ตอนที่ 23 เรื่องเล่าอันแสนตื่นเต้น มาถึงอลาบัสต้า
หลังจากจบเหตุการณ์ที่เกาะดรัมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือมุ่งตรงไปยังอาณาจักรอลาบัสต้า ซึ่งจะได้พบกับพี่ชายของลูฟี่ เอสหมัดอัคคีผู้โด่งดัง โรบิน และเจ็ดเทพโจรสลัด คร็อกโคไดล์
พูดให้ถูกก็คือคร็อกโคไดล์เวอร์ชั่นโดนเนิร์ฟ เพราะเขาแพ้ให้กับลูฟี่ คนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮาคิคืออะไร
เพียงเพราะคร็อกโคไดล์เป็นเจ็ดเทพคนแรกที่เป็นคู่ต่อสู้ของกลุ่มหมวกฟางอย่างเป็นทางการ เลยต้องปรับให้อ่อนลงไม่งั้นตัวเอกสู้ไม่ได้
ในแง่ของการวางแผนกลยุทธ์ คร็อกโคไดล์ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆของโลกวันพีช
ในแง่ของความแข็งแกร่ง หลังสงครามมารีนฟอร์ด ไม่ได้เห็นฉากต่อสู้ของเขาเลย
ไป๋ซานยังคงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้พบกับโจรสลัดระดับตำนานคนนี้
แต่สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเล่าเรื่องให้ลูฟี่และพรรคพวกฟัง
นับตั้งแต่ที่ช็อปเปอร์พูดกับพวกลูฟี่ว่าไป๋ซานมีเรื่องเล่าน่าสนุกมากมาย ลูฟี่ยังคงตั้งตารอฟังเสมอ
ดังนั้นทันทีที่มาถึงเรือโกอิ้ง แมรี่ ลูฟี่ก็เร่งเร้าให้ไป๋ซานเล่าเรื่องให้เขาฟัง
การคิดว่าต้องล่องเรือบนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แบบไม่มีอะไรทำแล้ว ไป๋ซานก็เลยตัดสินใจเล่าเรื่องไซอิ๋วให้ฟัง
รายละเอียดบางอย่างที่เขาจำไม่ได้ เขาก็จะพูดมั่วๆทันที
“ในอีสต์บลูมีเกาะที่ชื่อว่า ง่าวล่ายก๊ก มีภูเขาชื่อฮวยก๊วยซัว...”
ตอนแรกมีเพียงลูฟี่และช็อปเปอร์เท่านั้นที่ฟัง แต่เมื่อถึงเวลากินข้าว ซันจิที่เห็นว่าลูฟี่ไม่ได้มาเรียกร้องหาอาหารเหมือนอย่างทุกที ก็เกิดสงสัย เลยเดินเข้ามาฟังด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน นามิและเจ้าหญิงวีวี่ก็ตระหนักว่าพ่อครัวไม่ได้เตรียมอาหารไว้อย่างทุกที จึงเข้าไปฟังด้วยเหมือนกัน
สุดท้ายเป็นโซโลเพิ่งกลับมาที่ห้องอาหารหลังจากออกกำลังกายเสร็จ เขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย
“หืม? วันนี้ไม่มีข้าวเที่ยงเหรอ หรือฉันมาช้าจนกินกันหมดแล้ว?”
ในที่สุดทุกคนก็มารวมตัวกันฟังนิทานที่ไป๋ซานเล่า
ลูฟี่ติดนิทานมากจนถึงขั้นเลื่อนการกินอาหารออกไปก่อน
เสน่ห์ของเรื่องราวไซอิ๋วปรากฏให้เห็นเด่นชัด
เรื่องราวส่วนใหญ่ในโลกวันพีชเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมบัติและการผจญภัย และล้วนเป็นเรื่องราวเรียบง่ายที่ไม่มีรายละเอียด
มีเรื่องราวแบบไซอิ๋วไม่มากนักในโลกนี้ ที่มีทั้งเรื่องราวการผจญภัย การต่อสู้ ความรัก ความเศร้ารวมกันแต่กลับลงตัว และให้มุมมองใหม่ๆที่มีต่อโลกได้อย่างดีเยี่ยม
“โอ้ ฉันอยากจะสำรวจโลกแบบนั้นจริงๆนะ ล้อมรอบไปด้วยป่าและต้นไม้ใหญ่ น่าทึ่งสุดๆ”
ลูฟี่พูดด้วยสีหน้าโหยหา
“มันเป็นแค่เรื่องเล่า วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นนะ เนื้อเรื่องต่อไป ‘ผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการ’ ที่จะเล่าพรุ่งนี้จะสนุกและน่าตื่นเต้นกว่านี้อีก”
นามิจินตนาการถึงสมบัติและคาถาวิเศษทุกประเภท
“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าจะเปลี่ยนหินให้เป็นทองได้ยังไง”
“ฉันสงสัยจริงๆว่าลิงที่เป็นอมตะรสชาติเป็นยังไง… ไม่สิ ฉันควรใช้มีดแบบไหนในการหั่นมัน…”
ในใจของซันจิตอนนี้ได้จินตนาการถึงการปรุงอาหารและรสชาติของมันแล้ว
“เฮ้ ถ้าการแปลงร่างเป็นมนุษย์คือเวทมนต์ของพวกนั้น พวกสัตว์ในโลกนั้นก็เป็นผู้ใช้พลังผลปีศาจเหมือนกันนะเซ่ะ”
ทันใดนั้นช็อปเปอร์ก็ตระหนักได้ว่าเขาอาจจะเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกับเขา
“ฮ่าฮ่า ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นแค่นิทานเรื่องเล่าน่ะ”
“พี่ไป๋ซาน นี่เป็นเรื่องที่คุณแต่งขึ้นหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ ผู้แต่งชื่ออู๋เฉิงเอิน เป็นนักเขียนที่มีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว”
“อะไรนะ ชื่อแปลกจัง ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเป็นนักเขียนจากทะเลอื่นหรือเปล่า?”
ไม่มีใครที่เกิดและเติบโตในทะเลอีสต์บลูเคยได้ยินเรื่องนี้ และช็อปเปอร์ที่เติบโตบนเกาะดรัมยิ่งแล้วใหญ่
“ใครจะรู้ล่ะ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ มากินข้าวกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาเล่าต่อพรุ่งนี้”
วันรุ่งขึ้น เดิมทีโซโลกำลังจะออกกำลังกาย แต่เขาได้ยินว่าไป๋ซานกำลังจะเล่าให้พวกเขาฟังเรื่อง ‘ผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการ’ เมื่อเขาได้ยินว่า ‘ผ่านผจญเภทภัยเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดประการและได้ตระหนักรู้จนบรรลุ’ เขาก็ตัดสินใจมาฟัง
แน่นอนว่าโซโลสนใจเพียงว่าซุนหงอคงจะเอาชนะพวกปีศาจได้ยังไง
ดูเหมือนว่าเขาจะถือว่าพวกปีศาจต่างๆ เป็นศัตรูในจินตนาการ และมักจะพึมพำกับตัวเองว่า "จะเป็นยังไงถ้าฉันต้องเจอกับศัตรูที่ไม่กลัวดาบฟัน..."
"ร่างกายที่แข็งแกร่งประดุจเหล็ก? ดูเหมือนว่าฉันจะต้องหาวิธีฝึกดาบของฉันให้มันฟันเหล็กได้"
ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไปตามกรรม
เพราะมีไป๋ซานเป็น "นักเล่าเรื่อง" อยู่ที่นี่ แม้แต่เจ้าหญิงวีวี่ที่กำลังกังวลเกี่ยวกับอาณาจักรตัวเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
แต่ถึงยังไงเรือก็ยังคงแล่นไปตามความเร็วเท่าเดิม
การฟังนิทานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแต่ละวันเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการรีบไปที่อลาบัสต้าและหยุดแผนการชั่วร้ายของคร็อกโคไดล์
แม้แต่ลูฟี่ก็เข้าใจว่าอะไรสำคัญที่สุดในตอนนี้
"เรื่องเล่าน่ะจะฟังตอนไหนก็ได้ แต่ฉันอยากจะฆ่าเจ้าคร็อกโคไดล์นั่นให้เร็วที่สุด!"
หลังจากล่องลอยอยู่บนทะเลเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงนาโนฮาราในอลาบัสต้า
มีความโกลาหลมากมายระหว่างทาง แต่ไป๋ซานก็เพิกเฉย
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายโครงเรื่องดั้งเดิม
แต่เขาจะดำเนินการเมื่อจำเป็น
หลังจากตามลูฟี่ไปเรื่อยๆ ในที่สุดไป๋ซานก็ได้พบกับเอส หมัดอัคคี!
ผู้ชายคนนี้กำลังกินข้าวอยู่ในร้านอาหารแล้วก็เผลอหลับไป
เขายังได้เจอกับสโมคเกอร์และทักทายกัน
"เฮ้ เฒ่าควัน ทำไมนายถึงมาที่นี่?"
"มาจับคนข้างๆแกที่มีค่าหัว30ล้านเบรีไง แล้วนี่แกเป็นทหารเรือจริงๆแน่นะ? "
"ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย ถ้านายจะจับเจ้านี่ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ? "
"จริงเหรอ? ไม่ใช่ว่านายควรเป็นคนจับเขาแค่แรกหรอ"
ในที่สุดก็เป็นตอนที่เอสกับสโมคเกอร์ต่อสู้กัน
เปลวไฟและควันที่ลุกไหม้ก่อให้เกิดพายุทอร์นาโด สูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็หยุดลง
"สู้ๆนะเฒ่าควัน! ฉันไปก่อนล่ะ!"
"มาช่วยฉันก่อนสิเจ้าบ้า! ฉันเอาชนะเจ้านี่ไม่ได้! นี่คือหัวหน้าหน่วยที่สองของกลุ่มโจรสลัดหนวดขาว! เป็นโจรสลัดที่มีค่าหัวนะ!" สโมกเกอร์ตะโกนใส่ไป๋ซาน
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลยอ่ะ! ลมมันแรงเกินฟังไม่ชัดเลย ฉันไปก่อนดีกว่า”
ไป๋ซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาจะไม่เข้าไปแทรกแทรง
ไป๋ชานชอบเอซมากทั้งในด้านอารมณ์และเหตุผล (เอ่อ…)
นอกเหนือจากการที่ชอบกินอาหารมากเกินไปแล้วเอสก็ไม่มีข้อเสียอื่นอีก การเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ไม่มีอะไรเสียหายเลย
หลังจากเห็นพลังของหมัดอัคคีแล้ว ในที่สุดกลุ่มหมวกฟางก็ออกมาจากที่นั่น
"ให้ฉันแนะนำหน่อยแล้วกัน นี่คือเอส เป็นพี่ชายของฉัน"
"นี่ไป๋ซาน เป็นทหารเรือ"
ลูฟี่ทำหน้าที่เป็นคนกลางและแนะนำทุกคน
เอสไม่แปลกใจนักเมื่อได้ยินว่าไป๋ซานเป็นสมาชิกกองทัพเรือ
“กองทัพเรือ? อยู่สาขาไหน?”
“ฉันยังไม่มีสาขาประจำการ ฉันพึ่งจบการประเมินจากสาขาใหญ่ ตอนนี้ฉันขาอาสามาแกรนด์ไลน์เพียงลำพังเพื่อหาประสบการณ์”
“ทำไมไม่ไปทะเลทั้ง4ล่ะ ที่นั่นมีสาขากองทัพเรือมากมาย พร้อมจะช่วยเหลือตลอดเวลา อยู่ในแกรนด์ไลน์ถ้าพวกโจรสลัดรู้ว่านายเป็นกองทัพเรือแถมมาแค่คนเดียวคงโดนหมายหัวแน่”
"ก็เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงมาอยู่ที่นี่ไง"
เอซที่ได้ยินแบบนั้นมองไป๋ชานแล้วหัวเราะออกมา "ฉันชอบคนแบบนายจริงๆ เป็นคนที่น่าสนใจมาก!"
"นายก็เหมือนกัน"
"ถ้าอย่างงั้นอยากลองประมือกันหน่อยไหม?"
"กำลังรออยู่เลย"