ตอนที่ 68 ตายอย่างคุ้มค่า
ในอดีตอันเนิ่นนานมาแล้วมงกุฎแห่งโอเรียริมเกิดจากการรวมตัวกันของสังขารบางส่วนในระดับเทพเจ้า มันเป็นสังขารของเทพธิดาที่มีอำนาจในขอบเขตแห่งแสง พระนางเป็นสาวกระดับพระเจ้าที่สำคัญและเป็นเทพผู้รับใช้ของเทพแห่งแสงมาตั้งแต่ก่อตั้งศาสนจักรในแดนต้นกำเนิด
แต่พระนางกลับทรยศเทพแห่งแสงด้วยเหตุผลบางอย่าง
นี่คือสิ่งที่เล่ากันในศาสนจักรแต่ความจริงเป็นอย่างไรนั้นไม่อาจทราบได้ เพราะเมื่อมงกุฎนี้เกิดจากสังขารของพระองค์ นัั่นหมายความว่าเทพองค์นี้ได้ร่วงหล่นลงแล้ว และไม่อาจพูดได้อีก
เทพธิดาโอเรียริมถูกแบ่งสังขารออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนควบรวมเป็นวัตถุเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์เทียม ว่ากันตามตำนานแล้ว การรวมวัตถุเวทมนตร์ทั้งสามเข้าด้วยกันอีกครั้ง จะทำให้ได้พลังอำนาจระดับอนุเทพที่เป็นรองเพียงเทพแท้จริงเท่านั้น
แต่วัตถุเวทมนตร์ระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในโลกแห่งวัตถุอีกเลยนับแต่การอพยพไปของเหล่าผู้ทรงพลังระดับศักดิ์สิทธิ์เมื่อครั้งอดีต ศาสนจักรจึงไม่เคยรวบรวมพวกมันเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่แยกพวกมันเอาไว้และใช้อำนาจของมันในลักษณะที่เป็นเอกเทศจากกันแทน
การได้มงกุฎมาไว้ในศึกครั้งนี้ จะทำให้ศาสนจักรสามารถคว้าชัยได้อย่างง่ายดายเมื่อรวมกับระดับตำนานขั้นบนสุดอย่างพระคาร์ดินัลกุสตอฟ
"หม่อมฉัน ทราบแล้ว"
นักบวชเฒ่าโจเซฟไม่มีความกังวลใดอีก
"อืม ไนซ์ลอฟยังคงไม่ฟื้นคืนสติ สมเด็จพระสันตะปาปาจำเป็นต้องส่งนักบวชระดับพระอัยกาคนใหม่ไปรักษาการณ์ที่วอร์บัส เจ้าคิดเห็นเช่นไร?"
ปัจจุบันศาสนจักรมีพระอัยการะดับพระอัครมหาสังฆราชเจ้าห้าพระองค์ คือพระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งแดนเหนือ พระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งแดนใต้ พระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งวอร์บัส พระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งรัสเซลและพระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งไฮเฟล
นักบวชระดับสูงที่มียศเป็นพระอัยกานั้นยังคงมีอยู่อีก แต่ไม่ได้ดำรงสมศักดิ์ในศาสนจักร เป็นแต่เพียงยศกิตติมศักดิ์ที่ไม่มีอำนาจในการปกครองสังฆมณฑลเท่านั้น
การที่พระคาร์ดินัลกุสตอฟถามพระอัยกาโจเซฟเช่นนี้ หมายความว่าพวกเขาต้องการผลักดันคนของตนเองไปปกครองวอร์บัส เพราะเดิมแล้วพระอัยไนซ์ลอฟเป็นคนของพระคาร์ดินัลโวโลเดอเมอร์ สมเด็จพระอัครมหาสังฆราชเจ้าฝ่ายซ้าย จึงนับว่าเป็นเขตสังฆมณฑลของฝ่ายซ้ายได้
