บทที่ 156 กลับวังหลวง
หลังจากผ่านไปสองวัน ในที่สุดขบวนเดินทางขนาดใหญ่ที่มายังตำหนักรับรองก็กลับถึงวังหลวง ฉินชิงได้เห็นตำหนักจงชุ่ยของตนก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก การนอนอยู่บนเตียงที่ไหนก็ไม่สู้เตียงของตน
หยินผิงเห็นท่าทีเช่นนี้ของฉินชิงก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้
“เหนียงเหนียง ท่านเป็นเช่นนี้อีกแล้ว ไม่ถอดชุดตัวนอกก็ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว”
“เตียงนอนข้า ข้าเป็นเจ้าของ หยินผิงเจ้ารีบจัดของเถอะ ของเยอะไม่ใช่หรือ”
หยินซั่นจัดของอยู่ข้างๆ นางมองฉินชิงก่อนจะมองหยินผิง “เหนียงเหนียงก็เป็นเช่นนี้ อยู่ในตำหนักตัวเอง ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ย่อมไม่เป็นไรหรอก” “ในตำหนักของพวกเรามีสายลับ เจ้าลืมไปแล้วหรือ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปคงไม่ใช่เรื่องดี”
“เจ้าสายลับนั่นผู้ดูแลหาเจอแล้ว หลิวหลีบอกว่ารอให้เหนียงเหนียงพักผ่อนสักครู่จะมาบอกรายละเอียดกับเหนียงเหนียง”
“หาเจอแล้ว เช่นนั้นก็ดี ในที่สุดข้อกังวลใจของข้าก็จบไปแล้ว”
"ไปเถอะ เดินทางมาเหนื่อยแล้ว ให้เหนียงเหนียงได้พักผ่อนสักหน่อยเถอะ"
ฉินชิงนอนนิ่งๆ เป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ขี่ม้าไม่เหนื่อยเท่านั่งรถ ถึงอย่างไรการขี่ม้าก็ทำให้จิตใจมีความสุข แต่การนั่งรถม้ามันกลับทำให้จิตใจเหนื่อยล้า
อยู่ในที่เล็กๆ ทั้งวัน แม้ว่ารถม้าจะถูกสร้างให้ใหญ่เท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว และข้างในก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่การอยู่ในนั้นนานๆ ก็ทำให้หายใจไม่ออก
มนุษย์ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แม้ว่าในวังฉินชิงจะไม่ชอบสถานที่ที่มีคนอยู่มาก ทว่าตอนอยู่ในรถม้านางก็ได้เรียกหยินผิงและหยินซั่นเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนนาง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรการอยู่ในที่ปิดก็เหมือนกับการถูกลงโทษในคุกอย่างหนึ่ง ฉินชิงรู้สึกว่าตนไม่อาจอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เป็นเวลานานได้ทุกวัน
หลังจากนอนไปเป็นเวลานาน ฉินชิงก็รู้สึกว่าตนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดังนั้นจึงขอให้หยินผิงไปเรียกคนยกอาหารมา หลังกายเหนื่อยจากการเดินทางก็ถึงเวลาปลอบใจท้องที่ว่างเปล่าของตน
แม้ว่าจะหิวมาก แต่ตอนนี้ฉินชิงก็ไม่ได้หิวมากขนาดนั้น จึงไม่ได้ตะกละ ด้วยเหตุนี้จึงให้ห้องครัวเล็กของนางเตรียมอาหารเบาๆ
หลังจากอาหารมาถึงโต๊ะแล้ว ฉินชิงก็มองครู่หนึ่ง มีวัตถุดิบในจานจำนวนมาก
จานแรกคือผัดผักรวมมิตรรากบัว เป็นอาหารที่ชื่อดีมาก พูดถึงรากบัว ฉินชิงก็คิดถึงรากบัวสีขาวพระจันทร์
