ตอนที่ 3
“ข้าก็ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงเป็นพิเศษนักหรอก” เขาตอบ.
พอเขากล่าวเสร็จ โมลิเทียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ. เธอนึกว่าเธอเป็นคนเดียวที่ชอบอยู่บนระเบียงมืดๆอย่างเหงาๆมากกว่าอยู่ในห้องจัดเลี้ยงอันงดงามเสียอีก. ไม่นึกเลยว่า จู่ๆ ก็มีคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันปรากฏขึ้น. ด้วยสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว โมลิเทียก็สามารถลืมไปชั่วครู่ได้เลยว่างานมันน่าเบื่อแค่ไหน.
เธอไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในสมองของเธอ. บางที เพลงที่อยู่ข้างหลังพวกเธออาจทำให้เธอตื่นเต้นขึ้น หรือบางที อาจเป็นเพราะการต่อต้านที่เธอไม่เคยแสดงให้พ่อของเธอเห็นก็ได้. โมลิเทียหันไปหาชายตรงหน้าเธอและถามบางอย่างที่เธอไม่เคยคิดว่าจะพูดออกมาได้ไป.
“เจ้าอยากนอนกับข้าไหม”
"หา . . .?“ดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้างออกด้วยความประหลาดใจกับคำถามกะทันหันของเธอ”เจ้าดื่มมากเกินไปหรือเปล่า?”
“ข้าไม่ได้จิบแอลกอฮอล์เลยด้วยซ้ำ” โมลิเทียพูดพร้อมส่ายหัว. ในฐานะที่เป็นคนที่ป่วยบ่อย แม้ว่าเธอจะได้กินแต่สิ่งที่ดีที่สุด แต่เรื่องเหล้ายานั้นเป็นสิ่งต้องห้าม. ใบหน้าของเธอแดงเล็กน้อยจากความหนาวเย็น แต่เธอก็ทนไหว.
“เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดของเจ้าหมายถึงอะไร” ชายคนนั้นถาม.
“ข้ารู้” โมลิเทียตอบ.
หากมองข้ามเรื่องที่ปลายนิ้วของเธอแข็งเพราะความเย็นจากข้างนอกแล้ว ร่างกายของเธอก็อยู่ในสภาพที่ดีกว่าปกติ. ดวงตาที่ไร้เดียงสาของเธอจ้องมองไปที่เขา.
“เจ้าไม่ชอบข้อเสนอของข้าเหรอ?” โมลิเทียถาม.
“ฮ่า!” ชายคนนั้นพูดและเดาะลิ้นของเขา. น้ำเสียงสบายๆ ของเธอทำให้เขางงงวย และสายตาที่สับสนของเขาก็กวาดไปที่โมลิเทีย.
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” เขาถาม.
“เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงนี้ สถานะของเจ้าก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว.” โมลิเทียกล่าว
“นี่เจ้าพูดออกมาอย่างไม่คิดเพราะเจ้าไม่รู้จักใครเลยเหรอ?” ชายคนนั้นถาม. เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไร. เขาหัวเราะและจับเอวของเธอเข้ามา. ดวงตาของเขาเยาะเย้ยโมลิเทียอย่างชัดเจน “เจ้าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่พูดทีหลังใช่ไหม?”
“ไม่แน่นอน” โมลิเทียตอบ.
ทันทีที่นางพูดจบ ริมฝีปากแห้งของเธอก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่นของเขา. เขาปิดผนึกริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเธอด้วยปากของเขา จากนั้นก็ใช้ลิ้นของเขายั่วยวนเธออย่างเชี่ยวชาญ.ลิ้นของเขาขยับเข้าไปในปากของเธออย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอหายใจไม่ออก. ทุกครั้งที่ลิ้นของเขากวาดไปมาอย่างรุนแรง เธอก็ส่งเสียงเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย.
ริมฝีปากของเขาที่ประกบกับเธอขยับออกไปในทันที. เมื่อเขาเห็นลิปสติกที่เปื้อนของเธอผสมกับน้ำลาย เขาก็หัวเราะออกมา.
“เป็นไงบ้างล่ะ” ชายคนนั้นถาม.
หัวใจของเขาสั่นไหวเมื่อเขามองดูไหล่เล็กๆ ที่สั่นเทาของเธอ. ความรู้สึกดีๆ ตอนที่พวกเขาจูบกันยังคงอยู่ในใจของเขา แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่อ่อนไหวในเรื่องอารมณ์นัก. เขาจะไม่หลงกลด้วยอุบายเช่นนี้แน่. เขารอให้เธอหายหอบและใจเย็นลง.
“ข้า, ไม่เป็นอะไร” โมลิเทียกล่าว
"อะไร?"
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้เขารู้สึกอับอาย. แน่นอนว่า เขาแค่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงโง่เขลาที่เติบโตมาในเรือนกระจก. ดวงตาที่ไร้เดียงสาของเธอเพียงพอที่จะทำให้เธอดูเหมือนสาวที่ยังบริสุทธิ์อยู่ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแค่จูบก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอหวาดกลัว. เขาขมวดคิ้วขึ้นมา. เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ.
“หยุดกันเถอะ. ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่อย่าปล่อยตัวจะดีกว่า” ชายคนนั้นกล่าว.
ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว. ชายคนนั้นหันกลับไปโดยไม่ปิดบังความไม่พอใจบนใบหน้าของเขาเลย. ขณะที่เขาเดินจากไป เขาก็รู้สึกว่ามีการดึงชายเสื้อของเขาอย่างอ่อนแรงอยู่. เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นผู้หญิงที่ดูมุ่งมั่น. เขาไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะหมดหวังมากกว่าตะกี้เล็กน้อย.
"ไม่ใช่แบบนั้นหรอก. ข้าคิดดีแล้ว.“โมลิเทียกล่าวและถอนหายใจเบา ๆ. นิ้วอันบอบบางของเธอสั่นเทาขึ้นมา”ข้าจะแต่งงานในสัปดาห์หน้า”
คำพูดนี้ทำให้เขาเลิกคิ้วราวกับถามว่าเธอหมายถึงอะไร.
“เป็นการแต่งงานที่พ่อแม่ของข้าตัดสินใจฝ่ายเดียว. ข้าไม่เคยเห็นหน้าสามีเลยด้วยซ้ำ.” โมลิเทียกล่าว. ขุนนางส่วนใหญ่จะจัดงานแต่งแบบคลุมถุง แต่ก็มีน้อยคนนักที่แต่งงานโดยไม่ได้เจอคู่ครองก่อน. สีหน้าเศร้าโศกของเธอทำให้เขารู้สึกสงสาร. เขาตัดกิเลสของเขาออกหลังจากการจูบสั้นๆนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากการลิ้มรสสั้นๆนั้น ทำให้ความหลงใหลที่เขามีต่อเธอเพิ่มสูงขึ้น.
“ข้าไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน” เธอกล่าว.
เขาหันกลับมามองเธอ. เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดต่อ แต่คำพูดของเธอก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ. เธอไม่ได้แย่เลยสำหรับความสุขระยะสั้น. เขาไปพิงราวบันไดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนใจ.