ตอนที่แล้วบทที่ 139: สองปรมาจารย์หนุ่มได้พบกันในนครหลวง ตัดสินผู้ชนะ!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 141: ความรู้สึกของเซียนดาบ ตัวข้าไร้ค่าถึงเพียงนี้เลยหรือ?

บทที่ 140: ดาบอมตะ? จงดูเสีย ข้าจะหลอกลวงเจ้าไปสู่ความตาย!


บทที่ 140: ดาบอมตะ? จงดูเสีย ข้าจะหลอกลวงเจ้าไปสู่ความตาย!

หลินเป่ยฟานสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งดาบที่ซ่อนอยู่และไม่มีการปลดปล่อยจากอีกฝ่ายเลย!

เจตแห่งดาบนี้เป็นรุนแรงและคมชัดยิ่ง!

ทว่ามันก็ถูกยับยั้งลงไป เหมือนดาบที่ซ่อนอยู่ในคมฝัก ทำให้ยากที่ผู้อื่นจะรู้กันได้

มิฉะนั้นเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมา มันคงจะทำให้โลกสั่นสะเทือน มิมีผู้ใดหยุดยั้งมันได้!

เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้คงเป็นยอดดาบอมตะผู้มาจากราชวงศ์เซี่ย!

ในยามนี้ ผู้เป็นยอดาบอมตะที่อยู่ชั้นบนก็สังเกตเห็นหลินเป่ยฟานเช่นกัน

เพียงแวบเดียว เขาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง

เพราะนี่คือชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดที่เขาเคยเห็น ใบหน้าเหมือนดั่งหยก นัยน์ตาคล้ายดวงดารา ทั้งไม่ธรรมดาและโดนเด่นยิ่ง

แม้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราจากตระกูลขุนนาง แต่ก็ไม่มีความเย่อหยิ่งที่มักจะมาพร้อมกับบุคคลที่เกิดมามีเกียรติเฉกเช่นนี้ อีกทั้งยังนิ่งสงบและบริสุทธิ์เหมือนสายน้ำ

สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก เพราะเมื่อชายผู้นี้ได้เห็นเขา กลับไม่ได้มีความรู้สึกสุขใจ อิจฉาหรือกลัวเกงอะไรอยู่เลย

พวกเจ้าควรรู้กันก่อนว่า แม้จะยั้งยับความเฉียบแหลมของเจตแห่งจิตไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะสามารถเผชิญหน้าด้วยได้

คนธรรมดาเมื่อได้เห็นเขา ย่อมรู้สึกหวาดกลัวจนต้องก้มศีรษะให้

กระทั่งผู้ฝึกวรยุทธ์ยังมิกล้าที่จะมอง เพียงเห็นร่างกายของตัวเขาก็คงรู้สึกหนาวสั่นกันแล้ว

แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับนิ่งสงบตั้งแต่ต้นจนถึงยามนี้!

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มขุนนางผู้นี้จะมองเขาเหมือนคนแปลกหน้าที่เดินผ่านกันไปมา!

ช่างน่าสนใจอย่างแท้จริง!

เขารินเหล้าหนึ่งถ้วย ยกขึ้นจากระยะไกลเพื่อชักชวนหลินเป่ยฟานและยิ้มออกมา “พ่อหนุ่ม เจ้าสนใจที่จะดื่มกับข้าหรือไม่?”

เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่มันไปถึงหูของหลินเป่ยฟานอย่างชัดเจน

"ข้าไม่สนใจ!" หลินเป่ยฟานละสายตาออกไปและเดินต่อไปข้างหน้า

ดาบอมตะผู้นี้เป็นตัวตนที่คงสร้างเรื่องวุ่นวายแน่ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายหรอก!

เซียนดาบผู้ที่อยู่ชั้นบนถึงกับตกตะลึง

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นใครบางคนปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดและไม่ลังเล!

เป็นผลให้เขาอยากรู้เกี่ยวกับหลินเป่ยฟานมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้น เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าหลินเป่ยฟานพร้อมกับวางมือบนไหล่ของอีกฝ่ายและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอาจไม่ แต่ข้าต่างหากที่สนใจ! มานี่ มาดื่มกันหน่อยเถิด เจ้าจะไปโดยไม่ดื่มไม่ได้เด็ดขาด!”

ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวอยู่ชั้นบน

เซียนดาบนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขา ส่วนหลินเป่ยฟานก็ถูกกดให้นั่งอยู่ตรงข้าม

จากนั้นเขาก็รินเหล้าให้หลินเป่ยฟานด้วยตนเอง

“มาดื่มกับข้าเถิด!”

