บทที่ 158 วางยา
ฉินชิงมองหลานเย่ที่เอ่ยห้ามปรามขึ้น จึงมองพิจารณานางกำนัลคนนี้ด้วยความสนใจ ดูท่าแล้วคงมีตำแหน่งสูง น่าจะเป็นนางกำนัลชั้นสูงสุด แต่นางกำนัลข้างกายฮองเฮาที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดมาตลอดน่าจะเป็นหลานจือ คนผู้นี้เกรงว่าเป็นคนลำดับที่สองหรือลำดับที่สาม?
ฮองเฮาเห็นหลานเย่คุกเข่าลงจึงตอบกลับไปว่า
“จากที่ได้ฟังคำพูดของชูเจาอี้เมื่อครู่ นางดูเหมือนจะมั่นใจมาก ข้าจึงอยากจะลองดู”
หลานเย่ที่อยู่ด้านล่างกลับก้มศีรษะลงและโขกลงบนพื้น “เหนียงเหนียง ชูเจาอี้นางเป็นเพียงสนมในวังหลังเท่านั้น แม้ว่าจะมีวิชาแพทย์ แต่ไหนเลยจะเทียบเท่ากับหมอหลวงเพคะ?”
“ร่างกายข้าก็เป็นถึงขั้นนี้แล้ว จะทำอย่างไรได้? ในเมื่อมีความหวัง แม้จะริบหรี่แต่ก็ควรลองพยายามครั้งสุดท้าย”
ฉินชิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนี้ก็พูดขึ้นมาในใจ ‘ฮองเฮา ข้ายังอยู่นะเพคะ คำพูดเช่นนี้สมควรพูดหรือเพคะ?’ หลานเย่ยังคงโขกศีรษะกับพื้นพลางกล่าวว่า “เหนียงเหนียง บ่าวไม่สามารถทนดูท่านยอมแพ้เช่นนี้ได้เพคะ”
ฉินชิงมองหลานเย่ ในหัวนางเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ฮองเฮายอมแพ้อย่างไร? ฮองเฮายอมแพ้กับการรักษาเมื่อไรกัน เมื่อครู่ฮองเฮาก็รับปากตนว่าจะรับการรักษาแล้วไม่ใช่หรือ? ฮองเฮายอมแพ้อะไรกัน? หลานเย่กำลังหมายความอย่างไรกันแน่?
อย่างที่ฮองเฮาตรัส ฮองเฮากำลังพยายามครั้งสุดท้าย ฉินชิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่เคยแสดงทักษะด้านวิชาแพทย์จริงๆ จังๆ ฮองเฮาจะสงสัยในวิชาแพทย์ของนางนั้นย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้สำนักหมอหลวงก็หมดหนทางจะรักษาแล้ว การลองวิธีรักษาแบบใหม่กับรอความตายมาถึง ฮองเฮายังคงเลือกลองวิธีรักษาแบบใหม่อย่างชาญฉลาด
ฮองเฮามองหลานเย่ที่กำลังโขกศีรษะกับพื้น และให้นางกำนัลไปพยุงหลานเย่ขึ้นมา
“ข้ารับปากชูเจาอี้แล้ว จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา ข้าเชื่อว่าชูเจาอี้จะให้คำตอบที่ดีกับข้าได้ เจ้าออกไปเถอะ”
เมื่อฮองเฮาตรัสจบ หลานเย่เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกนางกำนัลน้อยดึงตัวออกไป
“หม่อมฉันขอบพระทัยฮองเฮาที่เชื่อในตัวของหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าควรจะรู้ไว้ ไม่ใช่ว่าข้าเชื่อใจเจ้า เพียงแต่ว่าไม่มีทางอื่นแล้วเท่านั้น”
“หม่อมฉันทราบเพคะ”
“เจ้าอยากจะพูดประโยคนี้เท่านั้นหรือ?”
“ในฐานะหมอก็ควรช่วยคน ต่อให้ฮองเฮาจะกินยาปลงพระชนม์ แต่หากหลังจากนั้นนึกเสียใจภายหลัง หม่อมฉันก็ต้องช่วย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ฮองเฮาก็ไม่อยากสวรรคตแล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อต้องการความช่วยเหลือ แน่นอนว่าต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่ให้โอกาสหม่อมฉันได้ช่วยเหลือท่าน กลับกันหากฮองเฮายอมแพ้ไม่รับการช่วยเหลือใดๆ เช่นนั้นหม่อมฉันเองก็จนปัญญาเพคะ”
หลังจากฮองเฮาได้ฟังสิ่งที่ฉินชิงกล่าวมาก็รู้สึกว่าฉินชิงเหมือนจะมองอะไรออก ใช่ ก่อนหน้านี้นางไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ตอนนี้นางกลับนึกเสียใจภายหลังและไม่อยากตายแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้ตามหมอหลวงมาดูอาการ กระทั่งส่งมอบอำนาจดูแลวังหลังออกไป ในที่สุดก็ได้วางภาระหน้าที่ของฮองเฮาลง และไม่อยากจะกดดันตัวเองอีก
แต่เมื่อฮองเฮารู้ว่าร่างกายของตนดื้อยา ไร้หนทางรักษาแล้ว ก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่ตนสมควรได้รับแล้ว
แต่เมื่อได้ยินฉินชิงพูดเช่นนั้นว่าในฐานะหมอก็ควรช่วยคน อยู่ๆ ฮองเฮาก็รู้สึกทันทีว่าฉินชิงมีจิตใจของความเป็นหมอจริงๆ
จริงๆ ตั้งแต่ฉินชิงมา ตนก็รู้แล้วว่านางไม่ต้องมาก็ได้ แต่นางก็ยังมาที่ตำหนักคุนหนิงในวันที่สองหลังจากกลับมาจากตำหนักรับรอง
ฮองเฮามองไปที่ฉินชิง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแม้ฉินชิงจะไม่สามารถทำให้ตนมีชีวิตอยู่นานขึ้น ตนก็จะให้อภัยนาง
“เช่นนั้นชูเจาอี้ก็เขียนใบเทียบยามาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นยาอะไรข้าก็ล้วนมีหมด ถึงข้าไม่มีก็สามารถส่งคนออกไปหาได้”
“ฮองเฮาโปรดรออีกสักหน่อย หม่อมฉันยังไม่สามารถเขียนใบเทียบยาให้ท่านได้ในตอนนี้เพคะ”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
“เพราะฮองเฮาถูกวางยาเพคะ”
“วางยา?” เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจมาก
"เพคะ"
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น? ข้าดูแลวังหลังมานานหลายปี หรือว่าจะมีช่องโหว่ในตำหนักของตัวเอง?”
“ทูลฮองเฮา หม่อมฉันรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้แปดส่วน ดังนั้นจึงอยากจะขอพระราชทานอนุญาตจากท่าน ให้หม่อมฉันได้ค้นดูในห้องบรรทมของท่าน ดูว่าจะสามารถหาสิ่งใดออกมาได้บ้างเพคะ”
“ในเมื่อเจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้มากปานนี้ก็ค้นดูตามสบายเถอะ จะค้นอะไรก็ได้ แต่ต้องหายาพิษนั่นออกมาให้ได้ ให้ข้าเรียกนางกำนัลมาช่วยเจ้าหาอีกแรงดีหรือไม่?”
“เหนียงเหนียง ไม่ต้องเพคะ เกรงว่าในตำหนักของท่านจะมีหนอนบ่อนไส้ หากทำอะไรกระโตกกระตากเกินไปจนพวกนั้นรู้เข้าคงไม่ดีแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ หาดูเถอะ หาให้ละเอียด”
ฉินชิงค้นดูในห้องบรรทมของฮองเฮาซ้ายทีขวาที แต่ที่น่าตะลึงก็คือนางไม่สามารถหาสิ่งใดเจอเลย
เครื่องประดับก็ไม่มี บนเตียงนอนก็ไม่มี เสื้อผ้าก็ดูเหมือนจะไม่มีเหมือนกัน ฉินชิงเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้ยากขึ้นมาบ้างแล้ว หากเป็นยาพิษที่จับต้องได้ อย่างไรก็ต้องหาเจอ หากหาไม่เจอเลยเช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว
เมื่อฮองเฮาเห็นฉินชิงหยุดลงก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หาเจอแล้วหรือ?”
“ทูลฮองเฮา ตอนนี้ยังหาไม่เจอเพคะ หม่อมฉันขอกลับไปคิดก่อน พรุ่งนี้จะกลับมาทูลเหนียงเหนียงเพคะ”
“แล้ววันนี้ล่ะ? ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกินยาก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่?”
