ถ้วนตอนเล่นเกม
แต่ การถูกเฟิงหยูเตี๋ยชมพิสูจน์ให้เห็นว่าน้องสาวเขาสวยจริงๆ เย่อันผิงเลยอดมองหน้าเพ่ยเหลียนเสวี่ยใหม่ไม่ได้
บางทีคงเพราะเขาโตมากับนาง แม้เขาจะคิดว่านางสวยจริง แต่ก็ไม่ใช่ความงามแบบที่ทำให้เขาใจสั่น
“พี่ มีอะไรเหรอ?จ้องข้าทำไม?”
“ไม่มีอะไร”เย่อันผิงส่ายหัวและเปลี่ยนเรื่อง“เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าต้องทำอะไรต่อ?ทวนสิ”
“อืม เราจะซ่อนตัวในป่า และตอนผู้บ่มเพาะมารมา ท่านจะดึงความสนใจเขาและข้าจะฉวยโอกาสลอบโจมตี”
“แล้ว”
“ท่านจะใช้กับดักขังข้าไว้กับเขา ก่อนจะใช้อาวุธวิเศษ เขาจะปล่อยหนอนพิษ ข้าจะแกล้งทำเป็นโดนและพอเขาเข้าใกล้ ข้าจะแทงเขา!”
เย่อันผิงพยักหน้า“เกือบหมด”
“เกือบ?”
“อืม”เย่อันผิงขมวดคิ้ว“เจ้าลืมแล้วเหรอ?”
“โอ้!”เพ่ยเหลียนเสวี่ยจำได้“ข้ารู้ ฟันต่อ!!!ข้าจะต้องฟันไม่หยุดจนกว่าเขาจะขาดเป็นชิ้นๆ!”
“ใช่ อย่าลืม ชายคนนั้นแกร่ง ไม่ใชแค่ตัดเป็นชิ้นๆ แต่ยังต้องจุดไฟเผาด้วย อย่าตระหนี่กับยันต์ไฟ ขว้างยันต์ไฟห้าสิบใบที่ข้าให้ใส่เขาให้หมด”
“อืม!ไม่มีปัญหา!’
เย่อันผิงพยักหน้า พานางไปป่าด้านหลังเมือง
สถานการณ์ปัจจุบันเป็นตามคาด ปัญหาเดียวคือกระป๋องอาหารนสีทองที่ลอยตามเฟิงหยูเตี๋ย แต่วินาทีนี้ มันไม่ดูเหมือนจะส่งผลต่อแผนเขา ถ้าการดำรงอยู่ของร่างทองนั้นสามารถช่วยเฟิงหยูเตี๋ยฆ่าอู่โหยวได้โดยตรง มันจะช่วยเขาได้มาก
…
เฟิงหยูเตี๋ยแปลกใจที่เห็นเพ่ยเหลียนเสวี่ยตามเย่อันผิงโดยไม่เหลียวหลัง นางเพิ่งเริ่มจีบ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงหนีไปแล้ว?
“อา หยาบคายจังเลย”
“หยาบคายอะไร เจ้ามันหน้าด้านเอง?!”เสี่ยวเทียนตบหัวนาง“ข้าใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยเห็นเด็กสาวแบบเจ้าเลย!เจ้าไม่อายบ้างหรือไง?”
“…’
“ทุกครั้งที่เจ้าเจอเด็กสาวที่สวยหน่อย เจ้าจะไปจีบทันที..”เสี่ยวเทียนกลอกตา”ถ้าเจ้าเป็นผู้ชาย ข้าจะไม่ว่าเลย!’
เฟิงหยูเตี๋ยยักไหล่ ไม่อยากพูดต่อ รอให้บริกรเอาไก่ย่างมาและเขมือบมันจนเหลือ แต่กระดูก
หลังมื้อเย็น นางอยากเดินเล่นเผื่อจะมีโอกาสเจอเพ่ยเหลียนเสวี่ยอีก แต่เสี่ยวเทียนดึงผมนางไม่หยุด เร่งให้นางหาที่ฝึกกระบี่
พอไม่มีทางเลือก นางเลยไปป่าไผ่นอกเมือง นำกระบี่ออกมาและฝึกตามคำสอนของเสี่ยวเทียน
ในป่าไผ่ มีเพียงเสียงกระบี่ฝันลม
หลังจากนั้น เฟิงหยูเตี๋ยก็ปักกระบี่กับพื้นและนั่งลงพิงต้นไผ่ มองเสี่ยวเทียน“เป็นไง?”
“อืม ไม่เลว”
“ไม่เลว แค่นั้น?”
“..”เสี่ยวเทียนมองนาง“สมกับเป็นเจ้า เจ้าฝึกฝน’วิชากระบี่เก้าสวรรค์’นี้มาไม่ถึงครึ่งปีและไปถึงระดับเก้าแล้ว”
“อืม”เฟิงหยูเตี่ยยิ้ม“ข้าคืออัจฉริยะไง”
เสี่ยวเทียนกอดอก”อย่าเพิ่งได้ใจ รากปราณกับความสามารถของเจ้าไร้เทียมทานก็จริง และจิตใจก็เฉียบแหลม แต่สุดท้าย เจ้าแค่หลอมลมปราณ เจ้าอาจสามารถจัดการกับผู้บ่มเพาะก่อตั้งรากฐานได้ แต่แล้วแก่นวิญญาณละ?’
“ข้าไม่ได้โง่”เฟิงหยูเตี๋ยยักไหล่“ข้าหนีเป็นนะ?แล้วผู้บ่มเพาะแก่นวิญญาณจะมาสู้กับข้าผู้บ่มเพาะหลอมลมปราณเพื่อ?”
“แล้วถ้าเจอกับผู้บ่มเพาะมารละ?”
“นี่คือภพลับของตระกูลเซียน จะไปมีผู้บ่มเพาะมารได้ไง?’
เปราะ
เสียงกิ่งไม้หักดังจากด้านหลัง
เฟิงหยูเตี๋ยตื่นตัว
“นั่นใคร?”
เสี่ยวเทียนไม่สังเกตอะไร แต่เพราะเสียงตะโกนของนาง เสี่ยวเทียนเลยหันไปมองตาม
“หยูเตี๋ย มีใครงั้นเหรอ?’
เฟิงหยูเตี๋ยหยุด รีบลุก ดึงกระบี่ที่ปักกับพื้นขึ้น
“สหายเต๋าตัวน้อย อย่าประม่า ข้าแค่เผอิญผ่านมาและได้ยินเสียงรำกระบี่ ข้าเลยอยากมาดูกันว่าเป็นใครที่ร่ายรำกระบี่ได้ดีขนาดนี้”
เสียงที่ดังแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง จากนั้นชายตาม่วงก็เดินออกมา
เฟิงหยูเตี๋ยจ้องชายตาม่วงอยู่สองลมหายใจและสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายที่เขาพยายามปกปิด จากนั้นนางก็เรียกเสี่ยวเทียนด้วยหางตา
เสี่ยวเทียนเข้าใจทันที มันบินไปถุงมิติที่เอวของชายคนนั้น และเอาหัวมุดไปดู
แต่พอเห็นของในถุงมิติ มันก็บินกลับมาอย่างตื่นตระหนก“หยูเตี๋ย หนี!นี่คือปรมาจารย์ของสำนักพิษมาร!!”
“ว่าไงนะ?สำนักพิษมาร?”เฟิงหยูเตี๋ยผงะ
ชายคนนั้นแปลกใจตอนได้ยินนางพูดคำว่าสำนักพิษมาร แต่จากนั้นก็หยุดปกปิดกลิ่นอาย พลังชั่วร้ายมหาศาลไหลทะลักจากตัวเขา ปกคลุมครึ่งป่าไผ่ในพริบตาเดียว
ใบไผ่สีเขียวพอสัมผัสกับไอชั่วร้าย พวกมันก็เน่า เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตกจากกิ่ง
“หืม?เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”