9 พวกเจ้าห้ามช่วยมัน!
นอกจากไม่สามารถช่วยเจ้าหนูทาสได้แล้ว เขายังต้องแกล้งทำไปจนกว่างานจะเสร็จแค่คิดก็รู้สึกผิดแล้ว
“แล้วจะให้ข้าช่วยยกไปตรงไหนบ้างไรเดอร์”
ร่างเล็กถามถึงหน้าที่ที่เธอต้องทำ ชายหนุ่มถึงกับปวดหัวกุมขมับเลยทีเดียวเพราะปกติไม่ต้องมายกจัดเรียงพวกนี้ ไรเดอร์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อพิจารณาว่าจะให้จัดส่วนใดก่อนเป็นอันดับแรกเพราะในขณะนี้ทุกพื้นที่ต่างรกไปด้วยกรงที่ถูกวางอย่างลวก ๆ เอียงทับกันไปมา
ส่วนมากพวกเขาจะใช้การโยนข้าวของสุมกันเพื่อความรวดเร็ว มันเลยทำให้ตอนนี้นอกจากต้องยกเรียงลำดับให้เป็นระเบียบใหม่ทั้งหมด เขาก็ต้องมายกส่วนที่กระเด็นกระจายตามพื้นขึ้นมาวางซ้อนกันดี ๆ อีก
นี่สินะที่เขาเรียกว่า ‘อย่าจับแพะชนแกะ’ หลังจากนี้พวกเขาทั้งหมดจะไม่มักง่ายอีกแล้ว เหมือนโดนกรรมตามสนองอย่างไรก็ไม่รู้
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปสะดุดตรงพื้นที่วางเล็ก ๆ ตรงมุมรั้วทางฝั่งซ้ายมือไม่ไกลจากจุดที่ยืน เขาจึงยกมือชี้นิ้วไปทางนั้นแล้วบอกกับเกรเทลว่าให้เริ่มยกไปวางตรงนู้นก่อน
จังหวะที่เขากำลังเอื้อมมือเพื่อช่วยจับกรงเหล็ก เสียงตะโกนดังลั่นก็ลอยมาแต่ไกลจนคนทั่วทั้งบริเวณหุบมือกันแทบไม่ทัน
“พวกเจ้าห้ามช่วยมัน! ปล่อยให้มันยกเอง!”
สายตาหกคู่หันไปมองเจ้านายสลับกับเด็กใหม่กันไปมา มิติเอกฉันท์ทุกคนรู้สึกได้เลยว่างานนี้มีหนาว
ร่างเล็กหน้าเหวอไม่คิดว่าเขาจะเอาจริงตามที่พูดเมื่อคืน เกรเทลหายใจฟึดฟัดหงุดหงิดที่คนเขาใช้เธอยกของแค่คนเดียว ได้! ถ้าอยากให้เธอยกของคนเดียวเธอก็จะยกมันด้วยตนเองไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย
…ฝากไว้ก่อนนายหัวผัก…
เมื่อเป็นแบบนี้เธอต้องวางแผนการทำงานให้ดีจะได้ไม่เสียแรงฟรี ในหัวสมองคิดไว้ว่าอันดับแรกจะจัดเอากรงที่มีขนาดเท่า ๆ กันมารวมไว้ด้วยกัน ใหญ่กับใหญ่ กลางกับกลาง เล็กกับเล็ก แล้วเว้นช่องว่างตรงทางเดินให้กว้างพอที่เวลาเคลื่อนย้ายออกไปจะได้ใ้ช้งานอย่างสะดวก
เท้าเล็กเดินก้าวเข้าไปกรงขนาดใหญ่ก่อน ประเมินด้วยสายตามือก็จับความหนาของเส้นเหล็กไปด้วย มันน่าจะหนักสัก 100 กิโลกรัม ส่วนกรงกลาง 60 ไม่ก็หนักประมาณ 40 กิโลกรัม ต่อด้วยขนาดเล็กสุดไม่เกิน 20 กิโลกรัม ถ้าให้เธอลากแค่ไม่กี่กรงคงพอไหวแต่ดันมีเป็นสิบเป็นร้อย เธอได้แขนหลุดก่อนพอดี
“ไรเดอร์แถวนี้มีท่อนไม้กับเชือกบ้างไหม?”
เกรเทลหันไปถามคนในพื้นที่อย่างไรเดอร์
“หื้ม มีสิเจ้าเดินไปทางโกดังตรงนู้นได้เลย หลังคาสีเลือดหมูมันเอาไว้เก็บพวกอุปกรณ์ช่าง เจ้าสามารถหยิบมันออกมาใช้ได้เลยแต่อย่าลืมเอาไปเก็บที่เดิมด้วยนะ”
แม้ว่าเขาจะสงสัยว่าอีกฝ่ายถามไปทำไมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ใจเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าหนูนี่จะทำยังไงเพราะในเมื่อสภาพตัวมันผอมแห้งแรงน้อยขนาดนี้ไม่มีทางยกกรงเหล็กทั้งหมดได้ด้วยคนเดียวแน่นอน ขนาดพวกเขาที่แข็งแรงทำงานยกของหนักทุกวันยังหืดขึ้นคอจนต้องเรียกคนนู้นคนนี้มาช่วย ๆ กันเลย นับประสาอะไรกับเด็กใหม่อย่างเจ้าเกรเทล
ร่างบางเดินหายไปในโกดังเก็บของ บรรยากาศภายในมองไปมองมาก็คล้าย ๆ ยุ้งฉางหรือโรงนาสไตล์ตะวันตกเพียงแค่ไม่มีวัวหรือม้าอาศัยอยู่ เธอเห็นไม้วางอยู่ด้านในสุดมันถูกขัดทำสะอาดเรียบร้อยคาดว่าคงเตรียมเอาไปเพื่อสร้างเป็นบ้านหรือไม่ก็อาคารสักหลัง เธอเลือกหยิบท่อนไม้ออกมาประมาณ 5-10 ท่อนจนเต็มอก ข้าง ๆ กันมีเชือกตกอยู่เธอจึงใช้เท้าเขี่ย ๆ เกี่ยวมันขึ้นมาคล้องไว้ตามง่ามนิ้วมือ
พวกเขาทั้งหมดรวมไปถึงวอลล็อคที่ยังนั่งจิมกาแฟแทบหลุดขำ ภาพที่เขาเห็นคือเจ้าทาสตัวน้อยกำลังเดินเซไปมาเหมือนปูขาเกไม่มีผิด ไรเดอร์ส่ายหน้าอนาถใจไม่ไหวจนต้องพุ่งตัวเดินเข้าไปช่วยแบ่งท่อนไม้มาถือไว้เองบ้าง
“แทนที่เจ้าจะทยอยหยิบออกมาเกรเทลเดี๋ยวพอล้มขึ้นมาก็มีแผลอีก แค่ของเดิมบนตัวเจ้ายังไม่หายดีเลย เฮ้อ”
“ขอบคุณท่านมากไรเดอร์ ข้าแค่ขี้เกียจเดินไปเดินมาหลายรอบ”
เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรชักช้าบวกกับรีบทำแค่รอบเดียวให้เสร็จจึงเป็นสาเหตุให้เธอมักโดนพี่ฮันเซลดุบ่อย ๆ เพราะบางทีมันขาดความรอบคอบได้เช่นกัน
จำได้ว่าล่าสุดที่โดนพี่ดุเรื่องความสะเพร่าเป็นตอนที่หั่นผักในครัว ด้วยความรีบกลัวซุปที่เคี่ยวไว้จะไหม้เธอเลยหันไปมองหม้อแต่มือยังขยับหั่นผักไปเรื่อย ๆ เธอคิดว่าก็แค่หันไปมองซุปคงไม่เป็นไรหรอก แต่ในจังหวะเพียงเสี้ยววินั้นปลายคมมีดพลาดไปโดนนิ้วชี้อย่างจัง เลือดอาบเต็มโต๊ะวุ่นวายไปทั้งบ้าน