อาหารจานนี้ชื่อว่ารากบัวเพราะอาหารถูกวางไว้บนใบบัว ไม่รู้ว่าฤดูนี้ไปเอาใบบัวมาจากไหน แต่เมื่อมีกลิ่นหอมของดอกบัวโชยออกมาก็รู้สึกสดชื่นมาก
อาหารจานที่สองคือผักกาดราดน้ำมันหอย ผักกาดกรอบและมีความนุ่มข้างใน แม้ว่าจะเป็นอาหารง่ายๆ แต่หลังจากกินแล้วมันก็เหมาะกับการกินกับข้าวมาก
อาหารจานที่สามคือผัดกุ้ง สีสันเป็นสีขาวหยก รสชาติเปรี้ยวหวาน รสชาติไม่จัดจ้านทำให้สดชื่น ย่อยง่าย เหมาะกับการกินในเวลานี้มาก
จานที่สี่จานสุดท้ายรสชาติค่อนข้างหนัก ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน
เมื่อมองไปที่ซี่โครงหมูสีแดงสดใส ฉินชิงก็คีบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วส่งเข้าปาก รสหวานอมเปรี้ยวปานกลาง ไม่หวานจนเลี่ยน เป็นรสชาติที่ละมุน สุดยอดจริงๆ
หลังจากกินอิ่มแล้วก็ดื่มน้ำซุป น้ำซุปในวันนี้คือซุปเต้าหู้เหวินซือ รสชาตินุ่มและหอมชื่นใจ เมื่อเข้าปากก็ละลาย ฉินชิงไม่รู้สึกว่าตนกำลังกินเต้าหู้เหวินซือ
หลังจากกินและดื่มจนอิ่มแล้ว ฉินชิงก็พักผ่อนบนเตียง คิดจะอ่านหนังสือเพื่อลดความกระอักกระอ่วนตอนเหลียงอี้ถามครั้งหน้า ไม่ใช่บอกว่าอ่านแต่บันทึกการเดินทางทุกวัน
ขณะที่คิดจะอ่านหนังสือ หลิวหลีก็มา
“ถวายพระพรเหนียงเหนียง”
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
“เหนียงเหนียง สืบเจอคนที่อยู่เบื้องหลังชิวซิ่งแล้วเพคะ”
“อ้อ งั้นหรือ? ในที่สุดนางก็รอไม่ไหวแล้วสินะ พูดมาสิว่าใคร”
“หลังจากเหนียงเหนียงเดินทางไป ในวังก็เกิดเรื่องมากมาย ฮองเฮาประชวรหนัก ดูแลวังหลังไม่ไหว ดังนั้นจึงแบ่งอำนาจทั้งหมดให้กับสนมขั้นสูงทุกคนคนละส่วน โดยให้ไทเฮาเป็นผู้ตรวจสอบเพคะ”
“จากนั้นล่ะ?”
“แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังของชิวซิ่งก็รอไม่ไหว ส่งข้อความให้ชิวซิ่ง จากนั้นพวกเราในตำหนักก็พบเข้าเมื่อตามไปก็พบว่าเป็นเสี่ยวจู้จื่อที่อยู่ข้างกายสนมหรงเหนียงเหนียง”
“เป็นฝีมือของสนมหรงอย่างนั้นหรือ?”
“เพคะ ชุนฉานบอกว่านางเห็นชัดมาก เป็นเสี่ยวจู้จื่อไม่ผิดแน่ หลังจากชิวซิ่งพูดกับเสี่ยวจู้จื่อจบแล้ว ชุนฉานยังตั้งใจตามเสี่ยวจู้จื่อไปดู ก็เป็นตำหนักของสนมหรงจริงๆ ไม่ใช่สนมคนอื่น เป็นคำสั่งของสนมหรงแน่นอนเพคะ”
“แล้วพวกนางคิดจะใส่อะไรมาในตำหนักของข้าอีก?”
“ทูลเหนียงเหนียง นี่คือสิ่งที่ค้นมาได้จากห้องของชิวซิ่ง บ่าวไม่รู้ว่าคืออะไร ดังนั้นจึงวางเอาไว้อย่างดีไม่กล้าแตะต้องมันเพคะ”
ฉินชิงมองผงยาถุงเล็กๆ นั้น หยิบขึ้นมาแล้วเอามือพัดเบาๆ เพื่อดมกลิ่น จากนั้นก็เอามือแตะขึ้นมาชิม
“ผงยานี่เกรงว่าจะเป็นของที่ต้องใช้กับเหลียนเหม่ยเหริน”
เมื่อหลิวหลีได้ยินสิ่งที่ฉินชิงกล่าวก็พูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เหนียงเหนียง หรือว่าสนมหรงอยากจะทำร้ายลูกในท้องของเหลียนเหม่ยเหรินแล้วใส่ร้ายท่าน?”
“ข้าคิดว่าไม่ใช่ ยานี่ไม่มีผลร้ายต่อเด็ก แต่ถ้าใช้ในปริมาณมากจะมีผลร้ายต่อแม่เด็ก ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเด็กในท้องแต่อย่างไร”
“สนมหรงผู้นั้นจะใช้ยานี้ทำอะไรเพคะ?”
“ตอนนี้ข้าเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ผงยานี่เจ้าก็วางไว้ที่นี่เถอะ”
“เพคะ เหนียงเหนียง ท่านจะจัดการกับชิวซิ่งอย่างไรเพคะ”
“ขังไว้ก่อน ที่ห้องครัวมีห้องเก็บฟืนอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็ขังไว้ในนั้นจนกว่าเรื่องจะแดงเถอะ ส่งข้าวให้นางเล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน อย่าให้หิวตายก็พอ”
“เพคะเหนียงเหนียง บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่อมองผงยานี้ ฉินชิงก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสนมหรงต้องการจะทำสิ่งใด มันไม่ได้ทำร้ายเด็กในท้อง ต่อให้ใช้จำนวนมาก เหลียนเหม่ยเหรินก็จะเพียงเจ็บปวดมากกว่าปกติตอนคลอดเท่านั้น
แต่ไม่ว่าสนมหรงอยากทำอะไร ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนางต้องการจะเล่นไม้ไหน ฉินชิงก็พร้อมรับมือ
หลังจากได้ฟังหลิวหลี ฉินชิงกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่านางจะคาดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในวัง แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องจะหนักขนาดนี้ แค่ฮองเฮาประชวรหนักก็เป็นเรื่องใหญ่มากแล้ว
อีกอย่างเหลียงอี้ก็ถูกไทเฮาเร่งเร้าให้กลับมา ฉินชิงคิดว่าฮองเฮาอาจจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่นานแล้ว ไม่อย่างนั้นไทเฮาก็คงไม่มีท่าทีเช่นนี้
อีกอย่างอาการประชวรของฮองเฮาก็หนักมากจนกระทั่งต้องแบ่งงานออกไป ถือเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน ปกติแล้วการมอบงานต่างๆ ให้ไทเฮาจัดการชั่วคราวหรือมอบให้สนมตำแหน่งสูงก็ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ แต่ฮองเฮากลับแบ่งอำนาจให้สนมในวังหลังทุกคนคนละส่วน
เรื่องนี้เดิมก็ไม่ปกติอยู่แล้ว และที่ไทเฮามาช่วยกำกับดูแลก็ยิ่งแปลกเช่นกัน ไทเฮาไม่ได้ดูแลงานมานาน วันๆ ก็เพียงไหว้พระอยู่ในตำหนักฉือหนิงเท่านั้น
ไทเฮาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ทุกวัน ไม่คิดว่าจะออกมาเพื่อฮองเฮาในเวลานี้ ดูเหมือนว่าไทเฮาจะมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อฮองเฮา
เมื่อแบ่งอำนาจ ทุกคนต่างก็กระตือรือร้น เมื่อมีอำนาจ มีความปรารถนา วังหลังเวลานี้คงไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก
ฉินชิงคิดเรื่องต่างๆ ในวัง รู้สึกว่าตนยังต้องปกป้องตำหนักจงชุ่ยให้ดี ห้ามให้มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลง
อย่างไรเสียก็ต้องไปเยี่ยมฮองเฮา ฉินชิงมักจะรู้สึกว่าอาการประชวรหนักของฮองเฮาน่าสงสัย คราวก่อนไปเยี่ยมพระองค์ แม้ว่าจะป่วยหนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นพระอาการทรุดเร็วถึงขั้นนี้