ก่อนนั้นไนซ์ลอฟได้รับการสนับสนุนจากมหานครแห่งออซอย่างออกหน้าออกตามาตลอด ทำให้ศาสนจักรฝ่ายซ้ายในวอร์บัสนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่นั่นมันเป็นเรื่องเมื่อในอดีตไปแล้ว กุสตอฟมองเห็นถึงความเสื่อมสลายของออซและความอ่อนแอของดินแดนอื่นในวอร์บัสที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ มันเป็นโอกาสเหมาะสมที่ศาสนจักรฝ่ายขวาจะเรืองอำนาจในแดนเหนือ
การถ่วงดุลอำนาจเป็นสิ่งที่ศาสนจักรให้ความสำคัญมาโดยตลอด ความคิดของกุสตอฟอาจได้รับแรงต่อต้านมหาศาลหากทำเช่นนี้ในอดีตแต่การเสียคฑาแห่งเอเววิสไปในสงครามทำให้สมเด็จพระสันตะปาปาทรงกริ้วมาก ดังนั้นตอนนี้ทุกสิ่งจึงเป็นไปได้ทั้งนั้น
"พระอัยการูเพิร์ตเหมาะสมอย่างยิ่ง"
โจเซฟตอบโดยไม่ต้องคิด พระอัยการูเพิร์ตเป็นคนของพวกมันและเป็นผู้ทรงพลังขั้นครึ่งก้าวระดับตำนานที่มีอิทธิพลสูงในศาสนจักรตอนนี้
"เจ้าเห็นเหมือนกันกับข้า ศาสนจักรฝ่ายขวาจะเสนอชื่อพระอัยการูเพิร์ตในการประชุมครั้งหน้า"
"ฝ่าบาททรงปรีชายิ่ง"
โจเซฟก้มลงจุมพิตที่มือขวาของเอลดันอีกครั้ง
วินาทีต่อมาร่างงดงามของบาทหลวงหนุ่มก็เริ่มสั่นเทา ผิวหนังด้านนอกที่เปร่งปรั่งไปด้วยความงาม ใบหน้าที่เต่งตึงของวัยหนุ่ม ริมฝีปากแดงดุจกุหลาบของหญิงสาวและดวงตาแจ่มใสดุจเด็กบริสุทธิ์ ทุกสิ่งที่กล่าวมาเริ่มเสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด
ผิวหนังแห้งเหี่ยวจนติดกระดูก ใบหน้าย่นยับบี้ติดไปกับกะโหลกด้านหลัง ริมฝีปากงดงามซีดเซียวดำคล้ำไม่เหลือเค้าเดิม ดวงตนเองก็ขุ่นมัวจนขาวสนิท
พลังแห่งชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ในร่างของเอลดัน ตอนนี้กลับแห้งเหือดจนหมด มันกลายร่างเป็นมัมมี่โดยสมบูรณ์
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อใช้ร่างกายของคนธรรมดา มารองรับวิญญาณอันทรงพลังในระดับตำนาน
เอลดันสิ้นใจในวันนี้โดยที่ไม่มีวันได้ใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวอันสวยงาม มันไม่ได้ทำผิดอะไร มันผิดที่งดงามเกินไป
พระอัยกาเฒ่ามองส่งพระวิญญาณของพระคาร์ดินัลกุสตอฟจนแน่ใจว่าพลังความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายหายไปหมดแล้ว มันจึงลุกขึ้นยืน พร้อมกันนั้นอาณาเขตม่านพลังแห่งแสงที่กุสตอฟร่ายเอาไว้ก็จางหายไปทันที
"เอลดันของให้วิญญาณของเจ้าไปสถิต ณ สรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าได้รับใช่ศาสนจักรอย่างคุ้มค่าด้วยชีวิต"
โจเซฟทำสัญลักษณ์วงกลมบนหน้าอกเป็นการสรรเสริญเทพแห่งแสงของมัน ก่อนจะหันไปสั่งกับสังฆานุกรที่เดินเข้ามาเพื่อรอรับใช้อยู่ด้านหลัง
"จัดการศพของเอลดันให้ดี บอกครอบครัวเขาว่าบาทหลวงเอลดันได้รับใช้พระเจ้าแห่งเราอย่างกล้าหาญ ให้พวกเขาสวดภาวนาด้วยความปิติยินดีเถอะ"
พระอัยกาโซฟ พระอัครมหาสังฆราชเจ้าแห่งรัสเซล มองส่งซากร่างมัมมี่ตนนั้นอีกครั้ง มันยังจำรสชาติอันหอมหวานของบาทหลวงหนุ่มคนนี้ได้ดี
น่าเสียดาย! พระคาร์ดินัลไม่ควรเลือกร่างชายบำเรอของมันเลย!
ในตอนที่แดนนิมตแห่งแสงหลากสีเสด็จลงมาเหนือหอคอยดำ ออสบอร์นที่กำลังนั่งจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำในอนาคตอันใกล้ อยู่ข้างท่านผู้หญิงวอร์ล็อคก็รู้สึกถึงความเชื่อมโยงบางอย่างภายในจิตวิญญาณที่กำลังสั่นสะท้าน
เกิดอะไรขึ้น?
สีหน้าขอเขาที่แสดงออกมาไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือกังวล พ่อมดเฒ่าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เป็นความรู้สึกคล้ายกับของบางสิ่งที่ผูกพันใกล้ชิดกำลังโมโหโกรธา
เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนเห็นกระต่ายเฒ่าออกัสตัดสินใจช่วยเขาในยามที่กรีมัวร์มาหาเรื่องถึงบ้าน ไม่ถูกสิ มาชวนดื่มน้ำชาถึงบ้านต่างหาก
"คุณเป็นอะไร?"
กรีมัวร์ที่กำลังเฝ้ามองออสบอร์นอยู่ด้านข้างรู้สึกได้ว่าพ่อมดเฒ่าทำตัวแปลกไป ก่อนหน้านั้นหล่อนกำลังเห็นเขาจัดตารางงานที่แสนยุ่งอยู่เลย ที่หางตาแวบๆเธอยังเห็นข้อความที่ระบุว่าต้องไปงานแต่งด้วย
ใครมาเชิญออสบอร์นไปงานแต่งกัน? เจ้าภาพกลัววุ่นวายไม่พอหรือไง?
นับแต่ที่เธอรู้จักกับออสบอร์นมา ไม่มีที่ไหนที่เขาไปแล้วไม่เกิดเรื่องเลย งานแต่งจะกลายเป็นงานชุมนุมเรื่องวุ่นวายเสียแล้วกระมัง?
หรือหล่อนต้องตามไปช่วยเขาอีก?
ในขณะที่บางข้อความก็เป็นเรื่องที่หล่อนคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เช่นการบูรณะและยึดป้อมร้างกลางป่าต้องห้ามหลังนั้น
พ่อมดเฒ่ามีแผนการณ์ต่อป้อมร้างอยู่ในใจจริงๆ
"ไม่มีอะไร เราออกเดินทางกันตอนบ่ายนี้เลยเถอะ ผมสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี"
ออสบอร์นไม่ได้บอกถึงความรู้สึกที่ตนรับรู้ได้เมื่อครู่ให้หญิงชราทราบ มันดูไร้สาระเกินไป
กรีมัวร์ไม่ได้ขัดออสบอร์นเลย เธอดีใจด้วยซ้ำ สำหรับการไปช่วยครอบครัวแล้ว ไปไวหนึ่งวันพวกเขาก็ยิ่งทรมานน้อยลงหนึ่งวัน
หญิงชราพยักหน้าเบาๆและแอบไปเตรียมรถม้าให้พร้อม ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว
"อ้อ เมื่อกี้ฉันเห็นว่าคุณเขียนลงไปว่าจะไปงานแต่งด้วย งานแต่งของใคร?"