หลินเป่ยฟานสามารถบอกได้เลยว่าอุปนิสัยของเซียนดาบผู้นี้ค่อนข้างไร้กังวลและไม่ค่อยสนใจอะไรนัก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาพูดกันว่าเซียนทั้งหลายมักมีกิริยามารยาทผิดแปลกปถุชน

ในยามนั้นเอง โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยก็รีบวิ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยฟานพร้อมกับดาบในมือ

“เจ้าจงอย่าคิดริอาจล่วงเกินนายน้อยของเรา!”

พวกเขาทั้งสองรู้สึกกังวลอย่างมากจนเหงื่อได้หยดไหลออกมาก

พูดตามตรง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากรู้สึกกังวล!

หลินเป่ยฟานกลับถูกตัวตนยิ่งใหญ่เช่นนี้พาตัวไปอย่างง่ายดาย มันทำให้พวกเขาแทบไม่มีเวลาที่จะตอบสนองด้วยซ้ำ คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่น่าเกรงขาม อย่างน้อยก็มีระดับยอดฝีมือต้นกำเนิด

หลินเป่ยฟานโบกมือไปมา “ไม่จำเป็นต้องกังวลไป วางอาวุธลงเถิด! ถ้าเขาต้องการทำร้ายข้า พวกเจ้าคงจะไม่สามารถหยุดเขาได้!”

เซียนดาบระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "เจ้าพูดถูกต้อง! แม้ว่าราชันสวรรค์จะอยู่ที่นี่ ก็คงมิอาจต่อกรกับข้าได้หากข้าคิดจะทำร้ายนายน้อยของพวกเจ้า! เจ้ามีสายตาที่ดีเยี่ยม หนุ่มน้อย! ลิ้มรสเหล้าถ้วยนี้เถิด นี่เป็นถ้วยแรกที่ข้ารินให้ใครบางคนเชียวนะ รสชาติเป็นยังไงบ้างเล่า?”

โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยก้าวถอยหลังออกไปอย่างระมัดระวัง ทว่าพวกเขาก็ไม่ปล่อยดาบของพวกเขาลง ยังคงเฝ้าดูเซียนดาบผู้นี้ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาอย่างใกล้ชิด

เซียนดาบไม่คิดใส่ใจกับเหล่ามดไร้ค่าทั้งสองตนนี้เลย เขามองไปที่หลินเป่ยฟานพร้อมกับยกถ้วยขึ้นและดื่มจนหมดถ้วย จากนั้นจึงถามว่า “รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง?”

“มันก็ทั่วไป ยังคงห่างไกลจากเหล้าในเรือนข้า” หลินเป่ยฟานตอบอย่างใจเย็น

“นี่เป็นเหล้าที่ข้ารินเอง แต่เจ้าคิดว่ามันธรรมดางั้นเหรอ?” เซียนดาบถึงกับตกตะลึง

"แล้วยังไง?" หลินเป่ยฟานแค่นเสียงหัวเราะออกมา “ผู้ที่รินเหล้าให้ก็ยังคงเป็นมนุษย์ ท่านไม่ใช่มนุษย์เหรอ? ท่านจะทำให้ข้าลิ้มรสมันต่างออกไปได้เช่นไร?”

เซียนดาบถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง จากนั้นเขาตบต้นขาของตนและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "เจ้าพูดถูกต้อง! ถูกต้องเป็นที่สุด! เจ้าเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจมาก มามา…ให้ข้ารินเหล้าให้เจ้าอีกถ้วย!”

ดังนั้นแล้ว เขาจึงรินให้หลินเป่ยฟานไปอีกถ้วย

หลินเป่ยฟานดื่มมันทั้งหมดในคราเดียว

ในขณะนั้นสายตาของ เขาก็สังเกตเห็นดาบบนโต๊ะ

ดาบถูกซ่อนอยู่ภายในสะบัก ซึ่งดูเหมือนมันจะทำจากวัสดุที่ประณีตพอสมควร มันส่องประกายด้วยไข่มุกอันเปล่งปลั่ง เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา

ไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้ว่าดาบที่ซ่อนอยู่ภายในสะบักนี้จะต้องเป็นดาบที่ไม่ธรรมดา

เซียนดาบสังเกตเห็นสายตาของหลินเป่ยฟานจึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดยังไงกับดาบเล่มนี้ของข้า?”

“ดาบเล่มนี้ไม่เลวเลย” หลินเป่ยฟานแสดงความคิดเห็นของตน

ทว่าเซียนดาบค่อนข้างไม่พอใจและกล่าวว่า “ต้องไม่ใช่แค่ไม่เลวสิ! ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ดาบเล่มนี้ถูกตีจากเหล็กเย็นพันปี มันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ แสงดาบของมันดุร้ายยิ่ง เลือดจะไหลรินออกมาเมื่อใดก็ตามที่มันถูกปลดออก! มันอยู่เคียงข้างข้า เอาชนะเหล่าวีรบุรุษจากทั่วทุกมุมโลก นักรบผู้กล้าหาญจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพินาศไปแล้วด้วยคมโลหิตของมัน! เจ้าประเมินมันโดยบอกว่าไม่เลวเพียงเท่านี้หรือ?”

“ข้ารู้จักดาบเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าดาบชิงกัง” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างใจเย็น “มันเฉียบคมและทรงพลัง สามารถบดขยี้การป้องกันใดๆ ก็ได้ ทั้งยังสามารถต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วทั้งโลกได้!”

"ดาบเล่มนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายนัก! ผู้ที่ใช้มันอาจเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษยอดฝีมือวรยุทธ์หนุ่ม!“เซียนดาบพยักหน้าและยิ้ม”เมื่อเทียบกับดาบของข้าแล้ว มันสั้นมาก ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึง! ไม่คู่ควรแก่การกล่าวถึงเลย!”

“ข้ารู้จักดาบที่ถูกเรียกขานว่า ดาบอ่อนจือเวย” หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ “ตัวดาบของมันเบาและคล่องแคล่ว คล่องตัวกว่าดาบคมด้วยความเร็วที่ยิ่งยวด โจมตีก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะตอบสนอง!”

"ดาบนี้ถือว่าไม่เลว! ผู้ที่ใช้มันย่อมเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษยอดวรยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่และเป็นนักดาบที่มีทักษะ!“เซียนดาบพยักหน้าพลางประเมิน”แต่เมื่อเทียบกับดาบของข้าแล้ว มันยังแตกต่างกันยิ่ง!”

“ข้ายังรู้จักดาบเล่มหนึ่งที่มีนามว่า ดาบหนักเหล็กดำ” หลินเป่ยฟานกล่าวออกมา “ดาบนี้ถูกหลอมจากเหล็กดำ หนักกว่า 60 กิโลกรัมและไร้คม! แต่มันก็หนักเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องใช้ความชำนาญสูงในการใช้มัน! ไม่ว่าท่านจะมีกระบวนท่าอันแยบยลมากมาย ข้าก็สามารถทำลายพวกมันได้ด้วยความแข็งแกร่งของข้า!”

“ดาบหนักเหล็กดำช่างเป็นดาบที่ยอดเยี่ยมยิ่ง!”

“ช่างเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่นัก หนักและไร้คม จำต้องชำนาญเพื่อใช้มัน!”

“ช่างเป็นการพลังที่ยิ่งใหญ่อะไรเพียงนี้ ทำลายเล่ห์เหลี่ยมอันแยบยลนับไม่ถ้วนด้วยความแข็งแกร่งอันแท้จริง!”

เซียนดาบอุทานสามครั้ง “ผู้ที่ครอบครองดาบนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษยอดฝีมือวรยุทธ์ ปรมาจารย์แห่งดาบ! ถ้าข้ามีโอกาสได้พบเขา ข้าก็อยากเรียนรู้จากเขาจริงๆ! แต่ดาบของเขาเมื่อเทียบกับดาบของข้าแล้ว มันยังด้อยกว่า!”

“ข้ายังรู้จักดาบที่ถูกเรียกว่าดาบไม้” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างใจเย็น “ดาบนี้ทำจากไม้ธรรมดา ขาดความคมของดาบชิงกัง ความอ่อนเบาของจือเวย และความหนักของเหล็กดำ ทว่ามันช่วยให้ผู้ใช้ไม่ถูกจำกัดด้วยวัตถุทางกายภาพ เพราะทุกอย่างตั้งแต่หญ้า ต้นไม้ ไม้ไผ่ ไปจนถึงศิลาก็สามารถกวัดแกว่งเป็นดาบได้!”

สีหน้าของเซียนดาบเมื่อได้ฟังก็เปลี่ยนไปในทันที “เป็นดาบที่ดี! นี่เป็นดาบที่หายากและยอดเยี่ยมยิ่ง! ผลงานชิ้นเอกที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้! ดาบเล่มนี้คงสามารถต่อกรกับดาบของข้าได้! มาดูกันเถิด!”

