ตอนที่ 3 น้องสาวโกรธ
ตกดึก
งานเลี้ยงจบ เย่อันผิงนั่งในห้องนอนขณะเรียบเรียงแผนการ
ตามพล็อตเกม เหตุผลที่อู่โหยวทำลายสำนักร้อยดอกบัวก็เพราะเคล็ดบ่มเพาะของเขา เขาต้องสังเวยชีวิตมาเยียวยาบาดแผลและเหตุผลสำคัญสุดคือพระเอกทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส
ก่อนอู่โหยวจะมาสถานที่นี้ เขาเจอกับพระเอกที่กำลังทดสอบเข้าสำนักดาวดำในเมืองอู่ซีห่างสองร้อยลี้ เพราะพรสวรรค์พิเศษที่พระเอกมี อีกฝ่ายเลยอยากได้เขามาเป็นเตาหลอมมนุษย์ จึงเกิดการสู้กัน
พระเอกแค่หลอมลมปราณและควรแพ้ง่ายๆ แต่เพราะเขามีสายเลือดของจักพรรรดิศักดิ์สิทธิ์ เขาเลยทำให้อู่โหยวบาดเจ็บสาหัสได้ในวินาทีสุดท้าย
ตาม’การลอบโจมตี’ หลังพระเอกทำร้ายอู่โหยวด้วยแหวนแห่งแสง เขาจะบาดเจ็บ พลังถดถออย นี่คือเวลาอันดีให้เขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยลงมือ
ระหว่างการฟื้นฟูของเขา ฐานบ่มเพาะของเขาต้องไม่เกินขั้นกลางของก่อตั้งรากฐาน
“เรามีแค่โอกาสเดียว”
ชายคนนี้ต้องไม่มีโอกาสได้พักหายใจ
ตราบเท่าที่อู่โหยวตาย สำนักร้อยดอกบัวจะปลอดภัย เมื่อสำนักปลอดภัย เขาถึงจะรอดและมีโอกาสพัฒนาทีหลัง แต่งงานกับสาวๆ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
เย่อันผิงพยักหน้าเคร่งขรึมและมองเครื่องมือบนโต๊ะที่ใช้แสดงเดือนและปี ถ้าเขาจำไม่ผิด พระเอกจะเจออู่โหยวในอีกสิบสามวัน เขากับเพ่ยเหลียนเสวี่ยควรเตรียมตัวไป
พวกเขาต้องไปเมืองอู่ซีล่วงหน้า
ด้วยความคิดนี้ เย่อันผิงดึงผ้าพันแผลบนตัวออก วิ่งไปตู้เสื้อผ้าเพื่อเก็บของ เขายัดยาและของวิเศษทั้งหมดที่มีลงกระเป๋า จากนั้นก็ทิ้งจดหมายไว้เพื่อหยุดเย่อาวกับกงยู่หลานจากการตามหา
เย่อันผิงคิดสักพักก่อนเขียนจดหมาย
เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาเตรียมการมาสิบปีจะล้มเหลว แต่ต่อให้เขาไม่กลัว แต่ก็เผื่อไว้
เขาเขียนว่า[ท่านพ่อ ข้าพาเพ่ยเหลียนเสวี่ยไปฆ่าปรมาจารย์สำนักพิษมาร ถ้าเราไม่กลับมาก่อนวันที่15ของเดือนถัดไป โปรดพาศิษย์และผู้อาวุโสทั้งหมดหนีไปทันที ไปสำนักดาวดำเพื่อขอลี้ภัย ข้ารู้ว่าท่านไม่เคยเชื่อสิ่งที่ข้าพูด แต่โปรดฟังข้า]
หลังทิ้งจดหมายไว้ เขาก็เปิดประตู มองออกไป เห็นว่าแสงไฟข้างห้องดับ แสดงว่าเสี่ยวเตี๋ยหลับ จากนั้นเขาก็ปิดประตู กระโดดจากหน้าต่าง วิ่งไปจวนน้อยที่เพ่ยเหลียนเสวี่ยอาศัย
…
เพ่ยเหลียนเสวี่ยเพิ่งกลับจากศาลาสวรรค์และดูเหนื่อย
ช่วงบ่าย เพราะนางเล่นงานเย่อันผิง กงยู่หลานเลยมา
กงยู่หลานส่งเย่อันผิงไปโรงหมอเพื่อรักษาทันทีและพานางไปศาลาสวรรค์ ที่นางโดนต่อว่า
นางโดนต่อว่าสามชั่วโมงเต็ม
สุดท้าย มันเป็นเย่อาวที่มาช่วยนาง และหลังนางเขียนกระดาษว่านางจะไม่มีวันทำร้ายเย่อันผิงอีกในอนาคต กงยู่หลานถึงยอมปล่อยนาง