จากนั้นมาพี่ก็คอยเน้นย้ำเธอเสมอว่าให้ทำทีละอย่างไม่ต้องรีบร้อนค่อยเป็นค่อยไปก็พอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่จดไม่จำคำพี่สอนหรอกนะแต่ในกรณีวันนี้เธอขอยกเว้นเถอะ สภาพนี้ให้เดินไปเดินมาหลายรอบเธอจะเป็นลมก่อนงานจะเริ่มด้วยซ้ำ ร่างกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่นักอะไรลดเวลาการทำงานได้เธอยินดีทำทั้งนั้นแหละ
เมื่อได้ของที่ต้องการครบเธอก็เดินลากท่อนไม้ไปวางเรียงบนพื้นดินเป็นระเบียบชิด ๆ กันเป็นทางยาว การกระทำของเธอตกอยู่ในสายตาวอลล็อคและกลุ่มเพื่อนคนงาน
“นั้นมันกำลังจะทำอะไรวะไรเดอร์?” เพื่อนในกลุ่มถามเสียงเบา
“ข้าก็ยังไม่รู้รอดูไปก่อนเพราะนายสั่งไม่ให้เราเข้าไปช่วย ข้าว่ามันต้องทำอะไรแน่ ๆ ถึงเอาท่อนไม้มาวางไว้”
ทุกคนต่างลุ้นว่าเด็กใหม่จะยกของหนักได้อย่างไรโดยไม่มีคนช่วยพยุงสักคน ทางด้านเกรเทลเขยิบท่อนไม้ไปใกล้ ๆ ฐานกรงที่ใกล้ตัวสุดก่อนต่อด้วยวางแผ่นไม้แบบบางไว้บนสุด แล้วทำการยกดันให้ฐานกรงเลยท่อนไม้เล็กน้อยแล้วปล่อยให้เกยอยู่บนนั้น เธอเดินอ้อมไปหลังกรงแล้วออกแรงผลักไปข้างหน้า จนกระทั่งกรงทั้งหมดขึ้นมาอยู่บนท่อนไม้เรียบร้อยเธอจึงชะโงกหน้าขึ้นไป เมื่อมองว่าระยะโอเคก็ออกแรงขยับไหลให้กรงไปตามแรงดันอีกรอบ
“โอ้ว! มันขยับแล้ว”
ทุกคนตกตะลึงความฉลาดของเด็กหนุ่มทาสต่างเสียงดัง ชื่นชมในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีนี้มาก่อนแต่ส่วนใหญ่คนที่นี่เขาจะใช้ตอนก่อสร้างในเครืองานก่อสร้างเท่านั้น ไม่ค่อยเห็นคนภายนอกใช้วิธีการเหล่านี้อย่างแผร่หลายหรือไอ้เด็กนี้จะเคยอยู่เขตก่อสร้างเมืองมิน่ามันถึงทำเป็น
ถ้าเกรเทลได้ยินสิ่งที่พวกเขาคิดได้ล่ะก็ เธอคงจะบอกว่าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์บนโลกเธอนั้นเป็นสิ่งจำเป็นยามคับขัน ในเมื่อที่นี่ไม่มีแม่แรงก็ยินดีต้อนรับสู่ยุคหินโบราณค่ะ
เด็กสาวค่อย ๆ ขยับพอถึงสุดท่อนใบท่อนแรกเธอก็หยุดพักแล้วเดินกลับไปเอาท่อนไม้ที่เหลือมาต่อเป็นทางไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มาถึงจดที่ไรเดอร์บอก เกรเทลเอาเชือกมาผูกไว้กับกรงทว่าก่อนที่จะดึงกรงลงมาจากท่อนไม้ เธอสังเกตเห็นพื้นตรงนี้นั้นมันมีความเป็นทราย ๆ มากกว่าดินแข็งปกติ
แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ เพราะต่อให้เธอลากให้ตายยังไงทรายมันก็จะมากองกันตรงแถวหน้าจนเคลื่อนย้ายลำบาก
“ไรเดอร์แถวนี้มีแหล่งน้ำหรือก๊อกน้ำบ้างไหม?”