กรีมัวร์ไม่คิดว่ามันจะเป็นงานของโรอา ถึงเด็กคนนั้นโตพอที่จะมีเมียได้แล้วก็เถอะ แต่เด็กที่อยู่กับคนแก่อย่างออสบอร์นทั้งวันจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจสาวๆกัน
"งานของเจ้าชายเอลฟ์ลำดับแรกแห่งเกลิออน"
ออสบอร์นยังจำคำเชิญของอวาเซอาได้ งานกินฟรีที่ไม่ต้องเสียตังแบบนี้ ออสบอร์นไม่ปฎิเสธแน่นอน
"งานหมั้นหรือเปล่า?"
กรีมัวร์ในฐานะโอษฐ์แห่งวอร์ล็อค หล่อนเองก็ได้ยินข่าวนี้มาเหมือนกัน แต่สิ่งที่หล่อนได้ยินมามันเป็นงานหมั้นต่างหาก
"เอ้า! ใช่สิ งานหมั้นสินะ ฉันคงจำผิดจริงๆ"
ออสบอร์นไม่เถียงหญิงชรา เขาตรองดูในใจอีกทีก่อนจะแน่ใจว่าเป็นงานหมั้นแน่นอน พ่อมดเฒ่ารีบเขียนกำหนดการณ์ลงไปใหม่อีกครั้ง
"งานนี้ควรเป็นงานใหญ่มาก ระดับตำนานในเวอดานดิก็จะมาด้วยตนเอง ท่านต้องเข้าใจว่าผู้ทรงพลังระดับตำนานนั้นแทบไม่เคยออกไปนอกดินแดนของตนเองเลย นี่จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของมหาทวีป"
กรีมัวร์ที่กำลังจะเดินจากไปก็หยุดลงทันที และบอกถึงรายละเอียดของงานให้ออสบอร์นทราบแทน เธอกลัวว่าชายชราจะไปสร้างเรื่องอะไรอีก
"อืม เกลิออนมีระดับตำนานด้วยสินะ ชื่ออะไรนะ เห็นว่าอยู่มานานแล้ว"
พ่อมดเฒ่าจำประวัติศาสตร์เก่าๆที่ตนศึกษาได้
"อวาเรออน เป็นระดับตำนานขั้นสูงและ เป็นระดับตำนานเพียงคนเดียวของเกลิออน เขาเฝ้านั่งบัญชาการดินแดนเอลฟ์แห่งนั้นมาเนิ่นนานแล้ว คงเป็นหมื่นปีได้ ก็นับแต่ยุคกลางมาล่ะนะ เอลฟ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนยาวเป็นพิเศษ อาจมากกว่ามังกรด้วยซ้ำ เราจึงไม่รู้อายุแท้จริงของอวาเรออน"
ท่านผู้หญิงทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
"งานหมั้นควรเริ่มในอีกสองเดือนข้างหน้า เราจะกลับมาทันแน่นอน"
ในใจของกรีมัวร์กำลังคิดวางแผนในการเดินทางอยู่เงียบๆ
ออสบอร์นพยักหน้าเป็นระยะ หญิงชราเดินจากไปแล้ว
พ่อมดเฒ่าจึงกลับไปสนใจบันทึกของตนเองต่อ ตอนนี้เขามีวงล้อนำโชคระดับตำนานเหลืออยู่อีกหนึ่งครั้ง เขาคิดว่าจะเก็บมันเอาไว้ใช้ตอนที่จำเป็นจริงๆ หากเจอปัญหาใดก็ตามในอนาคต เขาจะสามารถใช้วงล้อให้เหมาะสมตามสถานการณ์ได้ เช่น ใช้พาหนะตอนหลบหนี ใช้สัตว์ระดับตำนานตอนหาผู้ช่วย หรือใช้การ์ดทรงพลังอื่นๆเพื่อพลิกกลับในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
แต่มีบางสิ่งที่ออสบอร์นยังไม่ได้ใช้เลยนับแต่ได้มา ตอนนี้คงเป็นช่วงที่เหมาะสมแล้ว นั่นคือสัตว์พาหนะระดับกลาง
การเดินทางของเขาไปยังเฮอราบอส ไม่อาจใช้รถม้าของโอษฐ์แห่งวอร์ล็อคได้ตลอด เพราะพวกเขาจะถูกกำจัดทันทีเมื่อแสดงตนว่าเป็นคนของอาณาจักรวอร์ล็อค