ทันใดนั้นใบไม้หนึ่งใบก็ร่วงอยู่ในมือ เขาสะบัดเบาๆ ด้วยนิ้วของเขา

ถ้วยเหล้าบนโต๊ะแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างคมกริบจนทำให้เหล้าหกลงไป

ตลอดกระบวนการทั้งหมด เขาไม่ได้ใช้พลังภายในใดๆ และไม่ได้ใช้พลังงานดาบด้วยซ้ำ

เขาใช้เพียงเจตจำนงแห่งดาบ แต่เขาก็สามารถตัดถ้วยเหล้าได้

เซียนดาบถึงกับอุทานอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าเห็นไหม วิชาดาบของข้ามาถึงระดับนี้แล้ว”

หลินเป่ยฟานพยักหน้า “ช่างน่าประทับใจจริงๆ! ท่านมาถึงขอบเขตของดาบไม้แล้ว!”

"ฮ่าฮ่าฮ่า!" เซียนดาบหัวเราะอย่างมีชัย

ในขณะนี้เอง หลินเป่ยฟานก็เปลี่ยนหัวข้อคุย “ทว่าข้ายังรู้จักดาบซึ่งแข็งแกร่งกว่าดาบไม้!”

“มีดาบที่แข็งแกร่งกว่าดาบไม้ด้วยหรือ?” เซียนดาบประหลาดใจ เขาถามอย่างกระตือรือร้น “มันคือดาบอะไรกัน?”

หลินเป่ยฟานชี้ไปที่ถ้วยเหล้าที่ว่างเปล่าในตอนนี้

เซียนดาบรินเหล้าให้หลินเป่ยฟานทันทีและเร่งเสียง “บอกข้ามา!”

หลังจากดื่มเหล้าไปหนึ่งถ้วย หลินเป่ยฟานก็พูดอย่างเชื่องช้าว่า “ในความเป็นจริง ไร้ซึ่งดาบ หนึ่งคือดาบและหนึ่งคือตัวของมันเอง! คนและดาบสอดประสานกัน เป็นดาบไร้ดาบ เหนือกว่าดาบใดๆ มิอาจมีวิชาใดสามารถเอาชนะได้!”

“คนและดาบสอดประสาน! คนและดาบสอดประสานกัน เป็นดาบไร้ดาบ เหนือกว่าดาบใดๆ มิอาจมีวิชาใดสามารถเอาชนะได้...ช่างเป็นดาบที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้! ดาบแห่งสรวงสวรรค์! ผู้ที่ครอบครองดาบเล่มนี้จะต้องเป็นปรมาจารย์แห่งวิชาดาบเป็นแน่! ดาบนี้ ข้าด้อยกว่ามันยิ่ง!”

เซียนดาบบ่นพึมพำกับตนเอง เขาสัมผัสได้ถึงการตระหนักรู้ที่เลือนลางในใจของเขา

“มันเป็นดาบที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง! ถ้าข้ามีวิชาดาบเช่นนี้ ข้าคงไร้เทียมทานบนโลกนี้อย่างแน่นอน!” กัวเส้าส้วยฝันกลางวันไปแล้ว

“ข้าไม่ได้พยายามที่จะไปถึงขอบเขตของวิชาไร้ดาบ ถ้าข้าสามารถบรรลุขอบเขตของวิชาดาบอ่อนได้ ข้าก็พอใจแล้ว” โม่หรูซวงกล่าว

ในยามนี้เอง เซียนดาบก็เริ่มกังวลและอุทานว่า “ใครเป็นผู้ครอบครองวิชาดาบนี้กัน? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขาเลย? บอกมาว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน ข้าต้องคุยเรื่องดาบกับเขา!”

หลินเป่ยฟานยิ้มอย่างแผ่วเบา “ข้าบอกท่านไปแล้ว!”

… ……..

เซียนดาบถึงกับตกตะลึง “เจ้าบอกอะไร?”

“ข้าบอกท่านไปหลายครั้งแล้ว!” หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างบางเบา “เขาเป็นผู้ที่ใช้ดาบคมชิงกัง ดาบอ่อนจือเวย ดาบหนักเหล็กดำ ดาบไม้และไร้ดาบ! ดาบทั้งห้าเป็นของเขา!”

"ทั้งห้าดาบ...เป็นของเขา!?” เซียนดาบตกใจมาก

เซียนดาบหลับตาลงและนึกถึงทุกสิ่งที่หลินเป่ยฟานพูด

เขาตระหนักได้เลยว่าดาบทั้งห้านี้เป็นประสบการณ์และความเข้าใจที่สั่งสมมาของบุคคลผู้นั้น! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกมันทั้งหมดล้วนก่อตัวขึ้นกลายเป็นวิชาดาบอันสมบูรณ์แบบบ!

การรู้แจ้งครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มาก ชี้ให้เขาไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!

หลินเป่ยฟานกล่าวต่อ “คนผู้นี้เรียกตนเองว่าอสูรกระบี่ เขาเริ่มเรียนรู้ดาบตั้งแต่เยาว์วัย และเพราะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด เขาจึงแสวงหาความพ่ายแพ้ที่คู่ควรมาทั้งชีวิต นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเรียกตัวเองว่า…ต๊กโกวคิ้วป้าย!”

"อสูรดาบ ต๊กโกวคิ้วป้าย! ช่างเป็นอสูรดาบที่น่ากลัวเสียจริงๆ! ข้ารู้สึกเกรงขามมาก!” เซียนดาบชื่นชมเขาอย่างสุดใจ

ทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็ไม่ต่าง โม่หรูซวงรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง

สมญานามของ “อสูรดาบ” ได้เผยให้เห็นความบ้าคลั่งของการใช้ดาบของคนผู้นี้!

ส่วนนาม “ต๊กโกวคิ้วป้าย” ยิ่งเผยให้เห็นความไร้เทียมทานของเขา!

ตลอดประวัติศาสตร์ จะมีผู้ใดในหมู่นักดาบสามารถทัดเทียมกับเขาได้?

หลินเป่ยฟานหัวเราะในใจ พอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ขอหลอกเจ้าอีกหน่อยเถอะ!

แม้ว่าความแข็งแกร่งของอสูรดาบอาจไม่เทียบเท่าได้กับเจ้า แต่หลักการและเส้นทางของดาบนั้นเชื่อมโยงกัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขานั้นเป็นปรมาจารย์แห่งดาบที่มีเพียงครั้งหนึ่งในรอบพันปี ทว่ากลับถูกจำกัดโดยผืนโลก ถ้าเขามาถึงโลกนี้ได้ เขาคงจะแสดงความสามารถของเขาออกมาให้โลกประจักษ์ สร้างตำนานที่กล่าวขานไปทั่วอย่างไม่ต้องสงสัย!

"สหายหนุ่ม เจ้าสามารถพาข้าไปพบกับอสูรดาบได้หรือไม่? ในฐานะนักดาบ ถ้าข้าไม่สามารถแสดงความเคารพต่อปรมาจารย์ดาบที่น่าเคารพนับถือผู้นี้ได้ มันคงจะเป็นความเสียใจอย่างยิ่งในชีวิตของข้า! ได้โปรดเถอะ!" เซียนดาบทั้งตื่นเต้นและค่อนข้างกังวล

โม่หรูซวงและคนอื่นๆ ก็รอคอยคำกล่าวของหลินเป่ยฟานอย่างใจจดใจจ่อ

หลินเป่ยฟานจึงตอบอย่างใจเย็น “ไม่มีโอกาส เพราะเขาตายแล้ว!”

เซียนดาบถึงกับตกตะลึง “เขาตายแล้วหรือ? เขาตายได้เช่นไร? ทั้งที่เป็นผู้แข็งแกร่งเช่นนี้...”

“ผู้ใดในโลกนี้จะหนีพ้นจากความตาย? แม้ว่าจะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ครองพลังอำนาจสูงสุด ทว่าท้ายสุดก็กลายเป็นเพียงกองกระดูก! แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยม บ่มเพาะได้ขั้นสูง สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเพียงกองดินเหลืองก้อนหนึ่ง! มิมีผู้ใดสามารถต้านทานพลังแห่งสายธารเวลาได้!” หลินเป่ยฟานได้แต่ถอนหายใจออกมา

คราแรกเซียนดาบก็ตกตะลึง แต่แล้วเขาก็ยิ้มอออกมาอย่างขมขื่น “จริงแท้ สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นถูกต้อง ข้ามิอาจแย้งได้เลย”

เขาทำได้เพียงดื่มในความเงียบงัน ด้วยใจที่คุกรุ่นด้วยความโศกเศร้า

ในขณะนั้นเอง หลินเป่ยฟานก็พูดอีกครั้งอย่างใจเย็น “ที่จริงแล้ว ข้าก็รู้จักดาบเล่มอื่นด้วย…”

1."ต๊กโกวคิ้วป่าย" หรือเดียวดายแสวงหาความพ่ายแพ้ เป็นตัวละครในนวนิยายกำลังภายในของกิมย้ง มีสมญานามว่าอสูรกระบี่ แต่ในเรื่องเทียบจากจีนเหมือนคนแต่งใช้คำว่า 'อสูรดาบ' ก็เลยแทนทุกอย่างจากวิชากระบี่อ่อน กระบี่หนัก กระบี่ไม้ ไร้กระบี่ ด้วยวิชาดาบทั้งหมดแทน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด