1244 - การหยิบยืมพลังของชาติที่แล้ว
1244 - การหยิบยืมพลังของชาติที่แล้ว
ฝ่ามือที่กดทับลงมาจากด้านบนมีขนาดใหญ่โตกว่าหมื่นวา รัศมีพลังของมันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและสร้างแรงกดดันให้กับทุกคนที่อยู่ด้านล่างอย่างรุนแรง
ในขณะเดียวกันหลิวอวิ๋นจื่อและหวังเอี๋ยนซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของปีศาจร่างสีดำสนิทก็เริ่มประสานอินและเรียกฝนโลหิตให้ตกลงมาบนยอดเขา
ฝนเหล่านี้มีความแหลมคมไม่แตกต่างจากเข็มเล่มเล็กๆ หลายล้านเล่ม พวกมันก่อตัวเป็นพายุลูกหมุนขนาดใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้าหาค่ายกลสังหารของเย่ฟ่าน
“พวกเจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป!”
เย่ฟ่านหยิบค่ายกลสังหารทั้งสามชิ้นที่เหลือโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อค่ายกลสิบสองรูปแบบทำงานร่วมกันม่านพลังที่เคยปรากฏช่องโหว่ก็เชื่อมต่อกันกลับสู่ความสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันมันได้ปลดปล่อยสายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาฝ่ามือของสิ่งมีชีวิตร่างสีดำสนิทด้วยพลังทำลายล้างที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
โครม!
สวรรค์พิภพสั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นที่เกิดจากการกระแทกวาดออกไปรอบทิศทางและม่านพลังที่คอยปกป้องกลุ่มของเย่ฟ่านก็มีรอยร้าวขนาดใหญ่ลุกลามไปทั่ว
เมื่อจักรพรรดิดำเห็นเช่นนั้นมันก็เกิดความคลุ้มคลั่งอย่างถึงที่สุด
“พวกเจ้ากล้าท้าทายจักรพรรดิอู่ซือหรือ ค่ายกลสังหารปราศจากจุดเริ่มต้นทำลายมันให้ข้า”
บูม!
ม่านพลังสีทองที่ปกป้องทุกคนอยู่นั้นได้ระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังทำลายล้างของมันบดขยี้วิหารขนาดใหญ่รวมทั้งจระเข้ศักดิ์สิทธิ์ให้แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ
โฮก!
จระเข้ศักดิ์สิทธิ์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันถูกเปลี่ยนให้เป็นหมอกเลือดแม้กระทั่งหลิวอวิ๋นจื่อและหวังเอี๋ยนถูกคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้กระแทกร่างกายให้ปลิวกระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง
ในขณะนี้หลิวอวิ๋นจื่อและหวังเอี๋ยนตกลงมากระแทกพื้น เมื่อทั้งสองคนพยายามลุกขึ้นสิ่งที่สายตาของพวกเขามองเห็นก็คือลูกศรสีทองขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วไม่แตกต่างจากสายฟ้า
“เจ้า...คิดจะทำอะไร!”
เย่ฟ่านไม่สนใจเสียงกรีดร้องของทั้งสองคน เขายิงเกาทัณฑ์ว่านซางออกไปสองครั้งและปลิดชีพของพวกเขาโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“การรอคอยของข้ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว”
ในขณะนั้นมีเสียงคำรามดังก้องสวรรค์พิภพ จระเข้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำลายล้างจากค่ายกลสังหารของจักรพรรดิอู่ซือได้ใช้วิธีการพิเศษและประกอบร่างกลับสู่ความสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตร่างสีดำสนิทยืนอยู่บนศีรษะของมันอย่างโหดร้าย ค่ายกลสังหารของจักรพรรดิอูซือไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลย
“ในที่สุดร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณของเจ้าก็เติบโตขึ้น ถึงเวลาที่เจ้าต้องมอบร่างกายนี้ให้ข้าแล้ว!” เสียงของปีศาจทำให้หนังศีรษะของผู้คนชาด้านด้วยความกลัว
“มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือ?”
เย่ฟ่านหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นหม้อใบเล็กๆ ก็บินออกมาจากรอยแยกกลางหน้าผากของเขาพร้อมกับปลดปล่อยเปลวเพลิงเก้าสีให้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
“อา!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นที่ใจกลางสนามรบ ร่างของวิญญาณเทพที่มีสีดำสนิทและจระเข้ศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นกรีดร้องอย่างทุรนทุรายและไม่มีโอกาสหลบหนีออกจากคลื่นเปลวเพลิงนี้ได้
เปลวไฟเก้าสีหมุนวนเป็นเกลียวขนาดยักษ์ที่ผูกมัดวิญญาณชั่วร้ายกับบรรพชนจระเข้ไว้ภายใน
เย่ฟ่านใช้เวลาหลายวันหลายคืนในการรวบรวมเปลวเพลิงเหล่านี้ เมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมาอย่าว่าแต่วิญญาณเทพที่ไม่มีร่างกายที่แท้จริง ต่อให้เป็นเสมือนจักรพรรดิยังยากที่จะรอดชีวิตได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าวิญญาณเทพตนนี้ถูกศากยมุนีปิดผนึกไว้ถึงสองพันห้าร้อยปี ความแข็งแกร่งของมันยังไม่สามารถเทียบได้กับราชาบรรพชนระดับทั่วไปของเผ่าพันธุ์โบราณด้วยซ้ำ
“อา...”
จระเข้ทองร้องลั่น มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝึกฝนทักษะแห่งนรกอีกรูปแบบเช่นกัน ดังนั้นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเฟิ่งหวงซึ่งเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลย่อมเป็นภัยคุกคามที่ไม่สิ้นสุดต่อวิญญาณของมัน
สำหรับปีศาจร้ายมันกำลังดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดและพยายามหลบหนีออกจากเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำนี้ให้ได้
“เคร้ง...”
ทันใดนั้นได้มีเสียงระฆังดังขึ้นกลางสนามรบ ระฆังสีทองขนาดใหญ่โผล่มาจากศรีษะของบรรพชนจระเข้ นี่คืออาวุธต้องห้ามของนิกายพุทธ ระฆังสีทองขนาดใหญ่ได้ครอบคลุมไปทั้งท้องฟ้าและปิดกั้นเปลวเพลิงของเย่ฟ่านไม่ให้สามารถทำอันตรายได้อีก
อย่างไรก็ตามภายใต้เปลวไฟที่ครอบคลุมอยู่หลายชั้นสิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่อาจหลบหนีออกจากสนามรบได้
เปลวเพลิงเก้าสีนั้นเป็นไฟของเฟิ่งหวงระดับผู้อมตะที่แท้จริง ดังนั้นระฆังสีทองนี้จึงสามารถปิดกั้นการโจมตีได้ชั่วคราวเท่านั้น และในไม่ช้าบรรพชนจระเข้ศักดิ์สิทธิ์จะต้องตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ร่างกายของข้า เจ้าแข็งแกร่งเหนือความคาดหมายของข้าอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าอย่างไรร่างกายนี้ยังคงจะเป็นของข้าอยู่ดี!”
วิญญาณเทพสีดำสนิทเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกระแสแสงและทะลวงผ่านเปลวไฟเก้าสีกำลังลุกไหม้
อย่างไรก็ตามร่างวิญญาณของมันไม่ได้ถูกทำลายทันทีเพราะมีวัตถุคล้ายกับก้อนหินห่อหุ้มไว้ หินนี้สามารถปิดกั้นเปลวไฟเก้าสีได้ชั่วคราวซึ่งเพียงพอที่จะปกป้องร่างวิญญาณของปีศาจร้ายให้หลบหนีออกมาข้างนอก
เมื่อเห็นหินก้อนนั้นดวงตาของเย่ฟ่านก็เปล่งประกายด้วยความดุร้ายอย่างถึงที่สุด
“ที่แท้คนที่โจมตีจางเหวินชางในนิกายไท่ซวนก็คือหลิวอวิ๋นจื่อและหวังเอี๋ยนจริงๆ” เย่ฟ่านกล่าวกับตัวเอง
ก้อนหินที่ห่อหุ้มวิญญาณของปีศาจร้ายคือหินศักดิ์สิทธิ์เก้าทวารที่ถูกผ่าออกมาจากศิลาต้นกำเนิด มันมีอำนาจของจักรพรรดิโบราณที่ทำให้ปกป้องวิญญาณชั่วร้ายจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตามทันทีที่หลุดลอกออกมาจากเปลวไฟเก้าสี หินศักดิ์สิทธิ์เก้าทวารก็แหลกละเอียดเป็นผุยผง มีเพียงวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นที่หลุดออกมาข้างนอกได้สำเร็จ
“ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวมัน สิ่งมีชีวิตตนนี้มีพลังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของเมื่อยุคอดีตด้วยซ้ำ อย่างมากสุดมันก็เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่าเซียนเทียมขั้นสามทั่วไป!”
ต้วนเต๋อไม่ได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เมื่อวิญญาณของปีศาจร้ายหลุดรอดออกมาเขาก็กระตุ้นหม้ออสูรกลกลืนสวรรค์ให้ผูกมัดวิญญาณของปีศาจร้ายไม่ให้เคลื่อนไหวได้
“ใช้เลือดศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าชโลมคทาแห่งสวรรค์และทุบตีปีศาจร้ายตัวนี้!” ต้วนเต๋อตะโกน
เย่ฟ่านพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขากรีดปลายนิ้วมือเพื่อให้เลือดสีทองไหลออกมา จากนั้นเขาได้ป้ายเลือดสีทองลงบนปลายของคทาแห่งสวรรค์ด้วยอักขระเก้าตัวที่เรียนรู้มาจากคัมภีร์สุริยัน
“พวกเจ้าประเมินข้าต่ำเกินไป ข้าฟื้นฟูวิญญาณของตัวเองด้วยแก่นแท้ที่อยู่ในศพของเซียนผู้ยิ่งใหญ่มาถึงยี่สิบปีแล้ว เมื่อพลังหยินในร่างกายของข้าถูกปัดเป่าออกไปทั้งหมด ตอนนี้วิญญาณของข้าย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แตกต่างจากวิญญาณของเซียนที่แท้จริง!”
วิญญาณเทพคำรามด้วยความตื่นเต้นจากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาเย่ฟ่านโดยแสดงเจตจำนงว่าต้องการยึดครองร่างศักดิ์สิทธิ์เซียนโบราณของเขา
“บูม”
อย่างไรก็ตามคทาแห่งสวรรค์ของเย่ฟ่านได้กระแทกวิญญาณชั่วร้ายของปีศาจตนนั้นให้ปลิวกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแม้ว่าพลังหยินซึ่งเป็นพลังปีศาจในวิญญาณเทพจะถูกปัดเป่าออกไปหมดแล้ว และวิญญาณเทพตัวนี้ก็กลับคืนสู่ลักษณะของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป
อย่างไรก็ตามคทาแห่งสวรรค์ของเย่ฟ่านนั้นมีพลังจากอักขระเก้าตัวของคัมภีร์สุริยัน มันมีอำนาจในการปราบปรามวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ซึ่งเย่ฟ่านได้คาดคำนวณเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
วิญญาณเทพตนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะถูกทุบตีอยู่หลายสิบครั้งแต่มันยังคงพุ่งเข้าหาเย่ฟ่านด้วยความสิ้นหวัง
เพราะในพื้นที่ใกล้เคียงมีเพลิงเก้าสีโอบพร้อมอย่างแน่นหนาหากไม่มีร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อมันจะไม่มีทางหลบหนีออกจากที่นี่ได้อย่างแน่นอน
“ปลุกความทรงจำชาติที่แล้ว ยืมผลไม้เต๋าฟื้นคืนพลังในชาตินี้…”
ทันใดนั้นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทก็ส่งเสียงเหมือนคำสาป เสียงของมันไม่ได้ดังก้องมากนัก แต่กลับมีอำนาจในการทะลุทะลวงผ่านเปลวไฟเก้าสีและค่ายกลปราศจากจุดเริ่มต้นออกไปได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาต่อมาความว่างเปล่าในรัศมีหลายหมื่นลี้เกิดความปั่นป่วนอย่างถึงที่สุด กระแสลมที่รุนแรงนั้นหมุนวนเข้าหากันกลายเป็นหยดน้ำสีทองที่ตกลงบนศีรษะของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทนั้น
เมื่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทได้รับพลังจากหยดน้ำสีทอง รัศมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นสะท้านก็กวาดออกไปรอบทิศทางจนทำให้โลกทั้งใบสั่นไหวอย่างรุนแรง
คลื่นกระแทกนี้แม้แต่เปลวไฟเก้าสีและค่ายกลปราศจากจุดเริ่มต้นก็ยังหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏขึ้น!
“แย่แล้วเจ้าสารเลวนี่ที่แท้ก็เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง!” จักรพรรดิดำกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
………………….