พวกเขาโชคดีมากที่ตอนหนีออกมาจากวอร์บัสได้ร่ายคาถาลวงตาเอาไว้ ผู้ทรงพลังระดับสูงที่ล้อมรถม้าจะไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์แท้จริงของรถม้าได้ ทำได้แค่สัมผัสถึงรูปทรงวัตถุได้บางส่วนเท่านั้น คนที่พวกเขาคิดว่าสามารถระบุรูปลักษณ์มันได้อย่างชัดเจนที่สุดคือมาดามลูน่าคนนั้นตามที่กรีมัวร์บอกมา ซึ่งเธอได้ไปนอนคุยกับเทพแห่งแสงแล้วในตอนนี้
คาถาอัญเชิญสัตว์พาหนะ เขาควรใช้หลังจากที่แยกกับกรีมัวร์ เพื่อประหยัดพื้นที่ในรถม้าของหล่อน คราวก่อนที่เขาเอาม้าสองตัวขึ้นไปด้วย พ่อมดเฒ่าต้องทนฟังหญิงชราบ่นอยู่สามชั่วโมงเต็มเชียวนะ
คำพูดของผู้หญิงนี่ช่างสรรหามาพูดได้ไม่รู้จบ นี่ควรเป็นพลังพิเศษของพวกเธอหรือเปล่า?
ไกลออกไปยังทิศเหนือของแดนตะวันออก ในมหานครอันยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสวยงามลานตา
มีชายรูปร่างกำยำกำลังนั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยอาวุธและชุดเกราะ ชายคนนี้ควรมีอายุล่วงพ้นวันห้าสิบมาแล้ว แต่เขายังดูแข็งแรงเกินวัย พลังอำนาจกดขี่ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเป็นระยะ ทำให้อากาศรอบด้านเต็มไปด้วยพลังธาตุไฟเข้มข้น กล้ามเนื้อที่แขน หน้าอกและต้นขาแน่นขนัด บ่งบอกถึงระบบฝึกตนของผู้ฝึกร่างกาย
"ฝ่าบาท มีสาร์นลับจากอารามอสพ่ะย่ะค่ะ"
นายทหารในชุดเกราะเบาเดินนำสาร์นลับในกระดาษสีขาวล้วนเข้ามา สิ่งนี้เป็นผลงานของสายลับที่อยู่ในอารามอส
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกฝ่าบาทเงยหน้าจากดาบสีเงินเนื้อเงางามที่ตนกำลังขัดถู และเอื้อมมือไปหยิบสาร์นลับฉบับนั้นมาอย่างคุ้นเคย
นี่เป็นสาร์นลับด่วนที่สุดฉบับที่สอง ที่มันได้รับจากอารามอสในช่วงนี้
ก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องอะไรนะ?
อ้อ ร่างจำแลงของวอร์ล็อคขั้นครึ่งก้าวระดับตำนานปรากฎขึ้นในท้องพระโรงของกอดิมดูอินและยังมีข่าวที่คนแคระเสียอิกซอร์ให้พวกออร์คด้วย ช่างเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
คราวนี้เป็นข่าวอะไรอีก? ยังไม่พ้นปีด้วยซ้ำ หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับอารามอสอีกนะ
ชายร่างกำยำเปิดสาร์นลับออกอ่านอย่างเบามือ ตั้งแต่บรรทัดแรกไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย สายตาของเขาเพ่งเล็งตัวอักษรทุกตัวบนนั้นอย่างตื่นตะลึง
ไม่ใช่เรื่องในอารามอสแต่เป็นวอร์บัส!
"เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาหาข้า ให้เขาคัดเลือกคนที่ไว้ใจได้อีกห้าคน เราจะจัดคณะฑูตไปอารามอสสักครั้ง"
ชายร่างกำยำวางสาร์นลับฉบับนั้นลง ภายในดวงตามีพลังอำนาจของราชาที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ฉายออกมา