บทที่ 155 เป็นแม่สื่อ
ฉินชิงยอมรับความผิดพลาดของตน และเรื่องนี้ก็ถูกคลี่คลายลง แต่เรื่องหาคู่ให้น้องสาวยังเป็นสิ่งที่ต้องทำ
“ฝ่าบาท พระองค์เข้ามาช่วยหาคู่ให้น้องสาวของหม่อมฉันดีหรือไม่เพคะ? น้องสาวของหม่อมฉันก็คือลูกสาวคนโตของท่านลุงรองฉินห้าว นามว่าฉินหลี่ ตอนนี้อายุก็ใกล้แล้ว ลุงรองของหม่อมฉันกังวลเรื่องการเลือกคู่ให้นางมากเพคะ”
“ฉินห้าวหรือ เจิ้นรู้จัก ชิงเอ๋อร์ลองพูดมาก่อนว่าถูกใจคนไหน?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเลือกไว้สามคนเพคะ รู้สึกว่าพวกเขาไม่เลว คนหนึ่งเป็นลูกชายของแม่ทัพเฉิน คนหนึ่งเป็นลูกชายของท่านโหวอู่ชาง และอีกคนก็คือแม่ทัพหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างล่าง ฝ่าบาทรู้สึกว่าคนสามคนนี้เป็นอย่างไรเพคะ?”
“เจิ้นรู้สึกว่าสามคนที่เจ้าเลือกมาใช้ไม่ได้เลย?”
เมื่อได้ยินเหลียงอี้พูดประโยคนี้ออกมา ฉินชิงก็งงจนอึ้ง
“ใช้ไม่ได้หมดเลยหรือเพคะ?”
“ลูกชายของแม่ทัพเฉินเป็นที่หมายปองของลูกสาวของเจ้ากรมอาญามานานแล้ว ตาเฒ่าผู้นั้นไปสู่ขอเพื่อลูกสาวของตนอยู่หลายครั้ง เจิ้นเองก็คิดจะอนุญาตแล้ว ดังนั้นลูกชายของแม่ทัพเฉินผู้นี้เลิกคิดไปได้เลย”
“เช่นนี้เองหรือ ช่างน่าเสียดาย หม่อมฉันยังคิดอยู่เลยว่าหากน้องสาวได้เห็นลูกชายของแม่ทัพเฉินผู้นี้ต้องชอบมากแน่นอน เช่นนั้นสาเหตุของอีกสองคนคืออะไรเพคะ?”
“ท่านโหวอู่ชางประจำการอยู่ที่ชายแดน ลูกชายของเขาได้ขอตำแหน่งสำคัญไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ราชฎีกาส่งมาถึงเจิ้นเมื่อสองเดือนก่อน ทันทีที่จบงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลินี้ เขาจะออกเดินทางทันที เจ้าคงไม่อยากให้น้องสาวไปด้วยใช่หรือไม่? อีกอย่างแม้ว่าน้องสาวของเจ้าไม่ไป แต่หญิงสาวเพิ่งแต่งงานที่ต้องนอนเฝ้าห้องหออย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้นคงทรมานไม่ใช่น้อย”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เหลียงอี้ก็คิดถึงชายหน้าเหลี่ยมผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งรองแม่ทัพด้านหลังตำแหน่งแม่ทัพ จึงกล่าวกับฉินชิงว่า
“ส่วนคนสุดท้าย เจ้าน่าจะหมายถึงรองแม่ทัพเหลียน แม่ทัพสวีให้ความสำคัญกับเขามาก แต่หากจะให้แต่งงานกับน้องสาวเจ้า เกรงว่าฐานะคงยังไม่พอ”
“แล้วคนที่ได้ที่สองในงานล่าสัตว์เมื่อสองสามวันก่อนเป็นใครเพคะ? เหมาะสมกับน้องสาวของหม่อมฉันหรือไม่?”
“แม่ทัพหลิว แต่เขาแต่งงานนานแล้ว มีลูกหลายคนแล้ว จะให้แต่งกับน้องสาวเจ้าไม่ได้”
ฉินชิงไม่คิดว่าทั้งสามคนที่นางเลือกมาจะไม่ได้เลยสักคน และอันดับสองในงานล่าสัตว์ก็ไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่ได้หมดเลยหรือ แล้วหม่อมฉันจะรายงานให้ท่านแม่ฟังอย่างไร”
เหลียงอี้เห็นท่าทางกลุ้มใจของฉินชิงจึงพูดต่อ
“แม้ว่าจะไม่ได้ในสามคนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องสาวเจ้าจะแต่งงานไม่ได้ ในเมืองหลวงที่ใหญ่ขนาดนี้ อย่างไรก็หาเจอ ไม่ใช่ว่าจะต้องหาแค่ในหมู่แม่ทัพเท่านั้น”
“ฝ่าบาท ท่านไม่เข้าใจ น้องสาวของหม่อมฉัน รำดาบถือหอกตามท่านลุงรองมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ นางแทบไม่มีความเป็นเด็กผู้หญิง แม้ตอนนี้ท่านป้ารองจะเริ่มสั่งสอนนางมากขึ้น ถึงได้เพลาๆ ลงหน่อย แต่ก็ยังมีอารมณ์ร้อน ถ้าเลือกคนธรรมดาให้นาง หากมีสิ่งใดที่ไม่พอใจ หม่อมฉันกลัวนางพร้อมจะหาเรื่องลงไม้ลงมือทันที”
หลังจากเหลียงอี้ได้ฟังสิ่งที่ฉินชิงกล่าวมาจึงเงียบไป อย่าโทษเขาเลย เพราะเขาอยู่แต่ในวังมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเห็นสตรีคนไหนที่อารมณ์รุนแรงเยี่ยงนี้ สตรีในวังหลวงต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็ไม่กล้าลงมือตรงๆ ล้วนแต่วางแผนลับหลังเท่านั้น
แต่คิดไปคิดมา คนในเมืองหลวงที่กลัวภรรยาตัวเองก็เกรงว่าจะมีอยู่จริงๆ เหมือนกับแม่ทัพสวีหัวหน้าตระกูลสวีที่กลัวภรรยามาก มีข่าวลือว่าแม่ทัพสวีถูกฮูหยินของเขาตบตีและด่าทออยู่บ่อยๆ
“น้องสาวของเจ้านิสัยเช่นนั้น ฮูหยินของแม่ทัพฉินคงจะกลุ้มใจน่าดู”
“ใช่เพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยของน้องสาวหม่อมฉันเป็นเช่นนี้ ป้ารองก็คงไม่ใช้กำลังทั้งหมดของครอบครัวช่วยหาคู่ให้นาง ทำให้เรื่องมาถึงท่านแม่ของหม่อมฉัน จนท่านแม่ต้องมาขอให้หม่อมฉันช่วย คงจะกลุ้มใจมาก”
เหลียงอี้มองท่าทางของฉินชิง กลับนึกถึงคนคนหนึ่ง
“เมื่อครู่พูดถึงแม่ทัพสวีกับเจ้า เจิ้นก็นึกขึ้นได้ว่าแม่ทัพสวีมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ตอนนี้น่าจะถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว ไม่รู้ว่ามีคู่หมั้นแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มี เจิ้นคิดว่าค่อนข้างเหมาะสมมาก”
“ฝ่าบาท แล้ววันนี้ลูกชายของแม่ทัพสวีคนนี้มาหรือไม่?”
“ครั้งนี้ไม่ได้มาด้วย คำนวณตามเวลาก็น่าจะกลับมาจากทางใต้ในอีกสองวัน”
“เช่นนั้นฝ่าบาทเคยเห็นเขาหรือไม่? คุณสมบัติเขาเป็นอย่างไร นิสัยของเขาเป็นเช่นไร? หน้าตาดีหรือไม่?”
ฉินชิงคิดว่าสามคำถามนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเจรจาสู่ขอให้คนอื่นอยู่
“เห็นน่ะเคยเห็น ตอนที่เด็กคนนั้นไปทางเหนือเมื่อสี่ปีก่อน เจิ้นเคยพบหน้า ถ้าเป็นเรื่องคุณสมบัติไม่น่าจะมีปัญหา คนตระกูลสวีไม่เลวเลย ส่วนนิสัยเจิ้นเองก็ไม่รู้ เรื่องหน้าตา ตอนที่เจิ้นเห็นเขาก็น่าจะใช้ได้อยู่”
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ คนที่ฝ่าบาทรู้จักได้แต่งงานกับน้องสาวของหม่อมฉันก็น่าจะพอแล้ว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทีหลัง ขอบพระทัยฝ่าบาทนะเพคะ”
“ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทพระราชทานงานมงคลสมรสให้พวกเขาได้หรือไม่เพคะ?”
“ได้น่ะได้ แต่เหตุใดในเวลาไม่นานเช่นนี้เจ้าก็คิดไปไกลแล้วเล่า?”
“นั่นไม่ใช่เพราะการที่ฮ่องเต้พระราชทานงานมงคลสมรสให้เป็นเรื่องสำคัญมากหรือเพคะ? ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นคนเลือกเอง”
ฉินชิงกะพริบตาปริบๆ มองเหลียงอี้ แล้วจับแขนเสื้อของเหลียงอี้
เมื่อเหลียงอี้เห็นท่าทางของฉินชิงเป็นเช่นนี้ก็ยอมแพ้แล้ว “เอาละ ถ้าเกิดตอนนั้นสำเร็จแล้ว เจิ้นจะจัดการเรื่องงานแต่งให้เอง ดีหรือไม่”
“ดีเพคะๆๆ ไม่มีเรื่องไหนดีเท่าเรื่องนี้แล้ว”
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องบอกแม่ของเจ้า ฮูหยินใหญ่ตระกูลสวีเป็นคนที่มีอำนาจมาก ในเมืองหลวงมีข่าวลือว่าหัวหน้าตระกูลสวีถูกฮูหยินสั่งสอนเกือบตาย ถ้าน้องสาวของเจ้าแต่งงานเข้าไป เกรงว่าอาจต้องถูกเคี่ยวเข็ญหลายปี อีกอย่างในหลายสิบปีนี้ เกรงว่าคงยังไม่ได้เป็นฮูหยินใหญ่”
เมื่อฉินชิงได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็คิดว่าการกลัวแม่สามีเป็นประเพณีที่ดี จึงประกาศในใจของตนว่าถ้าน้องสาวชอบละก็ คนนี้ก็คือสามีของน้องสาวแล้ว
“ไม่กลัวๆ น้องสาวของหม่อมฉันอยู่ในสนามฝึกมาหลายปี ความลำบากเหล่านั้นนางเคยได้รับมาหมดแล้ว จะกลัวสิ่งนั้นได้อย่างไร อีกอย่างหม่อมฉันก็ยังไม่ตาย แม้ว่านางจะมีชื่อหลี่ แต่จริงๆ แล้วเรื่องงานบ้านก็ไม่ค่อยได้สนใจขนาดนั้น มีแม่สามีคอยดูแลบ้านก็ดี เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเลยเพคะ”
“เจ้าช่างมีสายตาหลักแหลมจริงๆ”
“แต่ฝ่าบาทไปรู้ข่าวลือพวกนี้มาได้อย่างไรเพคะ? ทั้งยังรู้ละเอียดอีกด้วย?”
“เพราะในหนึ่งวันเจ้าไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเขียนอยู่ในหนังสือทั้งนั้น”
“หม่อมฉันอ่านหนังสืออยู่นะเพคะ หลายวันก่อนยังอ่านซื่อโจวจื่ออยู่เลย”
“เจ้าก็เอาแต่อ่านหนังสือเช่นนั้น หนังสือที่เจ้าอ่านก็เขียนแต่ของกินอร่อยกับของเล่นสนุก”
พอฉินชิงได้ยินคำโต้แย้งของเหลียงอี้ก็พูดไม่ออกทันที จริงๆ แล้วนางไม่ได้อ่านหนังสือ แต่อยากอ่านของกินอร่อยและของเล่นสนุกๆ ที่อยู่ในนั้น และที่พูดมาเช่นนี้ก็ไม่ผิด
“แล้วฝ่าบาทรู้เรื่องข่าวลือได้อย่างไร? เรื่องนี้คงไม่ได้อ่านเจอในหนังสือหรอกกระมัง”
“ไม่ใช่หรอก เจ้ารู้จักภัตตาคารเทียนเซี่ยในเมืองหลวงหรือไม่?”
“ย่อมรู้อยู่แล้วเพคะ ตึกชื่อดังในเมืองหลวง บัณฑิต นักกวี และผู้มีอำนาจในราชสำนักต่างก็ชอบไปที่นั่นกัน พี่ชายของหม่อมฉันสอบขุนนางเสร็จก็ไปกินอาหารที่นั่นเหมือนกัน”
“ภัตตาคารเทียนเซี่ยเป็นภัตตาคารที่เจิ้นเปิดเอง”
“หรือว่าฮ่องเต้เปิดภัตตาคารเทียนเซี่ยไว้เพื่อสืบข่าวหรือเพคะ?”
เมื่อเห็นว่าฉินชิงทายถูกแล้ว เหลียงอี้ก็ประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฉินชิงเห็นท่าทีของเหลียงอี้ อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ตนเป็นเพียงสนมในวังหลัง จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร พลาดแล้วๆ
“เอ่อ...หม่อมฉันอ่านเจอในหนังสือ ใช่ เจอในสมุดบันทึกเพคะ”
“ในสมุดบันทึกเขียนเรื่องนี้ไว้ด้วยหรือ?”
“เพคะ ฝ่าบาทไม่อ่านสมุดบันทึกย่อมไม่รู้ ในสมุดบันทึกเขียนไว้ทุกอย่าง ในนั้นเขียนไว้ว่าสถานที่เช่นโรงเตี๊ยมง่ายต่อการรวบรวมข่าวสารที่สุด ถึงได้เดาเรื่องพวกนี้ได้เพคะ”
“เจิ้นจะฝืนใจเชื่อเจ้าสักครา”