“ตอนนี้ฮองเฮาอย่าเพิ่งเสวยยาที่หมอหลวงสั่ง หม่อมฉันจะให้ใบเทียบยาท่านไปเสวยก่อนเล็กน้อย เหนียงเหนียงให้คนที่ท่านเชื่อใจที่สุดไปเตรียมนะเพคะ”
“กินยาเท่านี้ก็ได้แล้วหรือ?” ฮองเฮารู้สึกประหลาดใจและรู้สึกดีใจในเวลาเดียวกัน
“เพคะ ยามนี้สิ่งที่ฮองเฮาจำเป็นต้องทำไม่ใช่แค่ดูอาการประชวรเท่านั้น แต่อันดับแรกท่านต้องบำรุงร่างกายให้ดีก่อน ร่างกายของท่านจะช่วยกำจัดโรคภัยได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการกินอาหารก็ยังสำคัญ”
“อือ หลานจือ เจ้าไปเตรียมยาตามในใบเทียบยานี้”
“เพคะเหนียงเหนียง”
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
เมื่อฉินชิงกลับมาถึงตำหนักจงชุ่ยก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ได้เวลากินอาหารเที่ยงพอดี แม้ว่าอาหารจะยังไม่เสร็จ แต่ฉินชิงก็คิดจะเตรียมกินข้าวก่อน หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปคิดเรื่องซับซ้อนเหล่านั้น
และในเวลานี้ เสี่ยวอันจื่อที่รับใช้ข้างกายฮ่องเต้ก็มารายงานว่าฮ่องเต้ต้องการมาเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักจงชุ่ย
ฉินชิงย่อมยินดีต้อนรับการมาของเหลียงอี้ แผนการบำรุงเหลียงอี้ให้อ้วนกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ดังนั้นฉินชิงจึงรีบเรียกหลิวหลีมา บอกนางว่าอาหารในวันนี้จัดส่วนของฮ่องเต้มาด้วย อีกอย่างต้องทำอาหารรสหวานมาเพิ่มอีกหน่อย ฉินชิงจำได้ว่าเหลียงอี้ชอบกินอาหารรสหวาน
ต้องการเลี้ยงให้อ้วนก็ต้องให้กินลูกอม เมื่อกินลูกอมมากๆ ร่างกายก็จะมีเนื้อมีหนังมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อฉินชิงและเหลียงอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ฉินชิงจึงเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารรสหวานเจ็ดส่วน และคิดว่าอาหารเที่ยงในวันนี้เหลียงอี้น่าจะกินได้ไม่น้อยแล้วกระมัง
เหลียงอี้ที่กำลังมองอาหารบนโต๊ะในเวลานี้กลับนึกสงสัยว่าฉินชิงชอบกินอาหารรสหวานตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่ไหนแต่ไรมานางชอบกินเค็มกินเผ็ดไม่ใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนรสชาติ?
แต่อาหารที่เต็มโต๊ะตรงหน้านี้ล้วนเป็นอาหารรสหวาน ฉินชิงเห็นเหลียงอี้เหมือนจะกินมากกว่าปกติ ดังนั้นนางจึงได้แต่ส่งเสียงดีใจอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันไปเยี่ยมฮองเฮามาเพคะ”
เมื่อเหลียงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไป แต่ก็ยังกินข้าวต่อเช่นเดิม
“ดูๆ แล้วนางก็สบายดี”
“หม่อมฉันตัดสินใจแล้วว่าจะรักษาฮองเฮาเพคะ”
“ก็ดี ชิงเอ๋อร์ยินดีก็ดีแล้ว”
“หม่อมฉันคิดว่ามีคนวางยาทำร้ายฮองเฮาเพคะ แต่ยังหายาพิษไม่เจอ จริงๆ หม่อมฉันก็พบมานานแล้วว่ากลิ่นกำยานในตำหนักของฮองเฮานั้นแรงมาก เหมือนต้องการจะปกปิดอะไรบางอย่าง ฝ่าบาทก็รู้ว่าหม่อมฉันรู้วิชาแพทย์ บางครั้งที่หม่อมฉันได้กลิ่นยา จากนั้นหม่อมฉันก็จะรู้ว่าฮองเฮาทรงมีพระอาการประชวร”
“หมอหลวงรักษาอาการป่วยของนางได้ไม่ดี”
“แต่หม่อมฉันอยากจะลองดูเพคะ” ฉินชิงมองเหลียงอี้
“เช่นนั้นก็ทำเถอะ เจิ้นสนับสนุนเจ้า” เหลียงอี้กล่าวกับฉินชิงด้วยรอยยิ้ม
และในเวลานี้ในหัวของฉินชิงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้แล้วว่าเป็นยาพิษชนิดใด”