ตอนที่แล้ว1257 - วิญญาณเทพนอกอาณาเขต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป1259 - สามวันสุดท้าย

1258 - ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า 


1258 - ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”

เมื่อพลังแห่งพุทธะสีทองแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย เย่ฟ่านก็รู้สึกปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก ความกดดันที่เคยอยู่ในใจของเขาถูกชะล้างออกไปทั้งหมด

กระบวนการนี้ทำให้เย่ฟ่านมีความรู้สึกว่าตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

ขณะเดียวกันก็มีคลื่นซัดมาจากเรือโบราณในจักรวาลนอกอาณาเขต

“อมิตาภะเคยมาที่โลกใบนี้ด้วยหรือ เขายังอยู่ที่เขาพระสุเมรุหรือไม่?”

ที่ราบสูงอาอวี่ บนแท่นหินที่ชำรุดทรุดโทรม นักบวชเฒ่ากำลังจะกลับคืนสู่เต๋าร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาย่อยสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง

เย่ฟ่านโค้งคำนับอีกครั้งเขารู้สึกขอบคุณชายชราที่อยู่ตรงหน้าจากใจจริงและกล่าวว่า

“ผู้อาวุโสเห็นอะไรในอนาคต?”

การที่นักบวชเฒ่าคนนี้รอคอยเขามาเป็นเวลาหลายพันปีโดยไม่ยอมมรณภาพ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการบอกนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง

“ก่อนไฟแห่งชีวิตจะดับไป อาตมามองเห็นภาพภาพหนึ่ง คล้ายใบไม้เหลืองเหี่ยวเฉาที่ถูกสายลมพัดปลิวไปทั่วโลก สุดท้ายใบไม้ใบนั้นกลับกลายเป็นคนผู้หนึ่ง”

เย่ฟ่านเกิดความสับสนเป็นอย่างมาก “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของผู้อาวุโส”

“สำหรับประสก ผลอยู่ตอนนี้และสาเหตุอยู่ในอนาคต มันยังไม่ใช่เวลาที่ประสกจะทำความเข้าใจได้”

ร่างของนักบวชเฒ่าถูกไฟไหม้เกือบหมด กระดูกเต๋ากลางหน้าผากของเขาแตกหักแม้กระทั่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเสื่อมสลายไปแล้ว

“ผู้อาวุโสโปรดชี้แจงด้วย”

“พุทธศาสนาจะต้องเจริญรุ่งเรืองสืบไป จากนี้ไปเมื่อประสกกลับไปอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวประสกจะได้รับความคุ้มครองจากพุทธะ ในขณะเดียวกันโปรดให้สัญญาว่าเมื่อประสกเติบโตขึ้นในอนาคต ประสกก็ต้องปกป้องพุทธศาสนาจากการล่มสลายเป็นการตอบแทน”

กระดูกของเขาแตกหักและดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด อย่างไรก็ตามมือข้างขวาของเขายังคงประสานเป็นรูปดอกบัวมีท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก

ต่อไป สิ่งที่นักบวชเฒ่ากล่าวกับเย่ฟ่านทำให้เขาแทบจะล้มลงกับพื้น เขาจะต้องเป็นผู้พิทักษ์นิกายพุทธในอนาคตอย่างนั้นหรือ

“เดี๋ยวก่อน ผู้อาวุโสกำลังพูดถึงอะไร ข้าจะได้รับอันตรายในระหว่างเดินทางกลับบ้านหรือ?” เย่ฟ่านกล่าวอย่างร้อนรน

นักบวชเฒ่ายิ้มและส่ายหน้า โดยบอกว่านี่เป็นโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ เย่ฟ่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก ทุกอย่างได้รับการลิขิตไว้แล้ว

เย่ฟ่านมีสีหน้าสงบนิ่งและสอบถามความเห็นของนักบวชเฒ่าเรื่องของการกลับชาติมาเกิดในศาสนาพุทธ

นักบวชเฒ่าบอกว่าถ้าเชื่อว่ามีมันก็มีถ้าไม่เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้ ในโลกยุคปัจจุบันยากที่จะมีดอกไม้ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการถึงสองดอก

แต่ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนมันก็ยากจะบอกได้ว่ามีดอกไม้ที่มีลักษณะเหมือนกันกับในยุคปัจจุบันสักดอกหรือไม่ หากเขาเชื่อว่าดอกไม้ในปัจจุบันเป็นดอกไม้ในอดีตกลับชาติมาเกิดก็ไม่เห็นจะไม่ได้?

“ผู้อาวุโส ท่านเคยเห็นศากยมุนีบ้างไหม?”

“เมื่อสองพันปีที่แล้วอาตมาได้เดินทางไปเขาพระสุเมรุและเห็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เสด็จลงมาจากยอดเขา นี่คือพระพุทธเจ้าอีกคนหนึ่งอย่างแน่นอน”

“ผู้อาวุโสมีความศรัทธาต่อศากยมุนี ท่านไม่กลัวว่ามันเป็นการฝ่าฝืนกฎของนิกายพุทธในทะเลทรายตะวันตกหรือ?” เย่ฟ่านเกิดความสงสัยในใจ

“อาตมานับถือพระอมิตาภะพุทธเจ้า และอาตมาก็ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายด้วย อาตมาไม่รู้ว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นร่างอวตารของมารหรือไม่ แต่ความรู้แจ้งในชีวิตและความตายของพระองค์ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้แน่นอน”

“ข้าขอถามอีกอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าในปัจจุบันนี้ยังมีพระพุทธเจ้าคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่?” เย่ฟ่านมีความสงสัยเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

“นามคือความว่างเปล่า สุดท้ายทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่า พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน...” นักบวชเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่ร่างกายของเขาจะแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงทันที

เย่ฟ่านยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิมด้วยความงุนงง เขาไม่สามารถทำความเข้าใจต่อคำพูดของนักบวชเฒ่าได้

ภายในกองเถ้ากระดูกของนักบวชเฒ่ามีวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับลูกแก้วสีทองเปล่งประกายแวววาว เย่ฟ่านไม่รู้ว่าวัตถุสิ่งนี้คืออะไรแต่เขาก็ยังเก็บขึ้นมาด้วยความเคารพ

หลังจากคำนับต่อซากสังขารของนักบวชเฒ่าแล้วเขาก็เดินทางต่อไปบนที่ราบสูงอาอวี่ แน่นอนว่าในทะเลทรายตะวันตกมีผู้คนจำนวนมาก แม้กระทั่งบนที่ราบแห่งนี้เขาก็ยังพบผู้ที่มาแสวงบุญอยู่ตลอดเวลา

ฉากนี้ทำให้เย่ฟ่านตกใจอย่างมากเขาตระหนักได้ทันทีว่าโลกแห่งความศรัทธานั้นมีความยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จบ ผู้คนที่เดินทางมาแสวงบุญในที่ราบแห่งนี้ล้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง ต่อให้เดินอยู่บนดินแดนทุรกันดารอันยิ่งใหญ่พวกเขาก็ไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

แม้ว่าเย่ฟ่านจะไม่ต้องการเข้าร่วมกับนิกายพุทธของทะเลทรายตะวันตกแต่เขาก็ยังเกิดความเลื่อมใสต่อความศรัทธาของผู้คนที่อยู่โดยรอบ!

หลังจากเดินทางต่ออีกหลายวันในที่สุดเขาก็มาถึงทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีความงดงามอย่างมาก นี่คือทะเลสาบอาอวี่ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายพุทธเช่นกัน

มีวิหารอยู่ริมฝั่งทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์อาอวี่มากมายนับไม่ถ้วน เย่ฟ่านสอบถามผู้คนอยู่หลายวันจนกระทั่งเดินทางมาถึงวิหารขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่

หญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าวิหารอาคามะ ร่างกายของนางเปลี่ยนประกายด้วยแสงสีทองเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์น่าเลื่อมใส

นางเป็นเหมือนดอกบัวโดดเดี่ยวกลางแม่น้ำที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าหญิงสาวคนนี้คืออันเหมียวอี้

“อาจารย์ของข้ากลับคืนสู่เต๋าไปแล้ว และข้าสามารถมองเห็นอนาคตได้ชัดเจน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะเดินทางไกลจึงมาที่นี่เพื่อล่ำลาข้าเป็นครั้งสุดท้าย”

เสียงที่น่าดึงดูดและไพเราะดังขึ้น เหมียวอี้ยังคงเต็มไปด้วยความงามอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้

จากนั้นทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรสักคำ พวกเขาเดินอยู่เคียงข้างกันและท่องเที่ยวในรอบๆ ทะเลสาบอย่างสงบ

ทะเลสาบอาอวี่มีความโปร่งใสบริสุทธิ์ราวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าเคยสรงน้ำและปลูกดอกบัวสีเขียวไว้ที่นี่ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงมาสักการะดอกบัวนั้นเสมอ!

เย่ฟ่านและอันเหมียวอี้เดินไปรอบๆ ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์และไม่มีใครกล่าวอะไร พวกเขาเพียงเฝ้ามองทัศนียภาพรวมทั้งผู้ที่เข้ามาแสวงบุญในทะเลสาบอย่างสงบสุขเท่านั้น

จนกระทั่งช่วงเย็นในที่สุดพวกเขาก็กลับไปที่วิหารโบราณ ช่วงเวลาที่แสงสีแดงฉานของดวงอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมามันทำให้สถานที่แห่งนี้มีความงามราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง

“เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่!” เย่ฟ่านมองนางอย่างว่างเปล่า เขากำลังจะจากไปแล้วไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งหรือไม่

“ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง เจ้ามีทางของเจ้า ข้าก็เช่นกัน” อันเหมียวอี้กล่าวอย่างสงบ

จากนั้นนางก็มองตาของเย่ฟ่าน รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ข้าคิดว่าข้าสามารถตัดเต๋าได้แล้ว”

อันเหมียวอี้ยืนอยู่ข้างทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์อาอวี่ ความงามของนางราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ที่เสด็จมาเยือนโลก สุดท้ายดวงตาของนางก็มีน้ำตาไหลซึมออกมาเล็กน้อย

เย่ฟ่านหยิบตะเกียงทองแดงที่ได้รับจากดาวอังคารออกมา มันเป็นวัตถุชิ้นเดียวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ อย่างไรก็ตามแสงที่เคยเปล่งประกายของมันหายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว

เขามอบตะเกียงทองแดงนี้ให้กับอันเหมียวอี้ จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็เดินไปรอบๆ ทะเลสาบอาอวี่เป็นครั้งสุดท้าย

ในเวลาต่อมาอันเหมียวอี้มีความลังเลเล็กน้อยก่อนจะกระซิบว่า “เส้นทางนี้เจ้าไม่อาจก้าวเข้ามาได้ แม้ว่าข้าจะตัดเต๋าของตัวเองไปแล้วแต่ข้าก็ลืมอดีตไปเช่นกัน”

น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่งดงามของอันเหมียวอี้ นางมีสีหน้างุนงงเป็นอย่างมาก ในขณะที่พึมพำกับตัวเองเบาๆ “ข้าเป็นใคร แล้วเจ้าคือใคร?”

“แคร้ง!”

ภายใต้เสียงระฆังยาวที่ดังมาจากวิหาร ร่างกายของอันเหมียวอี้ยิ่งเปล่งประกายด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของแสงพุทธะอย่างเข้มข้น เย่ฟ่านมองดูฉากนี้ด้วยความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด

“ข้าลืมว่าตัวเองเป็นใครไปแล้ว หลังจากที่ข้าทำการตัดเต๋าได้สำเร็จข้าก็นอนหลับไหลไปอย่างยาวนาน เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งข้าก็ลืมทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง”

จากนั้นอันเหมียวอี้ถอนสายตาออกจากใบหน้าของเย่ฟ่าน นางกลับคืนสู่ความสงบนิ่งและความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็หายสาบสูญไปเช่นกัน

“ส่วนข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า”

เย่ฟ่านเต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่นในใจ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอันเหมียวอี้ก็กลับไปที่วิหาร ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงสวดมนต์สรรเสริญพุทธะดังขึ้น

เย่ฟ่านยืนอย่างเงียบๆและมองดูทะเลสาบอาอวี่อย่างว่างเปล่า เขาหันหลังกลับและเดินออกจากที่ราบสูงอาอวี่โดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ไม่นานหลังจากนั้นดวงตาของเย่ฟ่านก็เปล่งประกายด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด

“ข้าจะกลายเป็นผู้อมตะที่แท้จริง ข้าจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างต่อให้เป็นจักรพรรดิโบราณหรือเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม เจ้าไม่มีวันหยุดความปรารถนาของข้าได้”

เย่ฟ่านกรีดร้องและวิ่งออกจากที่ราบสูงอาอวี่ เขาไม่ได้ใช้ทักษะลับหรือพลังศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่ความเร็วของเขาไม่มีทางที่ผู้คนธรรมดาจะมองเห็นได้

……..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด