ตอนที่ 4 น้องสาวใกล้ถึงวัย
“ตามการประเมินของเย่อันผิง เวลาที่เขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยไปถึงเมือง พวกเขายังเหลือเวลาเตรียมการอีกเจ็ดวัน
แต่ในความเป็นจริง ทุกสิ่งเตรียมไว้หมดแล้ว
เขาวางแผนนี้มาสิบปี
เขาอยากถึงเมืองล่วงหน้า ไม่ใช่แค่เพราะกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด แต่ยังเพื่อให้เพ่ยเหลียนเสวี่ยผ่อนคลาย นางจะได้ไม่ประหม่าและทำพลาดในวินาทีสำคัญ
ไม่ต้องพูดถึงเพ่ยเหลียนเสวี่ย เด็กสาวอายุ14 แม้กระทั่งคนโตอายุ 35 อย่างเขาที่ชีวิตมายี่สิบปีก่อนจะข้ามมาใช้ชีวิตในโลกนี้อีก15ปีก็ยังประหม่า
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขากำลังจะไปจัดการกับผู้บ่มเพาะที่เหนือกว่าพวกเขาสองระดับ
เมื่อพวกเขาถึงเมือง เย่อันผิงก็ดีใจที่เลือกพานางมาล่วงหน้า
หลังเขาจองห้อง เขาอยากพานางไปเดินเล่น เป็นผลให้ ทันทีที่นางก้าวเหยียบถนน เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็กลายเป็นระแวงทุกคนที่นางเห็น และทุกคนก็ดูเหมือนผู้บ่มเพาะมาร
พอเห็นผู้บ่มเพาะก่อตั้งรากฐานที่กำลังซื้อซาลาเปาอยู่ไม่ไกล นางก็ถามเย่อันผิง“พี่ คนคนนั้นใช่ผู้บ่มเพาะมารที่ท่านพูดถึงหรือเปล่า?”
“เปล่า แค่ผู้บ่มเพาะทั่วไป”
“โอ้..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยพยักหน้า จากนั้นก็เห็นคนสะพายกระบี่บนหลังและถามใหม่“พี่ นั่นใช่เขาไหม?”
“นั่นคือนายอำเภอเมืองอู่ซี”
“แล้วคนโกนหัวละ?”
“นั่นแค่ขอทาน”
เย่อันผิงคิดว่านางน่ารักและยิ้ม“น้องพี่ ตอนนี้เจ้าเหมือนหนูเลย”
“เจ้าสิหนู!”เพ่ยเหลียนเสวี่ยหน้ามุ่ย“ข้าไม่ใช่..”
“กลัว?”
“กลัวสิ!เราต้องจัดการกับผู้บ่มเพาะมารระดับแก่นวิญญาณเลยนะ..”
เย่อันผิงลูบหน้านาง.”เจ้าต้องเชื่อในพี่ใหญ่ของเจ้า จะไม่มีปัญหาใด ลืมการคิดบวกแบบที่ข้าสอนแล้วเหรอ?’
“ข้าจำได้”
“พูดสิ”
“ตอนเจอกับความยากลำบาก อย่ากลัว ให้ยิ้มสู้ วีธีที่ดีสุดในการไล่ความกลัวคือสู้กับความกลัว!”เพ่ยเหลียนเสวี่ยเขย่ากำปั้นน้อย“ฮูเร่!”
“ใช่ อย่ากลัว”
“พี่ ข้าอยากถามมาตลอด ฮูเร่คืออะไร?”
“คือ..”เย่อันผิงหยุดและอธิบาย“คิดซะว่าเป็นคำพูดปลุกใจคนเฉยๆ”
“โอ้”
ทั้งสองเดินไปตามถนนสักพัก ตอนนั้นเอง เสียงกลองก็ดังจากข้างหน้า วันนี้ดูเหมือนจะมีงานแต่ง
ไม่นานนัก ขบวนเจ้าสาวก็ปรากฏ
เกี๊ยวแดงนำทาง ตามด้วยคนนับสิบที่ถือไก่ เป็ด ปลา เสียงกลองดังเหมือนงานเทศกาล
เย่อันผิงไม่พบมันในนิยาย แต่เพ่ยเหลียนเสวี่ยสนใจมาก นางจ้องมันด้านหน้า ความกลัวก่อนหน้าหายไป นางอยากจะนั่งบนเกี๊ยวแดงบ้าง
พูดก็พูด มันเป็นปกติ เพ่ยเหลียนเสวี่ยคือเด็กสาวจากตระกูลธรรมดา ในโลกนี้ เด็กสาวเช่นนางจะโตมาเพื่อหวังแต่งงานเข้าตระกูลดีๆตอนวัย15
ปีนี้นาง 14 แล้ว
หลังคิด เย่อันผิงก็ถาม“เจ้าอยากไปดูตรงนั้นไหม?น่าจะมีงานแต่งนะ”
นางรีบละสายตา และหลังลังเล นางก็ส่ายหัว”เรากำลังตามหาผู้บ่มเพาะมารกันอยู่นี่?เราจะไปมีเวลาดูคนอื่นแต่งงานกันได้ไง?’
“ไม่เป็นไร เจ้าคงไม่เคยเห็นงานแต่งมาก่อนใช่ไหมละ?”
“ข้าอ่านมันในหนังสือ”
“เราไปดูกันเถอะ”
เย่อันผิงลากนางไปหน้าประตูบ้านใครก็ไม่รู้ที่จัดงานแต่ง
เขาอธิบายกับอีกฝ่ายว่ามายินดีด้วย และหลังแสดงป้ายของสำนักร้อยดอกบัว พวกเขาก็ได้รับเชิญในที่พิเศษ
อย่างไม่คาดคิด ตอนเขานั่งที่โต๊ะ เขาตระหนักว่ามีผู้บ่มเพาะบางคนที่มากินเหมือนพวกเขา
พวกเขานั่งโต๊ะแปดคน เป็นผู้บ่มเพาะหมด และทันทีที่เย่อันผิงนั่งลง ชายหนุ่มข้างเขาก็เริ่มคุย
“พวกเจ้าว่างเลยมาดูคนอื่นแต่งงานกันใช่ไหม?”
“ฮี่ ผู้อาวุโสพูดถูก”เย่อันผิงพยักหน้า“น้องสาวข้าไม่เคยเห็นงานแต่งมาก่อน นางอยากรู้ ในเมื่อเรามา ข้าเลยพานางมาดู”
“โอ้ พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันนี่เอง”
เย่อันผิงมองผู้บ่มเพาะคนอื่นที่โต๊ะ พร้อมทักทายพวกเขา และถามว่าได้ยินชื่ออู่โหยวกันไหม
แต่ตอนเขาเห็นชายในโต๊ะ เขาก็ตระหนักว่าไม่ต้องถามอีก
ชายคนนั้นมีทั้งเสน่ห์แบบผู้ชายและหญิง ใบหน้าดูเป็นกลาง ผมของเขามัดเป็นมวยยาวสองข้าง รูม่านตาสีม่วงฉายแสงชั่วร้าย
ไม่ต้องสงสัยว่าหน้าตานี้กับอารมณ์นี้ตรงกับปรมาจารย์ใหญ่ของสำนักพิษมารในเกม
แต่ปัญหาคือ ทำไมเขา ผู้บ่มเพาะมารถึงมางานแต่งของคนธรรมดาเพื่อกินข้าว?เขาว่างนักเหรอ?
เย่อันผิงไม่กล้าจ้องเขานาน หลังพยักหน้า เขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยก็มองเจ้าบ่าวเจ้าสาว ที่กำลังดื่มกับแขก
แต่ อู่โหยวริเริ่มคุยกับพวกเขา
“เห้ เจ้าหนู ข้าคิดว่าเจ้าอายุแค่ 14 15 แต่ก็ถึงขั้นสามของหลอมลมปราณแล้ว อนาคตเจ้าดูสดใสนะ”
“อ่า..”หลังได้ยินเสียงที่แยกเพศไม่ออก เย่อันผิงก็แกล้งเป็นเด็กหนุ่มขี้อาย“ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้อาวุโส อาจารย์สอนข้ามาดี”
“ส่วนเด็กสาวคนนี้ก็ด้วย..ถ้าข้าเดาไม่ผิด นางบรรลุขั้นสมบูรณ์ของหลอมลมปราณแล้วใช่ไหม?”
“น้องสาวข้ามีพรสวรรค์และขยันฝึก”เย่อันผิงยิ้ม เกาหลังหัว จากนั้นก็ตบไหล่เพ่ยเหลียนเสวี่ย ลากสายตานางกลับจากเจ้าบ่าวเจ้าสาว“น้องพี่ ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังชมเจ้า”
“อา…”เพ่ยเหลียนเสวี่ยมองอู่โหยวและพยักหน้า“ขอบคุณสำหรับคำชม ผู้อาวุโส”
อู่โหยวยิ้ม พยักหน้าให้ทั้งสอง ขยับไหสุรามาเติมชามด้านหน้าเย่อันผิงและเพ่ยเหลียนเสวี่ย
“สองพี่น้อง มังกรและหงส์ถูกลิขิตให้เป็นอัจฉริยะในอนาคต ถือซะว่าสุราสองชามนี้คือการสร้างมิตรภาพ”
เย่อันผิงพยักหน้าและยิ้ม มองสุราสองชามด้านหน้าเขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ย
สุราภายในใส ไม่มีอะไรผิดปกติในแวบแรก แต่เขารู้ว่ามันต้องมีคาถา
มันดูเหมือนว่าอู่โหยวจะรู้แล้วว่ารากปราณของเพ่ยเหลียนเสวี่ยพิเศษ
แต่ ความพยายามสิบปีของเขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยไม่ได้สูญเปล่า หลังฝึกสิบปี รวมถึงกินยาพิษทุกชนิด นี่จะไม่มีผลกับพวกเขาเลย
“น้องพี่ ดูสิ ผู้อาวุโสรินสุราให้เรา’
“อา..โอ้ ขอบคุณ ผู้อาวุโส”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยดื่ม ตบไหล่เย่อันผิงและร้อง“พี่ ดูสิ ดูนั่น เจ้าบ่าวเจ้าสาวทำความเคารพกันแล้ว!”