ตอนที่ 2
การตอบสนองอย่างไม่ลังเลของเคาท์ทำให้โมลิเทียรู้สึกทึ่งไป.ตระกูลลิเนริโอ. ตระกูลที่เป็นประเด็นข่าวลือมากมาย. เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับโมลิเทียเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับตระกูลลิเนริโอ.
มีข่าวลือที่น่ารังเกียจมากมายเกี่ยวกับตระกูลลิเนริโอ และมีการกล่าวกันว่าแม้ว่าตอนนี้ ดยุคแห่ง ลิเนริโอ จะเป็นดยุคแล้ว แต่สายเลือดของเขาก็ยังอยู่ในระดับต่ำอยู่ดี. ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนที่มีตำแหน่งดยุคแล้ว การปรากฏตัวต่อสาธารณะของเขานั้นมีน้อยมาก. พวกขี้นินทาชอบพูดถึงดยุคคนนี้อยู่เสมอๆ. บางคนก็บอกว่าดยุคมีสายเลือดของปีศาจ คนอื่นบอกว่าเขาสนุกกับการฆ่าทุกวันและเขาไม่สามารถกำจัดกลิ่นเลือดได้เลย.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดยุคแห่งลิเนริโอคนปัจจุบันได้ต่อสู้มาแล้วหลายครั้งในสนามรบ การปรากฏตัวของเขาแต่ละครั้ง ก็จะโชกไปด้วยเลือดเสมอ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความหวาดกลัวให้ได้แม้แต่ฝ่ายของเขาเอง. มันคือเครื่องยืนยันความน่ากลัวของเขาเวลาสู้กับศัตรู.
การแต่งงานเข้าไปในตระกูลเช่นนี้เท่ากับกำลังขอให้โมลิเทียผู้เปราะบางเข้าไปตาย.
“ลูกแต่งงานกับเขาไม่ได้ค่ะ!” โมลิเทียกล่าว
“ไม่ได้เหรอ? เจ้าคิดว่าตัวเองเลือกได้รึไง?” เคานท์เคลเมนซ์ถามออกไป ศีรษะของเขาแทบจะมีเส้นเลือดหลุดออกมา “เจ้าคิดว่าตัวเองจะมีอะไรเหลืออีกหากเจ้าปฏิเสธการแต่งงานในครั้งนี้? เจ้าคงไม่อยากโดนขายให้กับ พวกที่ซื้อยาราคาแพงไม่ได้หรอกใช่ไหม?”
"ไม่ค่ะ. ไม่ใช่แบบนั้น.... . ” โมลิเทียกล่าวออกมา.
นางอยากบอกว่ายังมีเวลาเหลืออยู่. อาจมีข้อเสนออื่นมาก็ได้. แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเคาท์ที่โกรธเกรี้ยวแล้ว เธอทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากเท่านั้น.
"แล้วยังไง? เจ้าจะทำลายตระกูลคลีเมนซ์งั้นรึ?” เคาท์กล่าว.
"ไม่ค่ะ . . . ลูกจะแต่งงานค่ะ” โมลิเทียกล่าว.
เธอมีทางเลือกเดียวเท่านั้น เพราะมีคนเสนอแต่งงานมาเพียงคนเดียว. ในท้ายที่สุดแล้ว การแต่งงานก็เป็นเพียงแค่การจบชีวิตของเธอ. ความจริงอันโหดร้ายของตัวเลือกต่างๆ ทำให้เธอรู้สึกเศร้าขึ้นมา: จะติดอยู่ในห้องนอนตลอดไปหรือถูกฆ่าขณะกรีดร้องด้วยปลายดาบ.
เคานต์กระแอมขึ้นมาในลำคอเมื่อเขาเห็นเธอดูหดหู่หลังจากที่ล้มเหลวในการปฏิเสธข้อเสนอ "ดีมาก. หากแต่งงานกับท่านดยุคได้สำเร็จ ชื่อเสียงของตระกูลเราก็จะฟื้นกลับมา”
ท่านเคานต์ไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีของเธอเลย. เมื่อมองดูพ่อของเธอที่คิดถึงแต่ตระกูลอย่างเดียวแล้ว โมลิเทียก็ถอนหายใจออกมา.
งานแต่งงานแบบกึ่งบังคับเป็นไปอย่างรวดเร็ว และวันแต่งงานที่จัดขึ้นอย่างเร่งรีบก็ใกล้เข้ามาแล้ว. หนึ่งสัปดาห์ก่อนงานแต่งงาน โมลิเทียเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เพลิดเพลินในฐานะผู้หญิงโสด.
โดยปกติแล้วเธอคงจะปฏิเสธคำเชิญเนื่องมาจากสุขภาพของเธอ แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไป. เธอถูกส่งไปในงานปาร์ตี้ในฐานะคู่หมั้นของดยุคเพื่อยกระดับศักดิ์ศรีของตระกูล.
และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่มีใครเข้าใกล้โมลิเทียเลย แม้แต่คนที่อยากรู้เรื่องข่าวการแต่งงานของเธอกับดยุคผู้น่ากลัวก็เอาแต่คุยอยู่กับเพื่อนของตนเอง, และในขณะที่งานเลี้ยงดำเนินไปนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเธอเลย.
“เห้อ” โมลิเทียถอนหายใจออกมาอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คน. ทุกอย่างดำเนินไปโดยที่เธอไม่สามารถทำตามความปรารถนาของตัวเองได้เลย ตั้งแต่เกิดจนถึงแต่งงาน. เห็นได้ชัดเลยว่าคงลงเอยแบบเดิมแน่หากปล่อยไว้แบบนี้. เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะตัดสินใจเรื่องเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ, การแต่งงานนั่นเอง.
โมลิเทียถอนหายใจอีกครั้ง ห้องจัดเลี้ยงอันแวววาวทำให้เธอเริ่มหายใจไม่ออก, ดังนั้นแทนที่จะอยู่ที่นั่น โมลิเทียจึงหันหลังให้และพบระเบียงที่ค่อนข้างเงียบสงบ. พื้นที่เปิดโล่งนั้นเย็นเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เธอได้พักหายใจ. เมื่อเธอพิงราวบันไดไปอากาศเย็นยะเยือกก็ลอยขึ้นมาจากพื้นหินอ่อน.
ร่างกายของโมลิเทียสั่นเล็กน้อย หลังจากคืนนี้เธอคงจะยุ่งกับการเตรียมงานแต่งงานอีกครั้ง. เมื่อคิดถึงของขวัญวันแต่งงานที่จะมาก่อนในห้องเธอแล้วเธอก็รู้สึกหน่ายขึ้นมา.
'ฉันหวังว่าฉันจะมีสิ่งหนึ่งที่ฉันตัดสินใจได้' โมลิเทียคิดในใจ.
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมตัวหนาคลุมเข้าที่ไหล่ของเธอไว้เพื่อกันลม. เมื่อโมลิเทียเงยหน้าขึ้นมามองเพราะตกใจกับความอบอุ่นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน. เธอก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
“เจ้ามาตัวสั่นอยู่คนเดียวอะไรที่นี่” ชายคนนั้นพูดหลังจากเห็นสีหน้าประหลาดใจของโมลิเทีย เธอหน้าแดงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเขาที่ปกติแล้วผู้คนมักแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น.
“คนอื่นๆ กำลังยุ่งอยู่กับการเต้นรำ ส่วนท่านกลับมาอยู่ในสถานที่แบบนี้. แปลกคนจังนะ” โมลิเทียกล่าว.