“มีก๊อกน้ำข้าง ๆ โกดังเก็บของนั่นแหละ”
เธอหยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณแล้ววิ่งไป เธอจำได้ว่าในโกดังมีถังน้ำตั้งวางทิ้งไว้สามสี่ใบ เธอจึงเลือกหยิบมาสักใบแล้วเดินออกมาผ่านประตูโกดัง เลียบไปด้านข้างไม่ไกลนักเธอก็เจอก๊อกน้ำตามที่ไรเดอร์บอก เอาถังน้ำไปวางไว้ข้างใต้มือหมุนเกลียวก๊อกจนมีน้ำไหลมาออกมาเป็นสาย เมื่อเธอเติมน้ำจนเต็มถังแล้วจึงรีบวิ่งกลับมายังจุดเดิม
เกรเทลค่อย ๆ ราดน้ำให้กระจายไปทั่วทั้งบริเวณให้ทรายเปียกชุ่มพอประมาณ มือบางเอื้อมลงไปสัมผัสบนพื้นเช็กดูว่าสภาพดินมันโอเคหรือยัง
ใบหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มบางออกมาสื่อว่าทุกอย่างใช้ได้แล้ว เกรเทลลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหันหลังไปคว้าปลายเชือกมากำในมือให้แน่นแล้วเริ่มออกแรงดึงกรงลงมา
ฮึบ! ตึง! เครง!
เสียงเหล็กกระทบพื้นดินดังสะเทือนเป็นสัญญาณให้เธอเดินลากกรงไปข้างหน้าต่อได้เลย ทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอหวังไว้ เมื่อพื้นทรายชุ่มไปด้วยน้ำส่งผลให้แรงเสียดทานลดน้อยลง แถมน้ำยังทำให้พื้นลื่นเคลื่อนยากสะดวกแม้จะมีเม็ดทรายเปียกเกาะตามขาไปบ้างแต่ก็คุ้มที่ตัวเองจะเลอะเทอะ
กรงเหล็กหนัก 100 กิโลกรัม กำลังถูกคนตัวเล็กกว่าหลายเท่าลากไปอย่างสบาย ๆ วอลล็อคยิ้มชอบใจที่เด็กคนนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องขอร้องให้คนอื่นช่วย ผิดกับลูกน้องในปกครองตนเองเวลาเขาจะเรียกใช้พวกมันให้ทำงานแต่ละทีแทบจะยกโขยงไปกันเป็นคณะ
…สงสัยข้าคงต้องอบรมความประพฤติเจ้าพวกนี้ใหม่เสียแล้วกระมัง…
ตาคมยังทอดมองเด็กหนุ่มทาสทำงานอย่างขะมักเขม้น จัดเรียงตรงนั้นทีสักพักก็ไปตรงนู้นที ทำวนเวียนแบบนี้ซ้ำไปมา จนล่วงเลยเวลาไปถึงประมาณเที่ยงวันเกรเทลก็จัดระเบียบกรงเสร็จพอดิบพอดี
“อ๊าก! เหนื่อยจังเฮ้อ…”
เกรเทลเอนตัวหงายหลังนอนราบไปกับพื้นดินหลังจัดเสร็จ ไม่คิดว่าอีคนที่ชื่อวอลล็อคนั้นจะให้เธอทำคนเดียวจริง ๆ แล้วให้คนอื่นยืนมองให้กำลังใจอยู่ข้างทางสะงั้น
นอกจากนี้เธอยังรู้สึกปวดหลังและเอวมากกลับไปที่พักอารอล์ฟจะมียานวดคลายเส้นหรือยาแก้ปวดบ้างไหมนะ สภาพเดี้ยงแน่นอนคืนนี้นอนปวดตัวแล้วอาจส่งผลให้นอนไม่หลับด้วยตาย ๆ พระเจ้า
“เห็นไหมว่าเจ้าก็ทำได้นิไอ้หนู”
เสียงที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุดก็ลอยเข้าโสตประสาทหูเธอทันที เด็กสาวหันขวับตาถลึงจ้องไปยังเขาแทบจะกินเลือดเนื้อแต่เขาหาได้กลัว
…หงุดหงิดโว้ย…
เธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองจ้องตาร่างสูงในระยะประชิด เตรียมจะด่าว่าทำไมเขาถึงได้ใจร้ายกับเธอแบบนี้ แม้ว่ากรงขนาดเล็กจะไม่มีปัญหาเยอะมากเท่ากรงกลางและใหญ่ ซึ่งเธอยังพอสามารถยกลากได้ชิล ๆ ทว่าเมื่อเป็นของชิ้นใหญ่ตามสามัญสำนึกก็ควรมีคนมาช่วยเคลื่อนย้ายสิ เกิดโดนของทับตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
วอลล็อคก้มมองคนที่เตี้ยกว่า ท่าทางอีกฝ่ายเหมือนเป็นลูกแมวพองขนขู่ฟ่ออย่างไรอย่างนั้น เขารู้ว่ามันจะพูดอะไรอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วเจ้าหนู เขาจึงรีบชิ่งพูดขึ้นก่อนใครจะยอมให้มันทำเขาเสียหน้าล่ะ…
“ดีแล้วในเมื่อเจ้าก็ทำงานตรงนี้เสร็จพอดีก็อย่าลืมงานถัดไปล่ะ ข้าว่าเจ้ารีบไปแจกขนมปังและน้ำให้กับพวกทาสในกรงดีกว่าก่อนอาหารกลางวันจะหมดโรงอาหาร”
ก่อนจะถอยหลังเดินออกมาเขาได้ขยิบตาและกระชากยิ้มเย้ยให้เหมือนเดิมที่เธอมักได้รับเป็นการส่งท้าย นี่เขาจะล้อเล่นเป็นเด็กแบบนี้กับเธอทำไมกันนักหนา หน้าหล่อก็จริงแต่พฤติกรรมน่ารำคาญของแท้ เธออยากจะลองเอานิ้วจิ้มตาแตกดูสิว่าจะยังมีตาทำอะไรแบบนี้อยู่อีกไหม
ส่วนทางด้านวอลล็อคเองก็หิวข้าวมาได้สักพักแล้ว แต่ที่ยังไม่ลุกไปกินข้างนั้นเพราะเขาแค่อยากจับตาดูทาสรับใช้คนใหม่เสียหน่อยว่ามันจะทำงานสำเร็จไหมแต่สรุปมันก็ทำได้เป็นอย่างดี เผลอ ๆ ดูดีกว่าพวกลูกน้องเขาอีกหลายเท่า ทีแรกเขาก็ใจอ่อนแล้วแหละว่าจะให้พวกไรเดอร์เข้าไปช่วยยกเห็นท่าทางไม่มีแรงขนาดนั้นเป็นไรก็ต้องห่วง
ทว่าเขากลับต้องมานั่งคิดใหม่ เมื่อเห็นเกรเทลอุ้มเอาท่อนไม้กับแผ่นไม้มาวางทับกันแล้วลากกรงเหล็กมาไว้ด้านบน ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาประทับใจโดยไม่รู้ตัวกับความเฉลียวฉลาดของเด็กหนุ่ม ในเมื่อตนเองมีรูปร่างเล็กผอมบางแถมไม่มีแรงพอยกของหนักก็หาเครื่องทุ่นแรงไปสิ
นาน ๆ ทีเขาจะเจอคนที่มีความสามารถและวอลล็อคมั่นใจในสัญชาตญาณของตนเองด้วย ว่าเด็กทาสใหม่คนนี้ต้องมีของโชว์ได้อีกก็เหลือแค่รอเวลาผลไม้สุกงอมก็พอ
ร่างสูงเดินกลับไปตามช่องว่างระหว่างกรงที่เกรเทลเว้นไว้ให้อย่างเป็นระเบียบจนลับสายตาไป
“หน๊อย…เจ้าหมอนี่มัน คอยดูเถอะถ้าฉันหนีไปได้นะ”
ท่อนสุดท้ายเธอพูดพึมพำคนเดียว คนรอบข้างจึงไม่ได้ยินสิ่งที่เกรเทลพูดเลยสักประโยค เว้นเสียแต่ว่าชายหนุ่มนายหัวของตลาดค้าทาสโมเบียสแห่งนี้กลับได้ยินเต็มสองหู
…เจ้าเด็กนี้น่าสนใจดีแฮะ เอาไว้ข้าหาอะไรสนุก ๆ ให้เจ้านั่นทำอีกดีกว่าดูแล้วมีไหวพริบดีไม่เบา…
------
คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ
หากพบคำผิด แก้ไขติชมโปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ
***
Talk with writer
หน๊อย! กล้าใช้ให้น้องยกของคนเดียวช่างกล้า เดี๋ยวฉันจะตีแกนังวอลดี้ แต่น้องมันก็เก่งเนอะทำงานจนเสร็จได้ขนาดนี้ อย่างว่าพี่ฮันเซลคงสอนเรื่องการใช้ชีวิตมาเยอะ555555
****
แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัพเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่
Facebook : C.T.Tiana
X (Twitter) : @Ccttiana