“มันเป็นเขาแท้ๆที่ขอให้ข้าสู้..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยบ่นและพองแก้ม แต่หลังนางคิด นางก็รู้สึกว่านางโชคดีแล้วที่ไม่โดนไล่
เย่อันผิงคือนายน้อยของสำนัก ส่วนนางแค่ศิษย์ธรรมดา
ศิษย์ธรรมดาทุบตีนายน้อยของสำนักจนนอนเตียง ถ้าเป็นสำนักอื่น นางคงโดนไล่ไปนานแล้ว ถ้ากฎของสำนักเข้มงวดกว่านี้ นางอาจโดนโบยจนตาย
นางรู้ว่านางแตกต่างจากเย่อันผิง เขาคือนายน้อยที่เกิดในตระกูลผู้บ่มเพาะ ส่วนพ่อแม่นางแค่คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตโดยการทำไร่
ในฐานะลูกสาวของตระกู,ธรรมดา นางกลับเดินบนวิถีเซียนได้ ทั้งหมดเพราะเย่อ่าวพานางมาจากตระกู,เพ่ย
เพราะเหตุนี้ พ่อแม่นางเลยมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
สองเดือนก่อน ตระกูลเพ่ยส่งจดหมายมา จดหมายบอกว่าพวกเขาได้รับตำแหน่ง’ตระกูลเซียน’จากจักรพรรดิ พ่อนางถูกเรียกไปเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งขุนนางขั้นหก และตอนนี้นางก็มีน้องชายและน้องสาวสองคน
เพ่ยเหลียนเสวี่ยหยิบหินน้ำหินไฟออกมา โยนลงอ่าง จากนั้นก็ถอดชุด ทดสอบอุณหภูมิน้ำด้วยเท้าก่อนจะแช่ตัว
“อืม ข้าควรขอวันหยุดประมุขไปเยี่ยมพ่อแม่ ข้าไม่เจอพวกเขามาสิบปีแล้ว”
นางไม่รู้ว่านางนั่งแช่อยู๋นานแค่ไหตอนประตูห้องนอนนางถูกเปิดเสียงดัง
เพ่ยเหลียนเสวี่ยดีดตัวจากอ่างด้วยความตกใจ พร้อชักกระบี่ แต่พอนางลุก ร่างงนั้นก็เดินอ้อมฉากกั้นมายืนตรงหน้านาง
“น้องพี่ รีบเก็บของเร็ว เราจะไปกัน”
“..”
พอเห็นเย่อันผิงสะพายเป้ใหญ่ เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ตกตะลึงจนลืมปกปิดเรือนร่าง
“อย่ายืนเฉยสิ เราต้องเดินทางอีกไกล”
“..”
“ถ้าเราพลาด การเตรียมการสิบปีจะสูญเปล่า”เย่อันผิงมองหน้าอกนาง จากนั้นก็มองรอบห้อง วิ่งไปที่แขวนชุด หยิบชุดนางและโยนให้นาง“รีบสวมชุดเร็ว จากนั้นก็เอาเม็ดยาและหินปราณทั้งหมดใส่กระเป๋าด้วย เอาชุดไปเพิ่มด้วย..”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยคว้าชุด จากนั้นถึงรู้ตัวว่านางเปลือย ใบหน้านางแดงก่ำ นางรีบคลุมตัวด้วยชุดที่เขาโยนมา
“เจ้า..”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยนรู้สึกว่าเลือดนางเดือด เปลือกตากระตุก เส้นเลือดปูดบนหน้าผาก
แต่เย่อันผิงไม่สังเกตเลย เขาแค่ถอนหายใจและเดินไปช่วยนางแต่งตัว
“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?เจ้ายังต้องให้พี่ใหญ่ช่วยแต่งตัวอีกเรอะ”
ครั้งนี้ เพ่ยเหลียนเสวี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไปและเหวี่ยงหมัดซัดหน้าเขาเต็มเหนี่ยว เย่อันผิงปลิวกระเด็นทะลุหน้าต่าง
ในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามของเพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ดังจากในห้อง“โรคจิต!”
..
หลังเพ่ยเหลียนเสวี่ยแต่งตัว นางก็เดินออกไป ลากเย่อันผิงที่หมดสติเข้าห้อง ปลุกเขาด้วยน้ำมันหอม
ต่อมา เย่อันผิงก็นั่งหน้ากระจก จ้องแก้มขวาที่บวมอย่างหน่ายใจ
“น้องพี่ เจ้าชกข้าทำไม?”
“ยังถามอีก?”เพ่ยเหลียนเสวี่ยอยากซัดหน้าเขาอีกหมัด“ข้ากำลังอาบน้ำ แล้วเจ้าก็พุ่งเข้ามา..และ..”
“แค่นั้น?”
เพ่ยเหลียนเสวี่ยดูเหลือเชื่อ“แค่นั้น?เจ้าเห็นข้าหมดเลยนะ!”
“ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็น และเด็กสาวอายุ14ก็ไม่มีอะไรให้น่าดูเลย”เย่อันผิงผายมือ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง“รีบเก็บของเร็ว เราต้องไปเมืองอู่ซี ถ้าเราพลาดเวลานี้ ทั้งเจ้าและสำนักจะจบสิ้น”
“..”
พอมองใบหน้าจริงจังของเย่อันผิง เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็พูดไม่ออก
“พี่พูดจริงเหรอ?’
“ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้ว?ข้าจริงจังเสมอ ผู้บ่มเพาะมารนั่นควรอยู่ในเมืองอู๋ซีแล้ว”
“งั้น..”เพ่ยเหลียนเสวี่ยหยุดและถาม“ทำไมไม่ไปคุยกับท่านประมุข?”
“คุยกับพ่อข้าก็ไม่ได้อะไร ของวิเศษและเคล็ดบ่มเพาะของเขาด้อยกว่าคนนั้น มันไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยบอกเขา แต่เขาคิดว่าข้าอ่านนิยายเยอะไป”
เย่อันผิงถอนหายใจ ยืนขึ้น จับมือเพ่ยเหลียนเสวี่ย
ตอนเขาจับมือนาง นางก็ก้าวถอย แก้มแดง“อา..เจ้า..เจ้าจับมือข้าทำไม?”
“น้องพี่ ไม่ว่ายังไง โปรดเชื่อใจข้า ความพยายามตลอดสิบปีก็เพื่อวันนี้”
“โอ้..”นางมองเขา“แต่..แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าผู้บ่มเพาะมารไม่ได้มีพลังลดไปครึ่ง เราจะไม่ไปตายเหรอ?”
“เชื่อข้า เจ้าเอาชนะเขาได้ ข้าจะไปกับเจ้า ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะตามเจ้าไปประตูนรกด้วย”
พอได้ยินแบบนี้ เพ่ยเหลียนเสวี่ยก็ผงะ
ตายด้วยกัน?
มันเกือบฟังเหมือนการประกาศความรัก
เพ่ยเหลียนเสวี่ยหลบสายตาและพูดอายๆ“พี่ อย่าพูดแบบนั้น มันจะนำโชคร้ายมา”
เย่อันผิงขมวดคิ้วและส่ายหัว“ข้าจริงจัง”
เย่อันผิงได้ตัดสินใจแล้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นและเพ่ยเหลียนเสวี่ยเอาชนะไม่ได้ งั้นเขาจะแทงนางให้ตายเอง
ไม่ว่ายังไง เขาก็มีความสัมพันธ์พี่น้องกับนางมากกว่าสิบปี เขาจะไม่ให้นางตกอยู่ในมืออีกฝ่าย
แน่นอน เพ่ยเหลียนเสวี่ยไม่เข้าใจความหมายของเย่อันผิง นางรู้สึกแค่ว่าเขากำลังแสดงความรัก
พอเห็นเขาขมวดคิ้ว นางก็ลังเล เม้มปากและพยักหน้า“งั้น..งั้นข้าจะไปเก็บของ”